ตอนที่ 142 พบเจอ ช่างเป็นความคิดที่ดี (3)
สิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยคิดในตอนนี้คือจะขายเต้าหู้อย่างไร แต่เขากลับบอกให้นางซื้อถั่วเพิ่ม นี่มันหัววัวไม่ตรงปากม้า[1]
หนิงเซ่าชิงไม่ยี่หระ เพียงแค่ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ดูเหมือนว่า เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของข้า เจ้าลองคิดดูสิ สองสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำเต้าหู้คืออะไร”
มั่วเชียนเสวี่ยตอบโดยไม่จำเป็นต้องคิด “หนึ่งคือถั่ว สองคือน้ำดีเกลือ” ตั้งแต่เมื่อคราวก่อนที่หนิงเซ่าชิงบอกว่าจะช่วยนางดูแลโรงงานเต้าหู้ นางก็บอกสูตรลับนี้กับหนิงเซ่าชิงแล้ว
หนิงเซ่าชิงเดินมา นั่งตรงข้ามนาง ฟุบตัวลงบนโต๊ะ สบตากับนาง แววตาของเขาฉายความรักใคร่ ทว่าสิ่งที่พูด กลับเป็นความคิดที่ละเอียดรอบคอบ “ดังนั้น ตอนนี้ขอเพียงเจ้าครอบครองถั่วและน้ำดีเกลือก็พอแล้ว สูตรลับนั่นเจ้านำมาขายเป็นเงินก็พอแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยเหยียดตัวลุกขึ้นกะทันหัน ถามด้วยความคาดคั้น “ขาย? ขายวิธีการทำเต้าหู้? เมื่อก่อนท่านยังเคยบอกว่าจะช่วยค้าทำการค้าเต้าหู้ให้ใหญ่โต เวลานี้กลับบอกให้ข้าขาย?”
หนิงเซ่าชิงเองก็เหยียดตัวลุกขึ้น ยื่นมือไปลูบคิ้วของนาง “เมื่อก่อนบอกให้เจ้าเก็บเป็นความลับ เพราะไม่รู้ว่าวิธีการทำเต้าหู้จะง่ายเช่นนี้”
มั่วเชียนเสวี่ยตีมือหนิงเซ่าชิง ในความโมโหมีความประหม่าปะปนอยู่ด้วย “ใช่ มันง่ายมาก”
หนิงเซ่าชิงคว้ามือที่ตบโต๊ะของนาง มาวางไว้ที่มุมปาก “ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า สูตรลับในการเต้าหู้ก็จะไม่ใช่ความลับอีก เมื่อมีคนกินมาก ย่อมมีคนที่เข้าใจด้านยา มีคนที่ลิ้นรับรสได้อย่างเฉลียวฉลาด มีคนที่ความคิดละเอียดอ่อน เมื่อถึงเวลนั้น แม้ว่าเจ้าอยากจะขายก็ไม่อาจขายได้ราคาดีแล้ว”
มือของมั่วเชียนเสวี่ยโดนไออุ่นในปากของหนิงเซ่าชิงพ่นใส่ ทำให้นางคันยุบยิบ ด้วยเหตุนี้จึงถอนมือกลับ
หนิงเซ่าชิงไม่มองมั่วเชียนเสวี่ย มืออีกข้างหนึ่งก็เอื้อมขึ้นมาจับ “เช่นนั้น มิสู้ตอนนี้ส่งคนไปขายสูตรในการทำเต้าหู้ให้ทั่วทุกมุมเทียนฉี หลังจากนั้นค่อยส่งคนไปซื้อถั่วมาตุนจากทั่วทุกทิศ”
เขาจับนิ้วมือของงนางด้วยความตั้งใจ ราวกับเป็นของเล่นที่น่าสนุกอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดมั่วเชียนเสวี่ยก็เข้าใจแล้ว “ข้าขายสูตรในการทำ หลังจากนั้นตุนถั่วทั้งหมดเอาไว้ในมือ ขอเพียงเป็นคนที่ทำเต้าหู้ล้วนต้องมาซื้อถั่วกับข้า ซึ่งเท่ากับว่าเงินทั้งหมดในการทำเต้าหู้ ข้าได้กำไรทั้งหมด”
หนิงเซ่าชิงเล่นนิ้วมือของมั่วเชียนเสวี่ยไม่หยุด เดินอ้อมโต๊ะหนังสือ เคลื่อนตัวมากอดมั่วเชียนเสวี่ย “เสวี่ย…”
นัยน์ตาของหนิงเซ่าชิงเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังคงคิดถึงการค้าเต้าหูของนาง “เซ่าชิง มีคนบอกหรือไม่ว่าท่านคืออัจฉริยะด้านการค้า…อื้ม…”
มั่วเชียนเสวี่ยยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าร่างของนางตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นแล้ว ริมฝีปากน้อยถูกกลีบดอกไม้อีกสองกลีบครอบครอง นางตกใจอยากจะผลักเขาออก แต่หนิงเซ่าชิงกลับเร็วยิ่งกว่า เขาคว้ามือของนางเอาไว้ จากนั้นพันธนาการมือของนางแล้วโอบกอด
ทุกประสาทสัมผัสรวมอยู่ที่ริมฝีปาก ส่วนทุกอย่างที่เหลือคล้ายจะไม่มีตัวตน
ความคิดของมั่วเชียนเสวี่ยว่างเปล่าไปหมด นางจูบตอบเขาอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ หนิงเซ่าชิงจึงค่อยรู้สึกพอใจขึ้นมา
หนิงเซ่าชิงจูบแล้วอุ้มมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปในห้องอย่างไม่อาจหักห้ามใจ เขาพบว่าตนยิ่งอยู่ยิ่งไม่อาจควบคุมตนเองได้ ทุกครั้งที่สัมผัสริมฝีปากนั่น เขาเหมือนดื่มสุราจนเมามาย ลุ่มหลงริมฝีปากนั้นโดยไม่สนใจสิ่งใดแม้ฟ้าจะถล่มหรือดินจะแยกสลาย
เขายิ่งอยู่ยิ่งไม่อาจควบคุมตนเองแล้ว ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับดึงสติกลับมาจากความว่างเปล่า
เพิ่งถูกหนิงเซ่าชิงวางลงบนตั่ง มั่วเชียนเสวี่ยก็เตะเขาทันที
นางไม่อยากเป็นเหมือนค่ำคืนนั้นอีกแล้ว ทนทุกข์ทรมานไม่เหมือนมนุษย์ การเริ่มต้นของความใคร่ทั้งหมด นางล้วนต้องบีบให้อยู่ในขั้นแรกเริ่ม ขืนถูกปลุกเร้าทั้งคืนเช่นนั้น แล้วยังไม่ได้รับการเติมเต็ม นางไม่รู้ว่าตนจะวิปลาสหรือไม่
แน่นอน นางเองก็รู้ว่าเป็นเพราะในใจของหนิงเซ่าชิงมีนาง เขาจึงเป็นเช่นนี้ แต่ว่า นาง ทน ไม่ ได้!
อีกเรื่องหนึ่ง วันนี้ถูกคุณหนูห้าที่ไร้ยางอายนั่นกระตุ้นให้โมโห นางรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางยังไม่ทันได้สวมชุดเจ้าสาว ชาเพียงแก้วหนึ่งก็ทำให้นางสิ้นใจ มาถึงโลกยุคโบราณ ก็กลายเป็นเจ้าสาว ความรักอะไร พิธีแต่งงานอะไรกํไม่มีทั้งนั้น
นี่ก็ช่างเถอะ ถือว่าเป็นรูปแบบเรียบง่าย
แต่ว่า สิ่งสำคัญคือคนอื่นไม่ได้คิดเช่นนี้ เอาแต่เรียกว่าเป็นเจ้าสาวแก้เคล็ด เอาแต่บอกว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีแม่สื่อไม่มีสินสอดไม่อาจเป็นภรรยาเอกได้ นางไม่อาจกล้ำกลืนความขุ่นเคืองนี้ลงคอได้
หนิงเซ่าชิงไม่ทันระวังถูกนางเตะไปอีกทาง ทว่าใบหน้าของเขากลับไร้ซึ่งความโกรธเคือง
ใบหน้าของเขาเปื้อนด้วยรอยยิ้ม ขยับเข้ามาอีกครั้ง พูด “เสวี่ย พวกเราไม่ต้องรออีกนานแล้ว หมอประหลาดเจอยานำพาแล้ว รอเพียงฤดูวสันต์ดอกไม้ผลิบาน ค่อยเก็บเกี่ยวมาก็พอแล้ว”
สวรรค์ พูดราวกับว่านางแทบจะอดใจรอไม่ไหวอย่างไรอย่างนั้น
ก็ได้ มั่วเชียนเสวี่ยยอมรับ เพราะนางทนรอไม่ไหวจึงเตะเขากระเด็น
เพียงแต่ แต่ว่า หรือว่า…
มั่วเชียนเสวี่ยอ้ำอึ้งอยู่นาน ข่มคำว่าเพียงแต่ แต่ว่า หรือว่าเหล่านั้นเอาไว้ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “คงจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับหมอประหลาดใช่หรือไม่” ในละครมักจะมีหมอวิเศษและมีแต่คนคอยแย่งชิงไม่ใช่หรือ
หนิงเซ่าชิงสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของนาง โอบกอดนางอีกครั้ง ครั้งนี้เขาซื่อตรง ไม่ได้ใช้มือกับปาก พูดด้วยความเคร่งขรึม “ไม่หรอก ข้าส่งหน่วยลับไปช่วยหมอประหลาดแล้ว”
“ต่อให้ท่านจะหายดีแล้ว แต่ก็ต้องจัดพิธีวิวาห์ให้ข้า ตบแต่งเข้าเรือนอย่างถูกต้อง มิเช่นนั้น ข้าจะไม่ยอมท่านเด็ดขาด”
“ได้…เมื่อถึงเวลาข้าจะจูงเจ้าเข้าห้องหอเอง…”
“หน้าไม่อาย…”
ในเมื่อคิดดีแล้วว่าจะขายสูตรเต้าหู้ไปทั่วทั้งเทียนฉี เช่นนั้นก็ต้องหาคน แล้วรีบทำโดยเร็ว
เช้าตรู่วันที่หก มั่วเชียนเสวี่ยก็เริ่มทำในทันที
ตามที่หนิงเซ่าชิงบอกคือ ขายพร้อมกันทั้งในเมืองเทียนเซียงและนอกเมือง กระทำด้วยความรวดเร็วฉับไวให้ผู้อื่นตั้งรับไม่ทัน เช่นนี้จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เพียงแต่คนในหมู่บ้านหวังจา โดยมากล้วนไม่มีประสบการณ์ น่าจะไม่สามารถทำการค้าขายเช่นนี้ได้ หนิงเซ่าชิงครุ่นคิดเล็กน้อย ให้อาซานไปเชิญเถ้าแก่อวี๋จากทิงเฟิงเฉวียนมา
หลังจากเปิดอกคุยกันเมื่อคราวก่อน หนิงเซ่าชิงบอกเรื่องที่ตนเป็นเจ้าของทิงเฟิงเฉวียนให้กับมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว แน่นอน นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าตระกูลหนิงที่เขาเกิดมาคือตระกูลหนิงที่เป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของเทียนฉี
ในตอนนั้นมั่วเชียนเสวี่ยทั้งตกใจและโมโห แต่ว่าเมื่อครุ่นคิด ก็อภัยให้เขา
ตอนนั้นเขาเกือบตายแต่ก็ไม่อยากกลับตระกูล บุรุษคนนี้มีความทระนงตนสูง ทั้งยังไม่เชื่อใจผู้ใดง่ายๆ ตอนแรกที่เขาไม่พูด นั่นเป็นเพราะไม่เชื่อใจตน ตอนหลังไม่พูด เป็นเพราะกลัวว่าหากตนยิ่งรู้มาก ก็จะยิ่งกังวลมากกระมัง
ลุงอวี๋พาคนมาสองคน ล้วนเป็นผู้ช่วยในร้านที่ไว้วางใจได้ คนหนึ่งชื่ออาเหวิน คนหนึ่งชื่ออาปิง
มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วให้คนไปด้วยอีกสองคน
คนหนึ่งคือหลี่ซานที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยตนเอาไว้ คนหนึ่งคือฟางต้าถัง แบ่งเป็นสองกลุ่ม จับตาดูซึ่งกันและกัน ประจวบเหมาะกลุ่มหนึ่งไปทางใต้ กลุ่มหนึ่งไปทางเหนือ ไปสองทิศ
ทุกที่ที่ไปถึง จะซื้อถั่วก่อน เมื่อซื้อถั่วเสร็จส่งกลับไปยังท่าเรือนเทียนโยว หลังจากซื้อถั่วเสร็จค่อยไปขายสูตร สูตรเต้าหู้หนึ่งแผ่นขายยี่สิบตำลึง
สองกลุ่มนี้ เพียงรอให้ผ่านวันที่สิบห้า ก็ออกเดินทางได้ทันที
สำหรับซูชี มั่วเชียนเสวี่ยตั้งใจจะยกสูตรให้เขา และถือเป็นการขอบคุณที่เขาทำให้นางได้ผลประโยชน์ก้อนโต ถั่วหนึ่งแสนชั่งนั่นจ่ายเพียงน้อยนิด เพียงมีค่าเท่ากับราคาดอกกะหล่ำก็นอนอยู่ในโกดังเก็บของแล้ว…
[1] หัววัวไม่ตรงปากม้า หมายถึง ตอบไม่ตรงคำถาม พูดในเรื่องที่ไม่สอดคล้องกัน