ตอนที่ 141 พบเจอ ช่างเป็นความคิดที่ดี (2)
ดวงรักของซูชีกำลังขึ้น พอได้ดิบได้ดีแล้ว อย่าซาบซึ้งในน้ำใจของนางมากไปล่ะ
มั่วเชียนเสวี่ยกลับไปที่เรือนของเจี่ยนชิงโยว นางก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว ไม่มีธุระกงการใดแต่กลับต้องเดินมากเช่นนี้ ทั้งยังต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม จะไม่ให้เหนื่อยได้อย่างไร ยังคงเป็นเรือนของเจี่ยนชิงโยวที่เรียบสง่าและผ่อนคลาย มั่วเชียนเสวี่ยนอนบนตั่งไม้ตามอำเภอใจ หยิบขนมหวานเข้าปาก นางอยู่ที่เรือนเจี่ยนชิงโยวทำตัวตามตามสบายยิ่งนัก สาวใช้ที่เรือนนี้ก็ปฏิบัติกับนางเยี่ยงนาย
เจี่ยนชิงโยวเห็นสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยรื่นรมย์ แล้วเห็นของกำนัลในมือไต้ฉิน คิดว่าน้องสาวทั้งสองคนคงจะรู้ว่าวันนั้นเสียมารยาท ดังนั้นวันนี้จึงมาขอโทษซึ่งหน้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ถามไถ่อะไรมากมาย
นางกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่เป็นเช่นไร ตอนนี้จึงดำดิ่งลงสู่ตำนานรักผีเสื้อที่ฟังเมื่อครู่ เจี่ยนชิงโยวเงียบไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “สุดท้ายเหลียงซานปั๋วและจู้อิงไถกลายเป็นผีเสื้อคู่นั้นและบินจากไปจริงๆ หรือ”
จิตวิญญาณของมั่วเชียนเสวี่ยอยู่ในยุคปัจจุบัน เรียนรู้หลักคำสอนที่ไม่เชื่อในเรื่องลี้ลับมานานหลายสิบปี ตอบโดยไม่แม้แต่จะคิด “เป็นเพียงปณิธานที่งดงามเท่านั้น มนุษย์จะกลายเป็นผีเสื้อได้อย่างไร”
เจี่ยนชิงโยวถอนหายใจ ไม่รู้ว่าทอดถอนหายใจให้กับเหลียงซานปั๋วและจู้อิงไถหรือทอดถอนหายใจให้กับตนเอง
มั่วเชียนเสวี่ยแปลกใจเล็กน้อยว่าเหตุใดตอนนี้นางจึงยังมีใจมาคิดถึงเรื่องตำนานรักผีเสื้อ พูดปลอบ “เจ้าไม่ต้องทอดถอนหายใจ ตำนานรักผีเสื้อเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น อย่างน้อยเรื่องงานแต่งงานของชิงโยว ท่านย่าเจี่ยนยอมปริปากแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนี้ต้องดูว่าซินอี้หมิงจะทำเช่นไรแล้ว”
“เขา…” เจี่ยนชิงโยวพูดติดขัด แม้นางจะมั่นใจว่าซินอี้หมิงมีใจให้นาง แต่ถึงอย่างไรตระกูลของตนก็ปฏิเสธคำสู่ขอของเขามาแล้วหลายรอบ
แม้ตระกูลซินจะไม่ใช่ตระกูลขุนนางใหญ่มีความเป็นมาหลายร้อยปีอะไร แต่ก็มีหน้ามีตาในเมืองเทียนเซียง ไม่รู้ว่าจะขุ่นเคืองเพราะเรื่องนี้หรือไม่
“เจ้าสามารถคิดหาวิธีบอกเขาได้หรือไม่” มั่วเชียนเสวี่ยเวียนศีรษะเล็กน้อย
“หลังจากพบกันเมื่อคราวก่อน เขาเคยให้สาวใช้ส่งจดหมายมาให้ เนื้อความในจดหมายบอกว่า หากมีเรื่องอะไรสามารถบอกสาวใช้คนนี้ได้ แต่เชียนเสวี่ยเจ้าก็รู้ดี ท่านย่าเข้มงวดกับชิงโยวตั้งแต่เล็ก การลอบให้และลอบรับของเช่นนี้ แม้จะแค่ฟังก็รู้สึกต่ำช้า นับประสาอะไรกับให้ชิงโยวทำ ดังนั้น…ดังนั้นในตอนนั้นชิงโยวมีน้ำโหขึ้นมาทันที จึง…จึงไล่สาวใช้คนดังกล่าวออกไป…”
“ไม่รู้จะว่าอะไรเจ้าแล้วจริงๆ เจ้ามีใจกล้าจะชอบพอกับเขา แต่ไม่มีใจกล้าพอจะยอมรับ และไม่มีใจกล้าพอจะสารภาพกับเขา”
“เชียนเสวี่ย ข้า…” เจี่ยนชิงโยวก้มหน้าลง นิ้วมือของนางขยี้ผ้าเช็ดหน้าไม่หยุด
“พอได้แล้ว หยุดขยี้ได้แล้ว ขืนขยี้ต่อไปผ้าเช็ดหน้าต้องขาดเป็นแน่” มั่วเชียนเสวี่ยเห็นแววตาของน้ำมีน้ำตา รู้สึกสงสาร “ชิงโยวเจ้าเองก็ไม่ต้องเสียใจ ให้ข้าจัดการเรื่องนี้เถอะ”
“ขอบคุณเจ้ามากเชียนเสวี่ย ชีวิตนนี้มีมิตรเช่นเชียนเสวี่ย เป็นความโชคดีอย่างยิ่งของชิงโยว” เจี่ยนชิงโยวเงยหน้าขึ้น น้ำตานองหน้า เหยียดตัวลุกขึ้นแล้วลงจากตั่งไม้ คำนับมั่วเชียนเสวี่ยด้วยท่าว่านฝูหลี่[1]
เสียงของนางอ่อนโยน มีความรู้สึกซ่อนเอาไว้ กิริยาสง่าผ่าเผยโดดเด่น รูปโฉมงดงามทว่าไม่ได้สะดุดตา ทำให้คนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม
มั่วเชียนเสวี่ยทำได้เพียงลงจากตั่งไม้แล้วเข้าไปพยุงนาง
สำหรับการนัดหมายในวันที่แปด มั่วเชียนเสวี่ยตัดสินใจแล้ว ทว่าไม่อยากบอกเจี่ยนชิงโยวถึงความตั้งใจของนาง เกรงว่าความคิดระบบศักดินาแย่ๆ ของเจี่ยนชิงโยวจะแผดเผาขึ้นมา เก็บเอาไปคิด นางที่ถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่เล็กคงจะยอมแพ้ เมื่อถึงเวลากลับตีตัวไปก่อนไข้
“ชิงโยวไม่ต้องเศร้าถึงเพียงนั้น วันที่แปดร้านอาหารที่ท่าเรือของเชียนเสวี่ยเปิดแล้ว วันนั้นชิงโยวมาที่ร้านอาหาร เชียนเสวี่ยสอนชิงโยวทำขนมเค้ก หลังจากนั้นชิงโยวทำขนมเค้กด้วยตนเองให้ท่านย่าเจี่ยนทาน ขนมทานอยู่ในปาก หวานอยู่ในใจ ย่อมคิดถึงความดีของชิงโยว เมื่อถึงเวลา เรื่องของชิงโยว ย่อมถึงเวลาสุกงอม”
หยวนหมัวมัวคอยปรนนิบัติรินน้ำชาอยู่ข้างๆ เรื่องของคุณหนูใหญ่ไม่เคยจะปิดบังตน นางย่อมรู้ ในเมื่อเหล่าไท่ไท่ปริปากแล้ว เช่นนั้นนางก็มีความสุขที่จะได้เห็นเรื่องนี้จบลงอย่างงดงาม พอได้ฟังมั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยปากเชิญคุณหนูใหญ่ไปเรียนทำขนม ไม่มีความเสียดายหรือเสแสร้งแม้แต่น้อย รู้สึกเพียงว่าความใจกว้างนี้ไม่ใช่สิ่งที่สตรีทั่วไปจะมีได้ สตรีมากมายมีผู้ใดบ้างที่ไม่เจ้าเล่ห์ อยากจะได้ผลประโยชน์จากผู้ที่ร่ำรวย หยวนหมัวมัวทอดถอนหายใจ สตรีเช่นนี้ หากเกิดในตระกูลขุนนาง อนาคตย่อมงดงามก้าวไกล แต่กลับได้แต่งานกับอาจารย์ขี้โรคในชนบทแทน…น่าเห็นใจยิ่งนัก
เมื่อทานอาหารกลางวันกับเจี่ยนชิงโยวเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
ไปเรือนนั้นมาเรือนนี้ ตอนที่ออกมาจากจวนตระกูลเจี่ยนก็เป็นยามเว่ย[2]แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยออกมาจากจวนเจี่ยนสั่งให้อาอู่ขี่รถม้าไปอี้ผิ่นเซวียน
เมื่อเจอเถ้าแก่ มั่วเชียนเสวี่ยยื่นของยืนยันตัวที่ซินอี้หมิงให้เมื่อคราวก่อน
คราวก่อนพวกเขาตกลงกันแล้ว หลังปีใหม่ นางจะส่งรากไม้แกะสลักชุดแรกมาให้ เมื่อถึงเวลา นางนำของยืนยันตัวมาที่อี้ผิ่นเซวียนแล้วค่อยหารือกัน
เถ้าแก่ดูป้ายไม้ในมือของนาง มั่นใจว่าเป็นป้ายไม้ของคุณชาย จึงให้เกียรตินางมาก เชิญมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปนั่งด้านในทันที
มั่วเชียนเสวี่ยมาครั้งนี้ไม่ได้มาหารือเรื่องการค้า จึงกล่าวขอบคุณความหวังดีของเถ้าแก่ เพียงฝากคำพูดให้เถ้าแก่ไปบอกซินอี้หมิง เที่ยงวันที่แปดให้ซินอี้หมิงไปดูสินค้าที่ร้านอาหารตรงท่าเรือของนาง
……
กลับหมู่บ้านหวังจยา อาซ้อฟาง อาซ้อกุ้ยฮวาและชุนเยี่ยนรอนางอยู่ที่เรือนหน้าเป็นเวลานานแล้ว
ภัตตาคารในเมืองล้วนเปิดร้านวันที่หก ดังนั้น พรุ่งนี้โรงงานเต้าหู้ก็จะเปิดแล้ว
โรงงานเต้าหู้ ต้องทำเต้าหู้ชุดแรกเสร็จให้ทันยามซื่อ[3] ให้รถม้าของไป๋อวิ๋นจวีลากไปก่อน หลังจากนั้นค่อยทำเต้าหู้ชุดที่สองส่งออกไป และพวกเมล็ดประเภทถั่วแห้ง
ยามซื่อต้องส่งของแล้ว แน่นอนว่าในทุกวันต้องเริ่มงานตั้งแต่ยามเหม่า[4] ย่อมไม่มีเวลามาเสวนาเรื่อยเปื่อย
ตอนนี้การผลิตเต้าหู้เพิ่มสูงขึ้น แรงงานในโรงงานก็มีประมาณสิบกว่าคนแล้ว แน่นอนว่าอาซ้อฟางคือหัวหน้า ส่วนอาซ้อกุ้ยฮวาย่อมเป็นผู้ช่วย
ปีนี้โรงงานเต้าหู้มีงานมากมายต้องทำ สัญญาที่ทำกับไป๋อวิ๋นจวีครบกำหนด นับจากวันนี้นางอยากขายให้ผู้ใดก็ย่อมได้ อยากจะขายเต้าหู้ถึงที่ไหนก็ขายได้ หากอยากจะทำการค้าเต้าหู้ให้ใหญ่โต เช่นนั้นต้องขายไปทั่วทุกหนทุกแห่งในเทียนฉี ไม่ได้จำกัดขายแค่ในภัตตาคารใดภัตตาคารเดียว
เช่นนั้นย่อมต้องสร้างแผงขนาดใหญ่ ขายทั้งส่งและปลีก เช่นนี้การค้าเต้าหู้จึงจะขยายใหญ่
หลังจากสั่งงานอาซ้อฟาง อาซ้อกุ้ยฮวาและชุนเยี่ยนเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็เริ่มปวดศีรษะเล็กน้อยแล้ว เพราะนางมีความคิดจะขายเต้าหู้ไปทั่วทั้งเทียนฉี แต่เต้าหู้เก็บรักษายาก หากอาศัยการขนส่ง ได้แค่ทำเช่นเดียวกับซูชี เมื่อถึงฤดูเหมันต์แช่แข็งสินค้าทุกอย่างที่ทำจากถั่ว อีกทั้ง เมื่อทำเช่นนี้ ค่าขนส่งจะเป็นต้นทุนขนาดใหญ่ ราคาของเต้าหู้ก็จะแพงขึ้น ราคาแพงทว่าปริมาณในการขายมีน้อย สุดท้ายก็มีเพียงคนจำนวนน้อยซื้อกิน
มั่วเชียนเสวี่ยเคร่งเครียดกับเรื่องนี้ ทว่าคิดไม่ถึงเพิ่งพูดเรื่องนี้ได้ครึ่งหนึ่ง หนิงเซ่าชิงก็ยิ้ม
“ใต้หล้านี้ เงินทองหาได้ไม่หมด ตอนนี้ถั่วกว่าครึ่งหนึ่งของเทียนฉีอยู่ในมือเจ้า เจ้าสู้อีกนิด ก็สามารถซื้อเต้าหู้ทั่วแคว้นได้แล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยเอามือกุมศีรษะ พูดด้วยความไม่สบอารมณ์ “ข้าจะเอาถั่วมากมายมาทำอะไร เวลานี้ถั่วในโรงเก็บของเพียงพอที่จะทำเต้าหู้ร้อยชั่งหมื่นชั่งแล้ว แม้จะเอาไปหมักซีอิ๊วก็เพียพอ…”
[1] ว่านฝูหลี่ หมายถึง การทักทายของหญิงสาว โดยใช้มือทั้งสองข้างวางซ้อนกันที่ ด้านขวาแล้วย่อตัวลง เป็นท่าสัญลักษณ์ที่อวยพรให้มีความสุขและโชคด
[2] ยามเว่ย หมายถึงเวลาประมาณ 13.00 น. – 14.59 น.
[3] ยามซื่อ หมายถึงเวลาประมาณ 09.00 น.– 10.59 น.
[4] ยามเหม่า หมายถึงเวลาประมาณ 05.00 น. – 06.59 น.