บทที่162ตามหาเขา

ความคิดถึงที่กำลังเพิ่มพูนกับความปวดร้าวที่กำลังก่อเกิดขึ้น

ย่างเท้าที่ร้อนรนก้าววนไปทั่วห้อง เดินจนพื้นในห้องโถงแทบพังแล้ว!

ภาพของมู่เทียนซิงอุ้มเจินเจินไว้ ทั้งเฝ้ารอ ทั้งเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมา มันได้ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมของหลิงเล่ตั้งนานแล้ว

ดวงตาที่ดำจนไม่มีที่สิ้นสุดคู่นั้น กำลังส่องแสง โดยมีจั๋วซียืนร้อนรนอยู่ข้างๆ แต่เขากลับดูนิ่งเฉย จนถึงตอนนี้ไม่ยอมแสดงท่าทีอะไรออกมาทั้งนั้น

เมื่อคืนซือซ่าวก็ได้มาที่วังหลังเหมือนกัน แต่ก็ต้องเข้าไปร่วมประชุมของพวกระดับสูง จนถึงตีห้าถึงประชุมเสร็จ

หลักๆ ก็คุยกันเรื่องเกี่ยวกับบริษัทหลิงหวินกรุ๊ป การประชุมในเมื่อคืนได้ข้อสรุปที่ถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้แล้ว

หลิงหยวนนั้นมีลูกชายทั้งหมดสามคน แล้วให้เขาทั้งสามเข้ามารับตำแหน่งในบริษัท

สินค้าที่อยู่ภายชื่อของบริษัทหลิงหวินกรุ๊ปมีทั้งหมดสามแบรนด์ หนึ่งคือผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง สองคือผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กน้อยและอย่างที่สามก็คืองานแฮนด์เมดที่ทำจากผ้าไหม

สินค้าทั้งสามแบรนด์จะถูกแบ่งให้ลูกชายทั้งสามเป็นผู้บริหาร หรือที่เขาเรียกกันว่าCEOนั่นเอง แต่สิทธิ์ในการตัดสินใจมากที่สุดก็ยังอยู่ในมือของคนที่เป็นประธานบริษัทอย่างหลิงหยวน

ความจริง หลิงเล่รู้สึกตงิดใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอด จากที่เขาสังเกตและทำความเข้าใจมา คนอย่างหลิงหยวนนั้นไม่ใช่คนที่บริหารได้เก่งอะไรมากมาย เพราะหลิงหยวนนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างโลภมาก ขี้เหนียว คิดเล็กคิดน้อย สำหรับคนที่ขี้งกแบบเขานั้นไม่มีทางที่จะขยายกิจการได้หรอก

แต่ตลอดหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางการเงินหรือนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม แต่บริษัทหลิงหวินกรุ๊ปก็ยังไม่ล้ม ยังไงนี่คือความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

มีคำถามหนึ่งที่คอยรบกวนจิตใจของหลิงเล่อยู่ตลอด นั่นก็คือ : นอกจากว่าจะมีใครหนุนหลังหลิงหยวนอยู่อย่างนั้นเหรอ?

พวกเขามุ่งเป้าไปที่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงก่อน แบรนด์นี่มีชื่อว่าซวี่ซิน คนที่รับผิดชอบซวี่ซินก็คือลูกชายคนที่สามของหลิงหยวน ซึ่งชายหนุ่มคนนี้ที่มีแววตาอันเจ้าเล่ห์ ใส่เสื้อผ้าหลากสีที่ค่อนข้างจัดจ้าน แถมยังชอบมีข่าวอื้อฉาวกับดาราสาวบ่อยๆ และเขาก็มีชื่อว่าหลิงเย่นั่นเอง!

หลังจากประชุมเสร็จ ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน

สิ่งที่ทำให้จั๋วซีปวดใจก็คือ หลังจากที่ซือซ่าวนอนไปแค่ชั่วโมงเดียว จั๋วหรันก็ได้โทรศัพท์มาบอกว่าทางคุณหนูมู่ได้มีการเคลื่อนไหวแล้ว เขาจึงต้องปลุกซือซ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซือซ่าวก็นั่งดูอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด

คุณหนูมู่เดินวนอยู่ในห้องโถงนานเท่าไหร่ ซือซ่าวก็นั่งมองเธอมานานเท่านั้น

ต่างคนต่างทรมานซึ่งกันและกัน เพื่ออะไร?

“ซือซ่าวครับ ผมคิดว่าพอได้แล้วนะครับ” จั๋วซีพูดด้วยความระมัดระวัง เขาคิดว่าการที่คุณหนูมู่เป็นแบบนี้ ซือซ่าวเองก็ต้องรู้สึกไม่สบายใจมากแน่ๆ

แต่ใครจะไปคิด ชายคนนั้นกลับพูดกลับมาว่า “ยังก่อน”

จั๋วซี “………”

แสงแดดค่อยๆ สาดส่อง ดวงอาทิตย์ค่อยๆ สูงขึ้น รู้ตัวอีกที่ก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงแล้ว ในตอนที่ฉวีซือเหวินออกมาจากห้องนั้น ก็ได้มองเห็นมู่เทียนซิงที่กำลังนั่งกลุ้มใจอยู่ที่โซฟา

ดวงตาคู่นั้นของสาวน้อง ได้แต่จดจ้องไปยังประตูหลัง

เมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว มู่เทียนซิงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าฉวีซือเหวินเสียอีก เธอรีบเดินมาข้างหน้าอย่างร้อนรน จ้องมาที่ฉวีซือเหวิน “พี่อาซือคะ พี่รู้รึเปล่าคะว่าคุณอาเขาจะกลับมาเมื่อไหร่?”

ฉวีซือเหวินอึ้งไปแปบหนึ่ง แล้วมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ไม่รู้นะคะ ทำไมซือซ่าวถึงต้องออกไปข้างนอกเช้าขนาดนี้ด้วยเหรอคะ?”

ณ ตอนนั้น ในใจของฉวีซือเหวินทั้งขัดแย้ง ทั้งรู้สึกผิด!

การที่ต้องมาโกหกเด็กสาวที่ใสซื่อแบบนี้ มันช่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ!

มู่เทียนซิงทำหน้าร้อนรนมากยิ่งกว่าเดิม จึงรีบตอบกลับมาว่า “ไม่ใช่นะคะ! คุณอาเขาถูกจั๋วซีพาออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ เขาไปที่วังหลัง บอกว่าเขามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการ!”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ฉันว่านะคะ จากนิสัยของซือซ่าวแล้ว เวลาที่เขาตื่นเขาก็จะต้องก็สัญญาณเรียกตลอด เพื่อให้จั๋วซีไปช่วยจัดการเรื่องอาบน้ำแต่งตัว แต่วันนี้ที่ฉันตื่นสายส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ได้ยินสัญญาณการตื่นของซือซ่าวหน่ะค่ะ”

ฉวีซือเหวินเล่นละครได้อย่างแนบเนียน แม้แต่หลิงเล่ที่นั่งดูกล้องวงจรปิดยังต้องพูดขึ้นว่า “กลับไปบอกกับพี่สะใภ้คุณด้วยนะว่าชีวิตนี้อย่าคิดที่จะโกหกผม ถ้ากล้าโกหกผมแม้แต่ครั้งเดียวละก็ ก็คงรู้ชะตากรรมนะ!”

จั๋วซีได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วตอบไปว่า “พี่สะใภ้เธอไม่ทำหรอกครับ ครอบครัวของเราทุกคนจะซื่อสัตย์กับคุณไปตลอดชีวิตครับ!”

เหงื่อตก~!

ซือซ่าวเป็นถึงกษัตริย์ในอนาคต โกหกซือซ่าวไม่เท่ากับโกหกองค์ราชาหรอกเหรอ?

ฉวีซือเหวินพูดกับมู่เทียนซิงอีกครั้ง “คุณหนูมู่ค่ะ คุณต้องหิวแล้วใช่ไหมคะ? เดี๋ยวฉันจะไปทำอาหารให้คุณทานเดี๋ยวนี้เลยนะคะ แซนด์วิชกับนมสด มันคืออาหารที่ทำได้เร็วที่สุด ได้ไหมคะ?”

จู่ๆ มู่เทียนซิงก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา!

ตอนนี้จะให้เธอเอากะจิตกะใจที่ไหนไปกินอาหารอีก?

ตอนนี้เธอแค่อยากจะเอาตัวเองแพ็กใส่กล่อง แล้วเอาเธอไปส่งให้หลิงเล่ ให้หลิงเล่กินเธอเข้าไปในทันที!

“แง~! แง~!”

หลับตาปี๋ เบะปาก แล้วร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กๆ!

เสียงร้องนี้ทำให้ฉวีซือเหวินตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเธอรีบไปหยิบกระดาษทิชชูที่โต๊ะน้ำชามา แล้วเช็ดน้ำตาให้มู่เทียนซิงไป ส่ายหน้าไป จากนั้นก็หันมาถลึงตาใส่ตำแหน่งที่กล้องวงจรปิดตั้งอยู่ไปทีหนึ่ง!

ซือซ่านคนนี้นี่ช่างใจดำจริงๆ!

แค่นิดหน่อยก็น่าจะพอแล้วสิ ทำไมต้องทำกับเด็กสาวถึงขนาดนี้ด้วย!

ไม่รู้อะไรซะแล้ว การที่ถูกผู้ชายเย็นชาใส่นั้นมันเจ็บปวดซะยิ่งกว่าพิษของงูร้ายเสียอีกนะ!

“คุณหนูมู่คะ หยุดร้องได้แล้ว พอเถอะค่ะ เดี๋ยวซือซ่าวก็น่าจะกลับมาแล้ว เชื่อฉันเถอะนะ!”

“แงงงงง~แงงง~”

“คุณหนูมู่คะ การที่คุณร้องไห้แบบนี้ ในใจของซือซ่าวจะต้องเจ็บปวดอยู่แน่เลยค่ะ เขาทนเห็นคุณเสียใจไม่ได้หรอกค่ะ”

“แงงงง~แงงง~”

สาวน้อยได้ปลดปล่อยมันออกมาอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ฉวีซือเหวินพูดเลยสักนิด เธอเอาแต่หลับตาแล้วร้องไห้ออกมา ต้องแบบนี้สิถึงจะถูก!

พอผ่านไปสักพัก เมื่อฉวีซือเหวินเห็นว่าเอาเธอไม่อยู่แล้วแน่ๆ แถมเธอก็เริ่มโมโหแล้วด้วย ว่าแล้วเธอก็หยิบมือถือออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “คุณหนูมู่คะ เดี๋ยวฉันจะโทรหาซือซ่าวเดี๋ยวนี้เลยค่ะ! คุณหยุดร้องก่อนนะคะ ใจเย็นๆ ฉันจะโทรหาเขาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ บอกให้เขารีบกลับมาหาคุณ!”

ทำเป็นเล่นไป มุขนี้มันได้ผลอย่างน่าเหลือเชื่อ สาวน้อยหยุดร้องไห้ในทันที เสียงร้องที่ดังลั่นเงียบลงในทันที ถึงแม้ไหล่ทั้งสองข้างของเธอจะยังสั่นอยู่ แต่อย่างน้อยหูของฉวีซือเหวินก็ได้อยู่อย่างสงบสักที

มือถือบนโต๊ะทำงานของหลิงเล่สว่างขึ้นแล้วเสียงเรียกเข้าก็ดังตามขึ้นมาในทันที

เขามองไปที่มือถืออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว บนหน้าจอมีคำว่า “ซือ” ปรากฏขึ้น

มือถือดังอยู่นาน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมัน ฉวีซือเหวินที่อยู่ในกล้องดูร้อนรนเป็นอย่างมาก การร้องไห้ของสาวน้อยก็ดูจะเลวร้ายลงไปทุกที

จั๋วซีเห็นแล้วใจคอไม่ดี “ซือซ่าวครับ ปกติคุณเป็นห่วงคุณหนูมากเลยไม่ใช่เหรอครับ?”

หลิงเล่สูดหายใจเข้า แล้วพูดว่า “รอก่อน!”

จั๋วซี “……”

ฉวีซือเหวินโทรใหม่อีกรอบ ในระหว่างที่โทร เธอก็ได้ถลึงตาใส่กล้องวงจรปิดไปด้วย!

หลิงเล่ยังคงไม่สนใจ ตาทั้งสองข้างของเขากำลังจดจ่อไปที่หน้าจอคอม มองดูคนตัวน้อยที่กำลังร้องไห้อย่างปวดใจ

แล้วในสายที่สาม หลิงเล่ก็ได้ยกมือขึ้น แล้วพูดว่า “รับสาย แล้วบอกไปว่าผมอยู่ที่ห้องทำงาน บอกว่าผมฝากมือถือไว้ที่คุณ ส่วนคำถามอื่นห้ามตอบเด็ดขาด!”

จั๋วซีรู้สึกหน้าชาไปหมดแล้ว หยิบมือถือของหลิงเล่ขึ้นมา แล้วรับสาย “ครับ พี่สะใภ้ นี่ผมเอง จั๋ววีครับ ซือซ่าวเขาอยู่ที่ห้องทำงานครับ เขาไม่ได้พกมือถือไว้ เขาเอามันฝากไว้ที่ผมครับ”

ฉวีซือเหวินได้เปิดลำโพงคุย เมื่อจั๋วซีพูดมาอย่างนั้น เธอก็อยากจะตีเขาให้ตายไปเลย!

ส่วนสาวน้อยนั้น ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เธอจึงเอาเจินเจินยัดใส่มือของฉวีซือเหวินแล้วพูดว่า “แงงงง~หนูจะไปหาคุณน้า~ หนูจะไปหาเขาที่ห้องทำงานค่ะ~แงงงง~”