บทที่ 127 ฝ่าบาทดื่มน้ำส้ม

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ดูเหมือนว่าในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มีเวลามาสนใจเขาได้เสียที เขาสวมเสื้อตัวในสีขาว ร่างสูงโปร่งของเขาค่อยๆ หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มรูปงามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น

ดวงตาของเด็กหนุ่มรูปงามเป็นประกายเมื่อเห็นว่าเขามีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาตั้งท่าจะพูดต่อ

แต่แล้วภายในห้องก็มีน้ำเสียงอันเฉยเมย และชั่วร้ายเย็นชาอย่างที่ไม่เคยมีดังขึ้นเสียก่อน เสียงนั้นเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง “กิเลน”

“อยู่นี่ขอรับ” ร่างของชายผู้หนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ มุมปากที่กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายของเขาดูเข้ากับศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยผมสีแดงยาวยิ่งนัก เขายืนอยู่ใต้แสงจันทร์ แผ่บรรยากาศลึกลับและงดงามเหนือจริงออกมาอย่างรุนแรง

“ทำให้เขาเงียบสักพักสิ” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไร้ซึ่งความอบอุ่นจนแทบจะไม่สามารถสัมผัสถึงอารมณ์ที่สื่อออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

แต่มันกลับทำให้สีหน้าของเด็กหนุ่มรูปงามเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาจะใช้ไม้นี้ไม่ได้! ท่านพี่เอาชนะเขาด้วยฝีปากไม่ได้ ก็เลยสั่งให้กิเลนอัคคีปรากฏตัว!

“ท่านพี่ ถ้าท่านมีฝีมือจริง เช่นนั้นก็อย่าใช้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองสิ!”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดการเคลื่อนไหวไปเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงหันไปชำเลืองมองอีกฝ่าย “เจ้าหมายความว่าเจ้าต้องการให้ข้าลงมือเองหรือ”

“แน่นอน! การใช้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์นับว่าเป็นฝีมือตัวเองที่ไหนกัน!” เด็กหนุ่มรูปงามดูมีสีหน้าภาคภูมิใจ พลางเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง ปลายคางแหลมคมอันบอบบางของเขาเชิดขึ้น

“อ้อ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะในลำคอ แล้วจงใจวางสิ่งที่ตนถืออยู่ในมือลงข้างๆ

กิเลนอัคคีเริ่มโผบินขึ้นไปบนฟ้าทำมุมสี่สิบห้าองศา ในยามปกตินายน้อยหานผู้นี้ก็ดูเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ทำไมเมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้สมองของเขาถึงได้โง่เง่านักนะ

ถ้ามันเป็นผู้ลงมือ อย่างมากที่สุดก็คงทำให้เขาสลบไปเท่านั้น

แต่ถ้าฝ่าบาทเป็นคนลงมือเองล่ะก็…

กิเลนอัคคีตัวสั่นอยู่เงียบๆ

“เดี๋ยวก่อน! ท่านถอดรองเท้าข้าออกทำไม!” เด็กหนุ่มรูปงามพูดด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ท่านไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ ใช่ไหม?! แต่ข้าชอบผู้หญิงมากกว่านะ ผู้หญิง!”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเขาอย่างเกียจคร้าน ขณะใช้นิ้วคีบเศษผ้าที่เคยเป็นถุงเท้าขึ้นมา คิ้วยาวของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ไม่ได้เจอเจ้าแค่ไม่กี่ปี ทำไมถึงพูดมากขึ้นขนาดนี้”

“ข้า…อื้อ!” สองตาของเด็กหนุ่มรูปงามสั่นไหวในทันที เขาไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีกต่อไป

เพราะชายหนุ่มยื่นมือของตนออกมา แล้วจับถุงเท้ายัดเข้าไปในปากของเขาทันที!

เด็กหนุ่มรูปงามได้กลิ่นเหม็นปรี้ยวอย่างยากจะหาใดเปรียบเสียดแทงเข้ามาในจมูก ทันใดนั้นใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็ดูน่าอนาถยิ่งนัก!

กระเพาะของกิเลนอัคคีที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ถึงกับปั่นป่วนไปหมด พอได้เห็นสถานการณ์ปัจจุบันของนายน้อยหาน มันก็นึกถึงเหตุการณ์ที่นายท่านบังคับให้มันกินผักทุกวันตลอดสามเดือนขึ้นมา

ความรู้สึกนั้น…

ในระหว่างที่กิเลนอัคคีกำลังหวนรำลึกถึงความทรงจำเหล่านั้น มันก็รู้สึกว่าไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว

มันส่ายหัวเป็นพัลวัน โดยคิดว่าถ้ามันเป็นนายน้อยหาน มันคงไม่คิดที่จะใส่ถุงเท้าไปอีกหลายวัน!

เพราะเหตุนี้มันถึงได้บอกว่า ไม่ว่าจะทำให้ใครขุ่นเคือง ก็อย่าไปทำให้นายท่านของเขาขุ่นเคือง

มันไม่ต่างอะไรไปจากการเอาตัวเองไปหาเรื่องปีศาจเลยแม้แต่นิดเดียว เฮ้อ!

“อื้อๆๆ!” ในที่สุดเด็กหนุ่มรูปงามก็ได้สติกลับมาจากการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการสบถคำด่าออกมาเป็นชุด!

กิเลนอัคคีตบบ่าของเขาด้วยท่าทางปลอบประโลม พลางถามด้วยน้ำเสียงยั่วโมโหว่า “ให้ข้าต่อยท่านจนสลบดีหรือไม่”

“เฮ้ย!” พ่อยังด่าไม่พอใจเลย! ไม่มีใครหยุดพ่อได้หรอก!

กิเลนอัคคียักไหล่ แล้วลูบจมูกตัวเอง พลางกล่าวว่า “ก็ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไปแล้ว นายน้อยหาน เชิญท่านสูดดมกลิ่นให้หนำใจไปเลยขอรับ”

“เฮ้ย!” เดี๋ยวก่อน! เมื่อกี้พ่อแค่แกล้งทำเป็นไม่สนใจต่างหาก! เจ้าเข้าใจหรือเปล่า เฮ้! รีบกลับมาเอาไอ้ผ้าเหม็นๆ นี่ออกจากปากพ่อก่อนสิ! แหวะ! กลิ่นเน่าๆ นี่ทำให้เขาแทบจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มรูปงามมองไปยังประตูห้องที่ปิดลง แล้วอยากจะร้องไห้ออกมายิ่งนัก แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา

เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง กิเลนอัคคีเองก็มาพร้อมกันกับเขา และรีบเตรียมผ้าเช็ดตัวให้เขาทันที

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ขณะที่เขารับผ้าเช็ดตัวผืนนั้นมาเช็ดนิ้วของตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในดวงตาของเขาคล้ายกับมีความมืดมิดอยู่ภายใน

กิเลนอัคคีใช้โอกาสนี้เงยหน้าขึ้น แล้วชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของผู้เป็นนาย และค้นพบว่าริมฝีปากบางที่อยู่บนใบหน้าหล่อเหลาเปล่งประกายของชายหนุ่มคนนั้นเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง

การได้เห็นสีหน้าเช่นนี้จากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำให้กิเลนอัคคีหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจจนตัวสั่น มันอยู่เคียงข้างนายท่านมาก็หลายปี การอยู่กับเขามาหลายปีย่อมทำให้มันสามารถตัดสินได้ไม่มากก็น้อยว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นเช่นใด

ตอนที่เขายิ้มเย็นชาออกมา เก้าในสิบนั่นหมายถึงว่าอารมณ์เขาไม่ดีเท่าใดนัก

แต่เมื่อครู่นายท่านก็สั่งสอนนายน้อยหานด้วยตัวเองไปแล้วนี่นา ทำไมเขาถึงยังอารมณ์เสียอยู่ล่ะ

แม้ว่ากิเลนอัคคีจะมีคำถามอยู่ในใจ แต่มันก็ไม่กล้าเอ่ยออกไป และทำได้เพียงเกาสันจมูกของตนพลางกล่าวว่า “นายท่านขอรับ เมื่อครู่นี้นายน้อยหานได้ข่าวมาว่า คนจากสี่ตระกูลใหญ่มาถึงที่นี่แล้ว พวกเราควรกลับไปที่เมืองหลวงก่อนดีหรือไม่ขอรับ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา ภายในห้องนั้นกลับยิ่งเงียบงันกว่าที่เคย กิเลนอัคคีกลืนน้ำลายเงียบๆ ในเวลานี้มันแทบจะมั่นใจแล้วว่านายท่านอารมณ์ไม่ดีจริงๆ

เดิมทีนั้นอารมณ์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เย็นชาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ร่างของเขากลับมีบรรยากาศเย็นยะเยือกยากที่จะเข้าใกล้ได้เพิ่มขึ้นมาอีกชั้น ประกอบด้วยแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากก้นบึ้งในดวงตาของเขา ท่าทางเช่นนั้นทำให้บรรยากาศตึงเครียดที่อยู่ทั่วห้องแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชากว่าเก่า

เขายกจอกเหล้าที่รินให้ตัวเองขึ้น โยกมันน้อยๆ ไม่ช้าไม่เร็ว เส้นผมสีดำเปียกชื้นจากการตากฝนดูคล้ายกับค่ำคืนอันมืดมิด

ยิ่งกิเลนอัคคีมอง มันก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก เพราะมันมักจะรู้สึกว่าผู้เป็นนายกำลังจะขยี้จอกใบนั้นให้แตกเป็นชิ้นๆ!

ทันใดนั้น ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หุบลง และเอ่ยเบาๆ ขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ดูเหมือนว่าจะมีอีกหลายเรื่องที่เหยื่อของข้ายังไม่ได้บอกข้า หึ เหยื่อที่ไม่เชื่อฟังย่อมต้องได้รับการฝึกให้เหมาะสม”

เพล้ง

จอกเหล้าแตกเป็นเสี่ยงอยู่ในมือของเขา พร้อมกับละอองเหล้าที่ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ กลิ่นเหล้าองุ่นนั้นชวนให้ใครต่อใครรู้สึกเวียนหัว

“นายท่าน!” กิเลนอัคคีร้องด้วยความตกใจ “มือของท่าน!”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนิ้วที่ถูกบาดเป็นทางของตน ก่อนจะใช้ปลายลิ้นแลบเลียนิ้วของตนด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ร่องรอยแห่งความเย้ายวนแล่นผ่านในดวงตาของเขา สายลมพัดโชย เผยให้เห็นความหยิ่งยโสอันห่างเหินเย็นชา…

กิเลนอัคคีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไมจู่ๆ นายท่านถึงอารมณ์ไม่ดีถึงเพียงนี้ได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเมื่อครู่ตอนที่เขาเข้ามาในเรือนรับรองนี้ เขายังอารมณ์ดีอยู่เลย

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะผู้หญิงที่ชื่อเฮ่อเหลียนเวยเวย

มีความเป็นไปได้มากทีเดียว

อย่างไรเสีย สิ่งที่นายท่านเกลียดที่สุดก็คือคนที่มายุ่มย่ามกับของของเขา

ไม่ใช่เพราะเขาชอบของชิ้นนั้นมาก แต่เป็นเพราะอาการคลั่งความสะอาดเป็นเหตุต่างหาก

อย่าว่าแต่เหยื่อของเขาเลย แม้แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ทุกวัน หากมันมีรอยเปื้อนแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ เขาจะโยนทิ้งอย่างไม่สนใจไยดีทันที

ถ้าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นอย่างที่นายน้อยหานพูดจริงๆ และนางมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นล่ะก็

นายท่านของเขาก็น่าจะหมดความสนใจในตัวนางทันที…

นอกบานหน้าต่าง ทิวทัศน์ยามค่ำคืนยิ่งครึกครื้นรื่นเริง ที่โรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ถัดจากโถงที่จัดงานประลองเจ้ายุทธ์ เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฮยเจ๋อ นางวางเจ้าแมวขาวเอาไว้บนโต๊ะ “เปลี่ยนแผน ข้าจำต้องกลับไปก่อน”

เฮยเจ๋อเลิกคิ้วคู่งามของตนด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย “ไม่กลัวองค์ชายสามจับแล้วหรือ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักมือที่ยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย แล้วทำเพียงส่งเสียง ‘อืม’ อย่างคลุมเครือออกมาเท่านั้น นางไม่ได้เล่าเรื่องข้อตกลงระหว่างนางกับองค์ชายสามให้เฮยเจ๋อฟัง

จู่ๆ เฮยเจ๋อก็โน้มตัวลง ประกายในดวงตาของเขาดูเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย “ตราบใดที่เจ้ามีสัญญาแต่งงานอยู่ องค์ชายสามก็จะไม่ก่อเรื่องยุ่งยากให้เจ้าอีกต่อไป เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้าลองเอาเรื่องการเป็นภรรยาของนายน้อยคนนี้ไปพิจารณาดูหน่อยดีไหม หืม”