บทที่ 128 อยากให้เจ้าดูดี

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“ข้าไม่สนใจผู้ชายเจ้าชู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ หมุนถ้วยชาในมือ พร้อมกับพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ยิ่งกว่านั้น ถ้าเจ้าแต่งงานกับข้า หวานใจที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเจ้าคนนั้นจะมิเอาแต่ร้องห่มร้องไห้อยู่ในห้องน้ำจนสลบไปเลยหรือ หืม”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฮยเจ๋อหุบลงในทันที เขายกมือขึ้นกระดกเหล้าไปเสียอึกใหญ่ “นางน่ะหรือ หึ นางน่าจะเร่งให้ข้ารีบแต่งงานเสียด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำเมื่อวานซืนนางยังส่งภาพแขวนผนังกองโตมาให้ท่านปู่ของข้าอีกด้วย ชอบหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง”

ในระหว่างที่เฮยเจ๋อกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา เขาก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันราวกับไม่สนใจใครอีกต่อไปออกมา

เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่ตกหลุมพรางอย่างแน่นอน ใครต่อใครต่างก็พากันพูดว่าสายตาของคุณชายรองเฮยนั้นสูงกว่าหลังคาบ้านเสียอีก แม้จะพบปะกับหญิงสาวหน้าใหม่หลายคน แต่ก็ไม่เคยทนคนไหนได้นานเกินครึ่งเดือน

แต่จากการสังเกตของเฮ่อเหลียนเวยเวย สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในใจของเขามีใครคนหนึ่งซ่อนอยู่ต่างหาก…

“เจ้าก็ควรจะกลับไปก่อนเหมือนกัน” เฮยเจ๋อเอนตัวเข้ามาหานาง ใบหน้าคมเอ่ยต่อด้วยท่าทางสงบ “แม้เจ้าจะเป็นผู้ชนะและได้อาวุธของคุณชายอู๋ซวงมาแล้ว แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่ไม่เห็นด้วย ดังนั้นการอยู่ที่เมืองอู่ซิวต่อย่อมไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้าเหมือนกัน”

เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นนางจึงไม่อยู่ต่อ หลังจัดการทุกสิ่งที่ต้องทำจนเสร็จเรียบร้อย นางก็ตั้งท่าจะออกจากโรงเตี๊ยม

แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญพบกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กับคนของนางเข้า

ดูเหมือนว่าพวกนางเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากงานประลองเจ้ายุทธ์ แต่ละคนล้วนถืออาวุธใหม่ที่ตนเลือกเอาไว้ในมือ

หลังจากที่คนพวกนั้นเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ละคนก็แสดงสีหน้าแตกต่างกันออกมา

“ฉางเฟิง ดูสิ ยายอัปลักษณ์นั่นก็อยู่ที่นี่ด้วย นางคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามหาเจ้าหรอกใช่ไหม” ใครสักคนหัวเราะขึ้น

จะตำหนิที่คนผู้นี้มีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ไม่ถูก เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยคนเก่านั้นหมกมุ่นอยู่กับมู่หรงฉางเฟิงจริงๆ ในแต่ละวันนางจะไปยืนอยู่ตรงหน้าคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ และเฝ้าแต่คิดว่าทำเช่นใดจึงจะได้ข่าวคราวของว่าที่สามีในอนาคตบ้าง

ถึงมันจะเป็นแนวคิดซึ่งเด็กสาวทุกคนที่กำลังจะแต่งงานมีกัน แต่กระนั้นคนพวกนี้กลับเอามันมาล้อเลียนเฮ่อเหลียนเวยเวย

เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเย็นชา เจ้าแมวขาวนั่งอยู่บนไหล่ของนาง นางกระชับร่มที่อยู่ในมือ และไม่สนใจคนกลุ่มนั้นเลยแม้แต่น้อย

เมื่อมู่หรงฉางเฟิงได้ยินคนพูดถึงนาง สองตาของเขาก็อดที่จะหันไปมองนางไม่ได้ มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อเกร็งขึ้นทันที

บางทีแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมบางครั้งในใจของเขาจึงมีภาพใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยปรากฏขึ้นอยู่บ่อยๆ

เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะตนยังไม่สามารถทำใจให้ชินได้

อย่างไรเสีย คนที่ครั้งหนึ่งเคยคลั่งไคล้ตนเองในอดีต มาตอนนี้กลับกลายเป็นเย็นชาห่างเหินเช่นนี้ ก็คงไม่มีใครทำตัวให้ชินได้

“ดูร่มในมือนางสิ มันคงเป็นอันที่คุณชายอู๋ซวงทำขึ้นมา” สายตาอิจฉาริษยาพุ่งตรงไปยังร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย

ในกลุ่มคุณหนูจากตระกูลขุนนางพวกนั้น ล้วนแต่เต็มไปด้วยคนที่ชื่นชมมู่หรงฉางเฟิง และมีความสัมพันธ์อันดีกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกนางจะมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาไม่ชอบใจ

นอกจากนี้ เมื่อบวกกับตำแหน่งอันมั่นคงภายในเมืองอู่ซิวของบิดานางเข้าไปด้วยแล้ว จึงเป็นเหตุให้นางไม่คิดที่จะทำตัวมีมารยาทต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยแม้แต่นิดเดียว “นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ เอาร่มคันนั้นมาให้พวกข้าดูหน่อยสิ!”

เฮ่อเหลียนเวยเวยทำราวกับว่านางมัวแต่สนใจเรื่องของตัวเองอยู่จนไม่ได้ยินเสียงนั้นแม้แต่นิดเดียว นางเดินตรงไปข้างหน้า

คุณหนูจากตระกูลขุนนางคนนั้นไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน นางสาวเท้าเข้าไปยืนขวางทางเฮ่อเหลียนเวยเวยตรงๆ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินหรือไง”

เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามองนางอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วพูดออกมาเพียงสองคำว่า “หลีกไป”

“หึ!” คุณหนูคนนั้นคิดว่าคำพูดนั้นช่างน่าขันอย่างยิ่ง นางก้มหน้าลง “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงกล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้าได้อาวุธของคุณชายอู๋ซวงมาก็เพราะโชคช่วย มาตอนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองเข้าใจเรื่องอาวุธดีแล้วหรือไร นังคนอัปลักษณ์ ข้าจะบอกให้นะ ว่าอย่างไรเสียเจ้าก็ยังห่างชั้นอยู่ดี!”

สองตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยมองตรงไปข้างหน้า สบตากับคุณหนูคนนั้น และริมฝีปากบางของนางก็เอ่ยคำพูดอันเต็มไปด้วยความเย็นชาดุร้ายออกมาว่า “ข้าจะพูดอีกครั้ง หลีกไป”

คุณหนูจากตระกูลขุนนางคนนั้นไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เช่นกัน เมื่อเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา ใบหน้าของนางก็บึ้งตึงทันที

“พี่ใหญ่!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ คุณหนูคนนั้นใช้สายตา ‘ท่านโง่เง่าขนาดนี้ได้อย่างไร’ มองเฮ่อเหลียนเวยเวย “คุณหนูเฉิงคนนี้เป็นบุตรสาวของรองประธานผู้จัดงานประลองเจ้ายุทธ์นะเจ้าคะ ท่านควรจะเคารพนางสักนิดนะเจ้าคะ”

ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยยกขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาของนางมีรอยยิ้มเยาะเย้ยเผยออกมาอย่างช้าๆ

เมื่อคุณหนูคนนั้นเห็นสีหน้านี้ นางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ และหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากลดตัวลงไปอยู่ระดับเดียวกับนาง พวกคนนอกคอกที่โชคดีเพียงแค่ครั้งเดียว และไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ เจ้าจะหวังให้นางมีความเคารพยำเกรงต่อผู้อื่นได้อย่างไรกันเล่า น้องเจียวเอ๋อร์ ไหนๆ เจ้าก็จ่ายเงินซื้ออาวุธจากเวยเจ๋อมาแล้ว เจ้าน่าจะแสดงให้นังคนนอกคอกคนนี้ดูให้เห็นเป็นบุญตาหน่อยนะ นางจะได้รู้ว่าความต่างชั้นด้านความสามารถน่ะมันเป็นเช่นใด”

หลังจากชื่อเวยเจ๋อถูกกล่าวขึ้นมา รอยยิ้มที่อยู่ตรงมุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ่งกว้างขึ้น ขณะที่รอยยิ้มนั้นเหยียดออก มันก็เผยเอกลักษณ์ลึกลับเฉพาะตัวออกมาเล็กน้อย

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หัวเราะเสียงเบา แล้วแสร้งทำเป็นพูดเลี่ยงๆ ว่า “เรายังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากันอยู่เลยเจ้าค่ะ ยังไม่แน่ว่าจะได้รับอาวุธชิ้นนั้นมาหรือไม่ แต่ก็น่าจะมีความเป็นไปได้อยู่”

“น้องเจียวเอ๋อร์ เจ้าจะไปกลัวอะไร คฤหาสน์ผู้พิทักษ์มิเคยขาดแคลนเงินทอง ยิ่งกว่านั้น จะมีก็แต่เพียงอาวุธชั้นเลิศเท่านั้นที่คู่ควรกับพรสวรรค์ของเจ้า” เฉิงเฉิงแตะมือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ แล้วชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างรังเกียจ “ไม่เหมือนบางคนที่ดีแต่ประจบคนอื่นไปทั่ว แต่ไม่มีพรสวรรค์ที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย ข้าเดาว่านางคงไม่เคยได้ยินชื่อเวยเจ๋อเลยด้วยซ้ำ ถ้าข้าเป็นท่านปรมาจารย์ แล้วรับศิษย์เช่นนี้มา ข้าคงรู้สึกอับอายขายหน้าจนแทบทนไม่ไหว”

คำพูดของเฉิงเฉิงเรียกเสียงหัวเราะได้จากทั่วทุกทิศทาง

เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นกอดอก ร่างของนางพิงเสาที่อยู่ด้านหลัง อืม…นางควรจะบอกคุณหนูเฉิงอย่างไรดีว่าแท้จริงแล้วเวยเจ๋อถูกก่อตั้งขึ้นด้วยฝีมือนางเอง เหอะๆ

“เอาล่ะ อย่ามาเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย” มู่หรงฉางเฟิงปรายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่แยแส สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย “เจ้าเองก็ควรจะกลับไปในที่ที่เจ้าคิดจะไปได้แล้ว”

เมื่อเฉิงเฉิงได้ยินมู่หรงฉางเฟิงพูดช่วยเหลือเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเหนือความคาดหมาย นางก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ มู่หรงซื่อจื่อเกลียดเด็กสาวคนนี้ที่สุดมิใช่หรือ

“ซื่อจื่อพูดถูกแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับคนไร้ค่าเช่นนี้หรอก” เฉิงเฉิงจงใจบิดเบือนคำพูดของมู่หรงฉางเฟิง พลางยิ้มยั่วยุ “ข้าได้ยินมาว่านางเองก็จะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ที่จะจัดขึ้นไม่นานหลังจากนี้ด้วย เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเราคงได้แลกเปลี่ยนฝีมือกันอย่างถูกต้องเหมาะสม”

นางจะต้องอัดนังคนอัปลักษณ์ผู้นี้ให้น่วมจนลุกไม่ขึ้นให้ได้!

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ คนที่รู้จักนางจะรู้ว่าตอนนี้นางกำลังรีบ มิฉะนั้นมีหรือที่นางจะยอมทนอยู่เฉยได้โดยที่ไม่กระโจนเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับหมัดในมือ!

แต่เมื่อคิดว่ายังมีองค์ชายสามที่รอนางอยู่ อีกทั้งหากเรื่องนี้ไปดึงความสนใจของสี่ตระกูลใหญ่เข้า ก็คงจะกลายเป็นการนำปัญหาไปสู่องค์ชายสาม ทำให้เขาต้องลำบากอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการสร้างปัญหาให้กับหุ้นส่วนของตน

แต่การได้แลกเปลี่ยนฝีมือกับนางอย่างถูกต้องเหมาะสม ณ งานประลองยุทธ์ ก็ช่างบังเอิญตรงกับความคิดของนางเสียจริงเชียว หึๆ…

“แม่นาง รอยยิ้มของเจ้าชั่วร้ายมาก”