สองสามีภรรยาตระกูลวังได้ยินข่าวน่ายินดีสำหรับครอบครัวพวกเขา ก็อดดีใจอย่างที่สุดไม่ได้

“นี่…จริงหรือ” เพียงแค่ดูแลพื้นที่บุกเบิกใหม่ห้าหมู่หนึ่งปีก็ได้เงินสามตำลึง หลังเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงยังได้ผลผลิตอีกหนึ่งส่วน เรื่องดีๆ เช่นนี้หาได้ที่ไหน

“ในเมื่อมาคุยกับพวกท่านแล้วก็ย่อมจริง” ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มพยักหน้า ตระกูลวังเป็นตระกูลชาวนาใหญ่ในเมืองฝานฮัวที่มีชื่อ ครอบครัวหกคน ตายายเฒ่าสองคน ลูกชายคนโตกับภรรยา ลูกชายคนเล็กกับลูกสาวคนเล็ก ทุกคนล้วนทำนาเพาะปลูกเป็น นอกจากที่นาดีสามหมู่ของพวกเขา ดูแลพื้นที่บุกเบิกใหม่ห้าหมู่ของจวนพักตากอากาศเพิ่ม น่าจะไม่ใช่ปัญหา

“ขอบคุณ! ขอบคุณฮูหยิน! ขอบคุณฮูหยิน!” นางวังดีใจจนอดปาดน้ำตาไม่ได้ สามปีมานี้เห็นเพื่อนบ้านได้รับการสนับสนุนจากเจ้านาย ทำกิจการเล็ก กิจการก็รุ่งเรือง ทำร้านช่างไม้ ก็รับงานไม่ขาด พวกเลี้ยงสัตว์ก็หาช่องทางขายให้ มีแต่พวกเขาที่บรรพบุรุษทำนาหาเลี้ยงชีพ ผักก็ขายได้ไม่ได้ราคาสักเท่าไร แต่จะให้พวกเขาทิ้งที่นาไปทำอย่างอื่น ก็ทำไม่เป็นจริงๆ ตอนนี้เจ้านายมาหาพวกเขาถึงบ้าน บอกว่าจะให้พื้นที่บุกเบิกใหม่ห้าหมู่มาดูแล จะไม่ดีใจได้อย่างไร

ปีหนึ่งตั้งสามตำลึง เลี้ยงดูครอบครัวพวกเขาห้าคนได้เหลือเฟือ ผลผลิตข้าวและผักที่เหลือก็เอาไปขายได้อีก ล้วนเป็นกำไรแล้ว หากจัดการดีๆ เจ้านายให้ครอบครัวตนดูแลทุกปี เงินสะสมก็ย่อมยิ่งมาก ลูกชายคนเล็กแต่งสะใภ้ก็ย่อมไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว

“ควรเป็นข้าขอบคุณพวกเจ้าถึงจะถูก จวนพักตากอากาศไม่มีกำลังคนมากมายเช่นนั้น ฝากพวกเจ้าดูแล ข้าก็วางใจ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มกล่าว จากนั้นก็ควักเอาเงินออกมาสองตำลึง “ไม่ใช่ไม่วางใจ แต่จวนพักตากอากาศเองก็มีธรรมเนียม สองตำลึงนี้เป็นเงินมัดจำ ที่เหลืออีกหนึ่งตำลึงกับผลผลิตหนึ่งส่วน หลังเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงก็จะมอบให้พวกเจ้าทีเดียว ดีไหม” นางให้ซิ่นจือนำสัญญาที่ร่างเสร็จเมื่อตอนเช้า ส่งให้กับผู้ใหญ่บ้านเป็นพยาน สองฝ่ายลงนามในสัญญา

“ได้ๆๆ” สองสามีภรรยาตระกูลวังรีบพยักหน้าหงึกๆ ผลักผู้นำครอบครัวให้ไปประทับนิ้วมือที่ผู้ใหญ่บ้าน ตนเองรับเงินสองตำลึงจากซูสุ่ยเลี่ยนอย่างทะนุถนอม ยังคิดว่าสามตำลึงจะมอบให้หลังฤดูใบไม้ร่วง ผู้ใดจะรู้ว่ายังไม่ทันเริ่มงาน ก็ได้รับก่อนแล้ว

“สำหรับเครื่องมือทำงาน ปุ๋ยหรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้ พวกเจ้าก็ไปบอกพ่อบ้านใหญ่เซียว ไปเบิกเอาเครื่องมือของจวนพักตากอากาศที่วางรวมกันไว้ที่เรือนข้างสร้างใหม่ มีอะไรจำเป็นก็ให้ลงบัญชีเบิกกับพ่อบ้านใหญ่เซียวใช้ได้ตามสบาย ไม่จำเป็นต้องออกไปก่อน”

“ได้ๆๆ” สองสามีภรรยาตระกูลวังพากันพยักหน้าหงึกๆ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ปุ๋ยที่สิ้นเปลืองก็ยังไม่ต้องรับผิดชอบ เช่นนั้นเงินสามตำลึงก็เป็นค่าแรงพวกเขาอย่างเดียว ในใจก็ยิ่งซาบซึ้ง รู้ว่านี่คือเจ้านายต้องการช่วยเหลือครอบครัวตน

“ลุงวัง ป้าวัง หากทำไม่ไหวจริงๆ…ก็มาบอกข้าได้โดยตรง ข้าจะจัดคนไปช่วย อย่าฝืน” ก่อนกลับ ซูสุ่ยเลี่ยนยังอดเตือนไม่ได้ เห็นสองสามีภรรยาตระกูลวังอายุก็ใกล้จะสี่สิบแล้ว อยู่ๆ ต้องมาแบกรับพื้นที่บุกเบิกใหม่ห้าหมู่เพิ่ม กลัวว่าครอบครัวพวกเขาจะกดดันมากเกินไป เป็นการทำร้ายพวกเขา

“ได้ พวกเรารู้กำลังตนเองอยู่ ฮูหยินโปรดวางใจ” นางวังตบหน้าอกรับรอง ที่นาดีสามหมู่ของพวกเขามอบให้ลูกชายคนโตสองสามีภรรยาไปดูแล้วก็ไม่มีปัญหาแล้ว นอกจากตอนเพาะปลูกเก็บเกี่ยว แต่เจ้านายก็ไม่ได้บอกหรือ ตอนเพาะปลูกเก็บเกี่ยวจะหาคนมาช่วย ไม่ต้องให้พวกเขาเก็บเกี่ยวทั้งห้าหมู่ลำพัง พอคิดเช่นนี้ จะไปเหนื่อยอะไรกัน ปกตินางกับสามีก็ว่างขึ้นเขาซิ่วเฟิงไปตกปลากันอยู่แล้ว

“คือว่า…ฮูหยิน หากจวนพักตากอากาศมีรับบ่าวรับใช้ รับเสี่ยวเหมยของพวกเราไปลองสักหน่อยได้ไหม ปีนี้นางก็สิบสามแล้ว ทำงานในจวนไหวแน่นอน” ได้ยินนางเหลาว่าสามีนางหาเงินได้มากจากการเป็นคนสวน ปีหนึ่งได้ไปหลายตำลึง อย่างนั้นก็ให้ลูกสาวคนเล็กไปเป็นสาวใช้ยกน้ำก็น่าจะได้พอสมควรเหมือนกันกระมัง

“เอ๋?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็กำลังจะก้าวออกจากประตูไปดู หันไปมองนางวังที่มองมาด้วยความหวัง ก่อนจะกวาดตาไปมองเสี่ยวเหมยที่กำลังดึงชายเสื้อตนเองไว้ด้วยความเอียงอาย

แต่ไรมานางไม่เคยเรียกชาวบ้านในเหอหยวนมารับเป็นสาวใช้คนงานชายประจำจวน หนึ่ง กลัวพวกเขาว่าเจ้านายรังแก ถึงกับให้ลูกหลานที่รักของพวกเขามาเป็นสาวใช้คนงานในจวน สอง กลัวพวกเขาเห็นบิดามารดาอยู่ใกล้ๆ วันๆ คิดแต่ละกลับบ้าน ไม่ตั้งใจทำงาน ทำลายธรรมเนียมจวนพักตากอากาศ จะลงโทษก็ไม่ได้ จะตำหนิก็ไม่ได้

ดังนั้นนางจึงได้แต่หาจ้างแรงงานระยะยาวมาจากเมืองชิงเถียน เพื่อให้งานในโรงแปรรูปผักดองดำเนินการไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ที่อื่นต้องการคนทำงานก็ล้วนไปหาเด็กกำพร้า หรือเหลือแต่บิดาหรือมารดาจากหอพักใจ

“เจ้าอยากมาเองหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้าลงถามเสี่ยวเหมย

“อืม” เสี่ยวเหมยพยักหน้าเบาๆ นางเคยเห็นสาวใช้ทำงานให้เจ้านาย มีเสื้อผ้าใส่สวยกว่านางตอนนี้อีก ออกไปข้างนอกก็ไม่เหมือนเป็นสาวใช้ ตามที่ผู้ใหญ่บ้านบอก หากทำได้ดี ยังมีโอกาสได้ไปเรียนในสำนักศึกษา ยังไปประจำร้านค้าในเมืองได้ นางฟังแล้วก็อยากมาลองนานแล้ว แม้ไม่อาจเหมือนพี่ต้าเป่าที่เปิดร้านค้าไม้ใหญ่โตเป็นเถ้าแก่ได้ แต่หากได้เป็นคนงานร้านที่อาชีพมั่นคงได้ ทุกเดือนมีเงินเดือนมั่นคงได้ก็ถือเป็นเรื่องดี

“แต่ว่าหากทำสัญญาจ้างระยะยาวจริง สั้นสุดก็สองปี เจ้ามั่นใจไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนถามยิ้มๆ นางไม่ได้คิดทำให้ลำบากใจ เพียงแต่เข้ามาทำงานในจวนพักตากอากาศ เรื่องแรกก็ต้องรับการอบรมจากชุนหลันก่อนเป็นเดือน จากนั้นก็จะถูกส่งไปประจำงานตำแหน่งต่างๆ ทุกสี่เดือนก็จะเปลี่ยนงาน ปีหนึ่งก็จะตัดสินใจงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคนตามความถนัด

“มี” เสี่ยวเหมยยืดอก สีหน้าอายๆ ได้บอกความในใจของเด็กสาววัยสิบสามหมดสิ้นแล้ว ความกล้าไม่น้อย

ป้าวังเห็นซูสุ่ยเลี่ยนถามเช่นนี้ ในใจก็พอเดาได้แล้ว ยิ้มถูกระโปรงไปมา “ฮูหยิน คือว่า ใกล้เที่ยงแล้ว บ้านเราไม่มีอาหารอะไรมาก หากไม่รังเกียจก็เชิญกินอาหารกลางวันด้วยกันค่อยกลับ?”

“ไม่แล้ว ป้าวัง ข้ายังต้องไปโรงทอผ้าไหม ในเมื่อเสี่ยวเหมยตั้งใจจริง พวกท่านก็ตกลง แน่นอนข้าย่อมยินดีรับนางไว้ พรุ่งนี้ยามเหม่าก็ไปหาชุนหลัน นางจะพาเจ้าไปทำสัญญา สำหรับรายได้ ปีแรกคงไม่มาก เดือนละสองร้อยเหรียญทองแดงรวมกินอยู่ หากอยากไปพักที่บ้านก็ได้ แต่ทว่าวันที่มีเวรต้องอยู่” ซูสุ่ยเลี่ยนกล่าวถึงรายได้สาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาอยู่จวนพักตากอากาศ พวกเขาจะได้พอรู้กันในใจ ยังมีเวลาคิดอีกคืน

“ได้ๆๆ เสี่ยวเหมยไป วางใจได้ จะไม่ทำให้ฮูหยินเสียหน้าเด็ดขาด” ป้าวังได้ยินว่าได้เดือนละสองร้อยเหรียญทองแดง ปีหนึ่งก็สองตำลึง รวมอาหารสามมื้ออีก เรื่องดีเช่นนี้ ทำไมไม่คิดให้เร็วกว่านี้นะ?!

ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นพวกเขาฟังจบก็ไม่คิดถอยสักนิด จึงยิ้มพยักหน้าให้เสี่ยวเหมย บอกลาตระกูลวังเสร็จก็ขึ้นรถม้า ไปโรงทอผ้าไหมกับซิ่นจือต่อ

หลายวันก่อนยุ่งกับงานเลี้ยงเทศกาลตวนอู่ ไม่ได้มาดูเรื่องไหมนานแล้ว วันนี้เห็นอาเย่าเช้ามาก็เข้าเมืองไปหาที่ตั้งใหม่ให้หอเฟิงเหยา นางเองก็มีเวลาไปดูโรงทอผ้าไหม จะได้ไม่ให้เขากลับมาเห็นแล้วเอาแต่ว่านางไม่ยอมพักผ่อนดีๆ เอาแต่ทำงานไปทั่ว นางขลุกในบ้านทั้งวันมองดูเขาเหนื่อยคนเดียว นางก็รู้สึกปวดใจเหมือนกันนะ ไม่อาจทำใจเหมือนจิ้งจือกับอิ้งอวิ๋นที่แบกกิจการคนเดียว แค่ออกตรวจงานบ้างก็คงได้กระมัง นับประสาอันใดกับการที่โรงทอผ้าไหมเป็นสิ่งที่นางคิดถึง เพราะว่านางอยากให้ชาวบ้านที่นี่ได้ใช้เสื้อผ้าตัดจากผ้าไหม

……

“ฮูหยิน ท่านมาได้อย่างไร? รับประทานอาหารกลางวันแล้วหรือยัง?” นางหลัวแม่ครัวโรงทอผ้าไหมควบตำแหน่งผู้ดูแล เพิ่งทำอาหารกลางวันเสร็จ ก็เห็นซูสุ่ยเลี่ยนกับซิ่นจือลงจากรถม้า จึงตะโกนเรียกดีใจ

ได้ยินเสียงตะโกนดังของนางหลัว คนงานชายหญิงที่กำลังล้างมือเตรียมจะกินข้าว ก็วิ่งออกมาจากโรงทอผ้าด้วยความดีใจ

“เทศกาลตวนอู่เมื่อวานทำไมไม่เห็นพวกเจ้า ได้กินบะจ่างแล้วหรือยัง” ซูสุ่ยเลี่ยนแย้มยิ้มพยักหน้าทักทายทุกคน

“กินแล้วๆ กินครบทุกรสชาติ ยังมีอาหารคาวหวานรสชาติยอดเยี่ยมอีกหลายอย่าง สุราดอกกุ้ยก็ได้ดื่มไปหนึ่งไห กินกันจนอิ่มหนำ…” หัวหน้าคนงานที่ดูมีอายุเล่ากลั้วเสียงหัวเราะ

“เช่นนั้นก็ดี นี่ยังมีขนมหลายกล่อง เป็นขนมเปี๊ยะมงคลของซือเล่ากับอิ้งอวิ๋น ทุกคนเอาไปแบ่งกันชิมดู” ซูสุ่ยเลี่ยนบอกให้ซิ่นจือนำกล่องขนมมงคลหลายกล่องที่วางอยู่บนรถม้ามามอบให้กับทุกคน

“ฮูหยินกับแม่นางซิ่นจือยังไม่กินข้าวกลางวันมากระมัง หากไม่ถือสาก็อยู่กินด้วยกัน?” นางหลัวรับขนมมงคลไปแล้วก็มีท่าทีเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น

“ตกลง ก็คิดว่าจะมาร่วมกินอาหารกับทุกท่านในวันนี้เหมือนกัน กินอาหารกลางวันเสร็จแล้วอยากจะดูก้อนไหมด้วย ป้าอิ้ง สองสามวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้ายิ้มให้กับหัวหน้าโรงทอผ้าไหม สอบถามสถานการณ์ตอนนี้ของโรงทอผ้าไหม

“ดีหมดทุกอย่าง ก้อนไหมชุดแรกใช้งานได้ทั้งหมด สองสามวันนี้พวกเราก็ได้ทดลองวิธีก่อนหน้านี้ แช่ให้นุ่มก่อน ผลที่ได้ก็ไม่เลว ฉี่หลัวกับเหวินหุ้ยก็เริ่มนำเอาก้อนไหมที่แช่ให้นิ่มแล้วมาลองสาวเป็นไหมดู แม้ว่ายังไม่ได้ลองทอเป็นผ้าและย้อมสี แต่ทว่าเพียงแค่มองเช่นนี้ก็รู้สึกได้ว่าไม่เลวแล้ว หลังจากทอเป็นผ้าไหมส่งไปขายท้องตลาด ย่อมต้องเป็นที่ฮือฮาไปทั่วแผ่นดินต้าหุ้ย” นางอิ้งอธิบายเสร็จ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง ทำเอาทุกคนหัวเราะดังตามไปด้วย

“เยี่ยม! พวกเราทำกันดีๆ พยายามให้มีผ้าไหมชุดแรกคุณภาพดีของเหอหยวนเราออกสู่ตลาดก่อนปีใหม่ให้ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนอดหัวเราะดังสำทับไม่ได้ คนงานชุดนี้นางเป็นคนที่รับเข้ามาด้วยตนเอง ล้วนเป็นคนที่สนใจและรู้เรื่องเกี่ยวกับไหมและการทอผ้าอย่างดี เชื่อว่าไม่นานนี้แผ่นดินต้าหุ้ยก็จะมีร้านขายผ้าที่ใส่สบาย ทำให้ทุกคนชมกันไม่ขาดปาก วิธีการทอตอนนี้ค่อนข้างง่าย ได้ผ้าไหมที่เรียกว่า ‘เฉียวฉีซา[1]’ เป็นผ้าไหมที่ตอนนี้นางลองผลิตชุดแรก แน่นอนว่าด้วยกรรมวิธีและความชำนาญ นางเชื่อว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมชั้นยอดผลิตออกจากโรงทอผ้าไหมได้อย่างดี ครั้งนี้นางจะทำให้โรงทอผ้าไหมเป็นทั้งโรงทอผ้าไหม โรงปักผ้า และตัดเสื้อผ้าสำเร็จรูปอย่างครบวงจร จะทำให้ไม่เพียงแต่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ใช้ผ้าเนื้อดีเช่นนี้

อิ้งอวิ๋นกับอิ้งเยว่พี่สาวนางก็บอกแล้วว่าหากต้องการจะขยายโรงทอผ้าไหม ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นของพวกนางจะเป็นร้านแรกที่เข้าร่วมด้วย นี่คือบ้านที่นางรักและทุ่มเทแรงกายแรงใจมา เป็นบ้านที่นางกับอาเย่าร่วมแรงกันสร้างขึ้นมา และยังเป็นบ้านงดงามที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้น

———————————–

[1] เฉียวฉีซาคือผ้าไหมที่มีน้ำหนักเบา