ตอนที่ 152 ฝานลั่วจวิ้น

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

หลังยุ่งกับการทำนาเพาะปลูกได้หนึ่งเดือน ก็เข้าสู่เดือนเจ็ดที่ร้อนมาก แม้ว่างานในที่นาจะเสร็จไปพอสมควรแล้ว แต่งานในน้ำยังมีอีกไม่น้อย

ไม่ต้องพูดถึงฝักบัวในสระบัวที่รอเก็บ ตอนยุ่งกับการทำนาเพาะปลูกไม่มีเวลามาดูแลสระน้ำ ผ่านมาหนึ่งปี สัตว์ในสระก็เติบโตขึ้นมา ปลากุ้งปูเต็มสระต้องรีบจับ

“ข้าว่านะเหล่าเซี่ย กุ้งปลาปีนี้เพิ่มขึ้นอีกแล้วใช่ไหม” ป้าเหลายืนอยู่ใต้ร่มเงาต้นหลิวริมสระน้ำ โบกพัดไปมาพลางถามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ เหล่าเซี่ยที่เป็นผู้ดูแลสระน้ำกำลังพักผ่อนอยู่ข้างสระน้ำหลังจากทำงานมาตลอดเช้านี้ หันหน้าไปมองเรือประมงที่จอดเทียบอยู่ริมฝั่ง บนเรือมีสัตว์น้ำอยู่เต็มลำเรือ ใบหน้าคนงานชายหลายคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กำลังขนย้ายขึ้นไปยังรถขนของคันใหญ่เทียมม้าสองตัว

“ใช่สิ จับมาสองวัน ส่งไปหลายลำเรือแล้ว ยังมีให้จับอีกมาก” เหล่าเซี่ยกรอกน้ำชาดับกระหายเข้าปาก ก่อนจะปาดเหงื่อยิ้มกล่าว

“ดีจริง ลงเรือไปเลือกมาให้ข้าสองตัว เอาปูไปลองกินสักสองตัวดีกว่า ตาแก่บ้านข้าอยากกินนานแล้ว” นางเหลาควักหาเงินในถุงใส่เงิน หาได้หลายสิบเหรียญทองแดงพอดี พอให้นางซื้อปลาตัวใหญ่หลายตัว และปูอีกหลายตัว ให้นางเอาไปให้ตาแก่ที่บ้านกินให้อิ่ม

“ไม่ต้องรีบ ฮูหยินบอกแล้ว เรือลำสุดท้ายให้พวกเจ้าเลือก” เหล่าเซี่ยเห็นดังนี้ก็รีบรั้งป้าเหลาไว้ ทุกปีจับสองรอบและมักจะเหลือส่วนหนึ่งให้พวกชาวบ้านเลือกซื้อ บอกว่าเลือกซื้อ แต่ความจริงก็คือเก็บเงินค่าแรงนิดหน่อย เช่นว่าข้างนอกขายปลากันชั่งละสามสิบเหรียญทองแดง แต่ที่นี่เก็บแค่แปดเหรียญทองแดงพอเป็นพิธี

“จริงหรือ เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย จะเสร็จงานให้เลือกซื้อได้ตอนไหน ข้าจะได้มาเร็วหน่อย เหล่าเซี่ย เหลือตัวใหญ่ๆ ไว้ให้ข้านะ” นางเหลาได้ยินก็หัวเราะร่วนเก็บถุงใส่เงิน หันไปกำชับเหล่าเซี่ย

“วางใจ ไม่เห็นหรือว่าบนเรือมีแต่ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น ปลาตัวเล็กๆ ข้าตัดใจจับขึ้นมาไม่ลง” เหล่าเซี่ยเคาะกล้องยาสูบ หรี่ตาหัวเราะเบาๆ มองไปยังสระน้ำงดงามสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ “ดูท่าแล้วก็อีกสองวัน พอเรือลำสุดท้าย ผู้ใหญ่บ้านก็จะไปตีฆ้องเตือนที่ศาล”

“เหล่าเซี่ย เลิกงานแล้ว” คนงานชายที่ขนย้ายปลาเสร็จโบกมือให้เหล่าเซี่ย “ได้ยินว่าวันนี้ที่ห้องครัวมีเนื้ออกวัวตุ๋น ต้องรีบไปแย่งก่อน สายไปคงไม่มีลาภปาก”

“เนื้ออกวัวตุ๋น? ลาภปากจริงๆ ได้ยินว่าอาหารห้องครัวพวกเจ้าล้วนรสเลิศ แม่ครัวมาจากในวัง? จุ๊ๆ…ตาแก่บ้านข้ามาทำงานได้กินดีกว่าอยู่ที่บ้านอีก” นางเหลาโบกพัดไปมายิ้มกล่าว “สายแล้ว ข้ากลับก่อนนะเหล่าเซี่ย รีบกลับไปชิมเนื้ออกวัวตุ๋น ดีที่สุดก็อย่าลืมถามแม่ครัวว่าทำอย่างไร ตอนปีใหม่ข้าเคยตุ๋นดู แต่คนที่บ้านบอกว่าไม่อร่อย บ่นว่าเหม็นสาบ กัดไม่นุ่ม…”

“อย่างนั้นก็ไม่ยาก เจ้าตามข้าไป ตาแก่เจ้าไม่ใช่อยู่ที่นั่นด้วยหรือ ไปลองชิมอาหารกลางวันที่ห้องครัวก็รู้แล้ว”เหล่าเซี่ยหัวเราะเหอๆ เก็บกล้องยาสูบ ลุกขึ้นปัดเศษต้นหลิวตามตัว มือไพล่หลังหันไปพยักหน้าเรียกนางเหลา

“ได้อย่างไร? ธรรมเนียมบ้านเจ้านายข้าไม่ใช่ไม่รู้ เข้มงวดมาก” นางเหลารีบส่ายหน้า

แม้ว่านางหนูสุ่ยเลี่ยนเอาแต่ว่าไม่เป็นไร ไปนั่งได้ แต่นางรู้ บรรดาบ่าวรับใช้ที่นั่นล้วนมาจากจวนอ๋อง ธรรมเนียมไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกตระกูลใหญ่ ตอนแรกๆ นางกับนางเถียนมักไปคุยเล่นกับนางหนูสุ่ยเลี่ยนรำลึกความหลัง แต่พอสามจวนรวมเป็นหนึ่ง เรื่องนางหนูก็เป็นที่กระจ่างชัดขึ้นมากแล้ว ระยะนี้ยังได้ยินโรงทอผ้าไหมเปิดกิจการอย่างเป็นทางการแล้ว วันสองวันสุ่ยเลี่ยนก็ต้องไปเชิงเขาซิ่วเฟิง นางเองก็ยุ่งกับการทำนาเพาะปลูกของตัวเอง ยังต้องช่วยเจ้านายดูแลงานอีกสิบกว่าวัน ไปๆ มาๆ ถึงกับไม่ได้เจอนางหนูมาพักหนึ่งแล้ว

“เจ้าก็ไม่ได้ไปทำเสียหายนี่ ไปๆๆ อย่างมากเนื้ออกวัวตุ๋นชามของข้าก็ยกให้เจ้า” เหล่าเซี่ยยกหมวกฟางขึ้นสวม เดินออกจากร่มเงาต้นหลิ่วไป

ป้าเหลาแอบขำพลางส่ายหน้า คิดถึงว่าตอนเที่ยงที่บ้านก็มีนางคนเดียว ลูกสะใภ้คนโตระยะนี้กลับไปบ้านแม่นาง กลับไปอุ่นข้าวต้มตอนเช้ากินไปชืดๆ ไม่สู้ตามเหล่าเซี่ยไปบ้านเจ้านายดีกว่า ก็ไม่รู้ว่ามีโอกาสได้เจอนางหนูสุ่ยไหม จะได้กอดลูกสามคนของนางเสียหน่อย

ถนนหมู่บ้านสองข้างทางตอนนี้ปลูกต้นหลิ่วและต้นแปะก๊วยเขียวขจีไปหมด พอเข้าสู่หน้าร้อนก็ขยายกิ่งก้านใบปกคลุมไปทั้งถนนในหมู่บ้านให้ร่มเงา มีเพียงช่องให้แสงแดดสาดส่องลงมาน้อยมาก ผ่านเข้าสู่เหอหยวนไปถึงบ้านเจ้านาย ถนนหลักจวนพักตากอากาศนี้เรียกได้ว่าสี่ฤดูราวกับฤดูใบไม้ผลิ หน้าร้อนเย็นสบาย หน้าหนาวอบอุ่น หากไม่ใช่กลัวว่าส่งผลต่อรถม้าไปมา พวกชาวบ้านก็อยากจะย้ายมานอนใต้ต้นไม้ตอนบ่ายกัน

ตลอดทางป้าเหลาได้ยินเหล่าเซี่ยเล่าอย่างตื่นเต้นถึงความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ระยะนี้ในเหอหยวน เช่นว่าร้านผักดองเตรียมไปเปิดร้านสาขาที่เมืองสุ่ยเยว่ เช่นว่าสองข้างทางเส้นทางสู่เมืองจะบุกเบิกพื้นที่สร้างร้านค้า เช่นว่าเมืองฝานลั่วจะเปลี่ยนชือเป็น ‘ฝานลั่วจวิ้น’ …

“เอ๋? นี่ มันเรื่องตอนไหน” นางเหลาถามอย่างแปลกใจ เรื่องก่อนหน้านี้นางได้ยินผู้ใหญ่บ้านเคยบ่นถึงมาก่อน แต่เรื่องเปลี่ยนชื่อเมืองฝานลั่วซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ หากผู้ใหญ่บ้านรู้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เอ่ยถึง

“เหอๆ เรื่องนี้นะ ข้าได้ยินพ่อบ้านเซียวกล่าวไว้นานแล้ว ข่าวมาจากทางเมืองหลวง” เหล่าเซี่ยเกาหัวแกรกๆ ที่จริงแล้วตอนเขาไปรายงานการทำงานในสระน้ำให้พ่อบ้านฟัง พอดีได้ยินพ่อบ้านเซียวกำลังกล่าวเรื่องนี้กับภรรยาอยู่

“มิน่าเล่า! แต่ทว่าทำไมอยู่ดีๆ ก็จากมาเปลี่ยนชื่อเมืองฝานลั่วไปเป็นฝานลั่วจวิ้น? แผ่นดินต้าหุ้ยเรามีที่ไหนเรียกว่า ‘จวิ้น’ ด้วยหรือ” นางเหลาไม่เข้าใจ แต่ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นการเมืองของราชสำนัก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนางที่เป็นหญิงชาวบ้าน หรือหากพูดไม่น่าฟังสักหน่อย ก็คือแม้แผ่นดินต้าหุ้ยเปลี่ยนราชวงศ์ ชีวิตพวกนางก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนนี้แม้แต่ภาษีก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว ยิ่งไม่มีผลกระทบอะไรด้วยเข้าไปใหญ่

ขณะที่พูด สองคนก็มาถึงหน้าประตูห้องครัวเรือนเจ้านาย กำลังเดินตามหลังเหล่าเซี่ยไปด้วยหน้าตาเขินๆ ก็ได้ยินเหลียงหมัวมัวทักทายดังมา “อาซ้อเหลา! ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ฮูหยินบอกว่าพอท่านกินข้าวเสร็จให้ไปพบนางที่ห้องหนังสือหน่อย นางมีเรื่องจะคุยกับท่านพอดี!”

“โอ หมัวมัวช่างเห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ข้าได้ยินว่าห้องครัวทำเนื้ออกวัวอร่อย เลยคิดมาขอวิชาสักหน่อย…ฮู…ฮูหยิน ข้ารีบไปหาฮูหยินก่อน…” นางเหลาหน้าแดง เหมือนว่าทำเรื่องไม่ดีแล้วถูกจับได้ จึงรู้สึกอาย

“เหอๆ นางฟางก็แค่ได้รับการชี้แนะจากพ่อครัวในวังนิดหน่อย เจ้าไปขอคำชี้แนะจากนางได้เลย ข้าถ่ายทอดคำสั่งฮูหยินแล้ว นี่ก็จะนำอาหารไปส่งนายน้อยทั้งหลายก่อน หากท่านยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ก็ไปที่ห้องครัวชิมฝีมือนางฟางสิ” เหลียงหมัวมัวพูดจามารยาทได้ราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถ่ายทอดคำสั่งซูสุ่ยเลี่ยนเสร็จก็ยกอาหารกลางวันไปให้เจ้านายตัวน้อย

นางเหลาได้ยินก็หัวเราะแก้เก้อ คิดถึงที่เหลียงหมัวมัวบอกว่านางหนูสุ่ยเลี่ยนหานาน คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องร้านตีเหล็กของลูกชายคนโตนาง พักก่อนได้ยินนางเถียนกับผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถึง เพียงแต่ยุ่งกับการเพาะปลูก เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย คิดไม่ถึงวันนี้จะมาหานางเพื่อคุยเรื่องนี้

แต่ก็เป็นเรื่องดี นางอยากให้ครอบครัวลูกชายคนโตมีเงินทองมั่นคงนานแล้ว

พอคิดเช่นนี้ ก็ไม่รีบจะชิมเนื้ออกวัวตุ๋นแล้ว ไปหานางหนูสุ่ยเลี่ยนก่อนดีกว่า…เอ่อ ไม่ ควรเรียกฮูหยินแล้ว ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะหัวเราะว่านางไร้ธรรมเนียมได้

ซูสุ่ยเลี่ยนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ขมวดคิ้วอยู่นาน ก่อนจะยกพู่กันเขียนจดหมายหาเหลียงเสวียนจิ้งสองสามีภรรยาที่เมืองหลวง เมื่อวานได้รับข่าวใหม่ของเมืองหลวงจากหอกว่างชื่อโหลว ทำนางตกใจมาก

ฮ่องเต้ต้าหุ้ยสละราชสมบัติเพราะทรงประชวรหนัก มอบบังลังก์ฮ่องเต้ให้กับองค์ชายเก้าที่อายุเพียงห้าชันษา และอ๋องเซียง ‘โหลวสยาเอ่อร์’ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการ ก่อนองค์ชายเก้าอายุครบสิบแปดชันษา เขาต้องคอยช่วยฮ่องเต้ใหม่ดูแลราชกิจแผ่นดินต้าหุ้ย

เรื่องนี้ก็แล้วไป เรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ กั๋วกง ‘เหลียงเสวียนจิ้ง’ ขอลากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด เหลียงเอินไจ่ที่กุมอำนาจทางการทหารกลับไม่ถูกริบอำนาจคืน หากแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋องแห่งฝานลั่วจวิ้น ปกครองฝานลั่วจวิ้น

ฝานลั่วจวิ้นเดิมก็คือเมืองฝานลั่ว สิบวันก่อนฮ่องเต้พระองค์ใหม่แผ่นดินต้าหุ้ยพระราชทานชื่อใหม่ และยังถือเป็นการตัดเมืองใหญ่สามสิบเอ็ดเมืองแผ่นดินต้าหุ้ยออกมาให้เป็นอาณาเขตที่เรียกว่า ‘จวิ้น’ อันเป็นเอกเทศ ตั้งแต่เดือนเจ็ดเป็นต้นไป สามสิบเอ็ดเมืองใหญ่ก็ลบออกไปหนึ่ง กลายเป็น จวิ้น แคว้นเล็กอันเป็นเอกเทศ ตั้งแต่เดือนเจ็ดนี้ การบริหารจัดการทุกอย่างในฝานลั่วจวิ้นล้วนต้องฟังคำสั่งจวิ้นอ๋อง ไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีส่งมอบแผ่นดินต้าหุ้ย แต่ทว่าดีที่ขั้นตอนเข้าออกผ่อนคลายกว่าการเข้าออกเขตแดนแผ่นดินต้าหุ้ยไม่น้อย ดีที่พอเช่นนี้ การค้าของฝานลั่วจวิ้นกับแผ่นดินอื่นรอบๆ ก็ไปมากันได้สะดวกขึ้น

พอเป็นเช่นนี้ ฝานลั่วจวิ้นก็กลายเป็นแคว้นเล็กเอกเทศที่ไม่ต้องตกภายใจคำสั่งฮ่องเต้แผ่นดินต้าหุ้ย รอแค่จวิ้นอ๋องเหลียงเอินไจ่กลับมาลงมือปรับปรุงปฏิรูป ก่อนหน้านี้มีระเบียบจำกัดมากมาย ตอนนี้จัดการประกาศอะไรได้เองอย่างไร้กังวลแล้ว

เพียงแต่สิ่งที่นางเป็นกังวลก็คือท่านอ๋องผู้เฒ่ากับพระชายาเฒ่า แม้ว่าในจดหมายจากพี่ชายจะบอกว่าพวกเขาสบายดี พักนี้กำลังยุ่งกับการสั่งการให้บ่าวไพร่เก็บของเตรียมจะย้ายมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่จวนพักตากอากาศฝานฮัว

แต่นางก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ จนต้องเขียนจดหมายถึงบิดาและมารดาทั้งสอง นางคิดกังวลอยู่เป็นนานก็ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไป ได้แต่บอกว่าให้พวกเขารักษาสุขภาพ รีบกลับบ้าน ใช่แล้ว ที่นี่ก็คือบ้านในวันหน้าของพวกเขา

“ฮูหยิน นางเหลามาแล้ว บ่าวให้นางรออยู่ที่โถงหน้า” ซิ่นจือรายงานน้ำเสียงอ่อนโยนขัดความคิดนางขึ้น

“อืม ข้าจะรีบออกไป” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า นำจดหมายที่เขียนเสร็จใส่ซองจดหมาย ปิดผนึกด้วยครั่งแดงก่อนจะมอบให้กับซิ่นจือ “ตอนบ่ายหากมีเวลาว่างก็เอาไปส่งหอกว่างชื่อโหลวให้ข้าหน่อย แล้วก็แวะไปโรงหมอ บอกกับจิ้งจือว่าพี่ใหญ่จะกลับมาแล้ว”

“เจ้าค่ะ” ซิ่นจือนำซองจดหมายมาสอดเข้าไปในอกเสื้อ เก็บของบนโต๊ะให้สะอาด กล่าวกับซูสุ่ยเลี่ยนก่อนออกไปว่า “ฮูหยิน อาหารกลางวันจะรับที่โถงนี่ไหม วันนี้มีเนื้ออกวัวตุ๋นที่นางฟางตุ๋นเอง คนที่ได้กินต่างบอกว่ารสชาติดี”

“ดี เจ้าเองก็ไปกินข้าวได้แล้ว ใช่แล้ว ถามป้าเหลาด้วยว่ากินอาหารกลางวันมาหรือยัง หากยัง ก็ให้มากินกับข้าที่นี่ด้วยกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนล้างมือง่ายๆ ในห้องหนังสือแล้วก็เดินไปยังห้องโถง

นางตามป้าเหลามาคุยเรื่องร้านตีเหล็กจริงๆ เดือนก่อนได้ยินข่าวจากหอพักใจว่าร้านตีเหล็กสองร้านในเมืองแย่งลูกค้าจนมีเรื่องกัน หนึ่งในนั้นถูกอีกคนใช้แท่งเหล็กร้อนแทงตา เรียกได้ว่าพิการไปแล้ว คนทำคนอื่นบาดเจ็บตอนนี้ถูกรักษาการเจ้าเมืองจับเข้าคุก ร้านตีเหล็กสองร้านก็ถือว่าปิดตัวลงแล้ว

ตอนนี้เหลือแค่ลูกชายคนโตอยู่ร้าน แต่ฝีมือไม่ดี ทำเครื่องมือหลายชิ้นไม่เป็น ดังนั้นรักษาการเจ้าเมืองเลยมาหารือกับอาเย่า หวังว่าจะยืมตัวเหลาหย่งฟู่จากเหอหยวนไปก่อน

เรื่องนี้ในวันเทศกาลตวนอู่ก็ควรตามครอบครัวนางเหลามาจัดการแล้ว แต่ระยะนี้มีเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการ ทำให้นางลืมไป วันนี้ได้ยินเหลียงหมัวมัวเอ่ยว่านางเหลามา ก็รีบให้คนไปตามนางมาหารือ

“ป้าเหลา ท่านกลับไปหารือกับลุงเหลาดู หากเขายินดี หน้าร้านก็มีทางการช่วยหาให้ สองเดือนแรกไม่ต้องจ่ายค่าเช่า จากนั้นก็ให้จ่ายค่าเช่าตามราคาปกติ หากเขายินดี ก็เริ่มเดือนนี้ได้เลย แน่นอนว่าความหมายของเหอหยวนก็คือหวังว่าร้านเขาที่นี่ก็ทำต่อ เดือนหนึ่งกลับมาสองสามวัน มาช่วยพวกชาวบ้านซ่อมเครื่องมือเหล็ก”

“ไม่มีปัญหา นางหนู อ้อ ดูข้าสิ ไร้ธรรมเนียมอีกละ ฮูหยิน ข้าขอรับแทนหย่งฟู่เลย งานในเมืองมีมาก เลี้ยงครอบครัวได้สบาย อย่าว่าแต่กลับมาเดือนละสองสามวัน แม้แต่เดือนละหลายวัน หรือทุกสิบวันกลับมาหลายวันก็ยังได้” นางเหลาตบหน้าขาดังฉาดตอบรับเสียงดัง มีทางการออกหน้าหาหน้าร้านให้พวกเขา เรื่องดีเช่นนี้ จะไปหาที่ไหนได้อีก ผู้ใดปฏิเสธ ผู้นั้นก็โง่แล้ว

“ป้าเหลา ยังเกรงใจกับข้าอีก ข้าชินกับการที่ท่านเรียกข้าว่านางหนูสุ่ย” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มกล่าว เห็นป้าเหลารับปากก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา ในที่สุดก็ปลดเรื่องในใจออกไปได้เรื่องหนึ่งแล้ว ดึงป้าเหลาลองชิมเนื้ออกวัวตุ๋นของนางฟางด้วยกัน