“ไม่นำทหารไปด้วยจริงหรือ” โหลวสยาเอ่อร์เดินมาส่งเหลียงเอินไจ่ออกจากวัง ถามย้ำอีกครั้งที่หน้าประตูวัง
“เจ้าคิดว่าเมืองฝานลั่วใหญ่ขนาดไหน นำกองทหารไปด้วยจะมีที่ให้พวกเขาอยู่ตรงไหน” เหลียงเอินไจ่ค้อนขวับขณะกำลังรอม้าอยู่หน้าประตูวัง
“องค์กรจอมยุทธ์ก็ใช่ว่ามีคนน้อย?” โหลวสยาเอ่อร์ยิ้มมุมปากงามพลางย้อนถาม เขายอมรับว่าอิจฉา ส่งสายตาอิจฉามองชายหนุ่มแล้งน้ำใจ โยนความกดดันราชสำนักใส่มือเขา แล้วตัวเองก็หอบผ้าหอบผ่อนพาองค์กรจอมยุทธ์ลงใต้ไปแต่งภรรยา
“อย่างไรก็เทียบกองทหารเจ้าไม่ได้หรอก จะว่าไป ใต้เท้าผู้สำเร็จราชการลืมแล้ว? ฝานลั่วจวิ้นกับแผ่นดินต้าหุ้ยไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบผู้ใดปกครองผู้ใดแล้ว ก็หมายความว่า” เหลียงเอินไจ่นิ่งไปพักหนึ่ง ก็แอบสัพยอกสีหน้ายิ้มแย้มซึ่งขัดตาโหลวสยาเอ่อร์มาก “ข้าน้อยเป็นเพียงแต่จวิ้นอ๋องแห่งฝานลั่วจวิ้นเล็กๆ ทุกปียังต้องส่งบรรณาการมายังแผ่นดินต้าหุ้ย แน่นอนว่าต้องประหยัดเงินทองสักหน่อยแล้ว”
“น้อยๆ หน่อย!” โหลวสยาเอ่อร์ค้อนตาเหลือกขึ้นฟ้า กล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า “ทิ้งสมบัติจวนอ๋องจิ้งคงไม่เท่าไร แต่เงินทองหลายปีมานี้ที่เจ้าปล้นชิงทั่วแผ่นดินมา เชื่อว่าซื้อเอาทั้งแผ่นดินต้าหุ้ยได้เลย”
“พี่โหลวไยกล่าวว่าข้าทรงคุณธรรมเลวร้ายเช่นนี้กัน! ทำข้าปวดใจนะเนี่ย ไม่มีพี่โหลวสนับสนุน ก็ไม่มีองค์กรจอมยุทธ์วันนี้ แต่ทว่าจะว่าพวกเขาออกปล้นทั่วแผ่นดินก็เกินไปนะ ปีๆ หนึ่งข้าออกเงินส่วนตัวลงไปก็ไม่รู้ตั้งเท่าไร”
“เอาละๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงองค์กรจอมยุทธ์แล้ว พอเอ่ยถึงข้าก็โมโห จำเรื่องที่เจ้ารับปากข้าได้ไหม เร่งลงนามสนธิสัญญาสงบศึกกับเซวี่ยหมิง ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่สนใจว่าเจ้าขึ้นเหนือล่องใต้ จะต้องลากเจ้ากลับมาเป็นเสนาธิการทหารให้ข้าให้ได้”
“วางใจ จัดการเรื่องนี้เสร็จ จะให้หอกว่างชื่อโหลวส่งมาให้เจ้า” เหลียงเอินไจ่เงยหน้ามองตะวันที่เริ่มคล้อยไปทางตะวันตก ก็รีบหันหัวม้าโบกมือลาโหลวสยาเอ่อร์ “สายแล้ว หากยังมัวคุยต่อไป คืนนี้ข้าคงได้นอนกลางดินแล้ว มีเวลาก็ไปเป็นแขกที่บ้านข้า!”
โหลวสยาเอ่อร์ยืนอยู่นอกประตูวัง เห็นม้าหนึ่ง คนหนึ่ง หายไปอย่างรวดเร็ว จนมองไม่เห็นแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจหันกลับเข้าวังไป เดินไปยังพระที่นั่งหารือราชกิจ
ฮ่องเต้ประชวรหนัก ทรงฝากฝังรัชทายาทห้าชันษาให้เขากับเหลียงเอินไจ่ร่วมกันช่วยราชกิจ ให้ขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น ให้เขาเป็นผู้สำเร็จราชการ ข่าวพวกนี้แพร่ไปทั่วทั้งในและนอกแผ่นดินต้าหุ้ย เขารู้ว่าคนนอกจะวิจารณ์พวกเขาเช่นไร โดยเฉพาะเขา
แต่ทว่ามีแต่เขากับเอินไจ่ที่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงต้องในช่วงฮ่องเต้ประชวรหนัก ประคับประคององค์ชายเก้าขึ้นสู่บังลังก์ขณะในวังกำลังวุ่นวาย ก็เพราะว่าในบรรดาองค์ชายทั้งหมด มีแต่องค์ชายเก้าที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขพี่สาวเขาเพียงหนึ่งเดียว และพี่สาวเขาให้กำเนิดองค์ชายเก้าแล้วก็ตกเลือดสิ้นใจ แต่ทว่าความจริงที่เขารู้มาก็คือถูกสนมคนใหม่ที่เป็นที่โปรดปรานของหลี่เหวินซิวทำเอาโมโหตาย
เขาไม่อยากแย่งแผ่นดินของตระกูลหลี่ แต่ก็ไม่อยากให้หลานชายที่อายุยังน้อยต้องถูกบรรดาพี่ชายน้องชายร่วมบิดาต่างมารดาทำร้าย ดังนั้นจึงอาศัยองค์กรจอมยุทธ์ของเหลียงเอินไจ่บีบบังคับฮ่องเต้ หากฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ก็จะนำกำลังเข้าทลายวังหลวงให้ราบ ตัดรากถอนโคนลูกหลานตระกูลหลี่ ราชวงศ์แผ่นดินต้าหุ้ยก็ย่อมเปลี่ยนมือ
ดีที่ในชีวิตหลี่เหวินซิวแม้มีสนมมากมาย แต่ที่กำเนิดจากฮองเฮามีเพียงองค์หญิงสองพระองค์ ดังนั้นจึงไม่มีองค์ชายสายตรงจากฮองเฮาที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่ว่าผู้ใดสืบทอดราชบัลลังก์ก็ล้วนไม่ใช่สายตรงจากฮองเฮาซึ่งเป็นภรรยาเอก ดังนั้นองค์ชายเก้าที่อายุห้าชันษาสืบทอดราชบัลลังก์ก็ย่อมไม่มีปัญหา ยังมีผู้สำเร็จราชการคอยช่วยราชกิจ
ปีรัชศกเฟิงชิ่งก็จบลงเช่นนี้ จากนี้ก็เริ่มปีรัชศกใหม่
……
ตอนพระอาทิตย์ตกดิน ณ เมืองเยว่ขุย หนึ่งคน หนึ่งม้า ก็มาถึง
“ในที่สุดท่านก็มาแล้ว รอจนพวกเราลุ้นแทบแย่” ชายชุดเขียวอายุราวยี่สิบคนหนึ่งเข้ามาทำความเคารพนอบน้อม ก่อนจะรับแส้จากมือชายชุดขาว จูงอาชางามเดินไปบ่นไปยังโรงเตี๊ยมเยว่ขุย
“เจ้านายเจ้าอย่างไรข้าก็ต้องส่งมอบงานก่อน เร่งเดินทางมาก่อนพระอาทิตย์ลับหลังเขาได้ก็เรียกว่าราบรื่นแล้ว” เหลียงเอินไจ่แย้มยิ้มมุมปาก หันหน้ากวาดสายตามองชิงเฟิงที่สีหน้าอัดอั้น “ทำไม? อู๋จี๋ทำเจ้าโมโหอีกแล้วหรือ”
“เขากล้า!” ชิงเฟิงได้ยินก็ส่ายหน้าเต็มแรง “เป็นอู๋สิง ไม่รู้ไม่โดนผู้ใดเล่นงานมา หน้าบึ้งกลับมาองค์กรจอมยุทธ์เนี่ย”
“เฮ้อ เจ้าใช่ว่าไม่รู้นิสัยเขา หลายปีมานี้ยังโดนเขายั่วอีก ไป คืนนี้เจ้านายจะเลี้ยงเอง ทุกคนเต็มที่”
“เชอะ โรงเตี๊ยมเล็กแค่นี้ นอกจากเนื้อวัวแล้วก็มีแต่พวกผักซอยเป็นกับแกล้ม เจ้านายคงไม่ใช่จงใจกระมัง เลือกมาเลี้ยงที่นี่? ทำไมไม่เลี้ยงทุกคนที่เมืองหลวง…”
“ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม นายเจ้าไม่มีเงินเบี้ยหวัดประจำปีแล้ว กลับยังต้องเลี้ยงดูคนในฝานลั่วจวิ้นอีก ต้องประหยัดหน่อยจึงจะพอไหว”
“ท่านอย่ามาหลอกข้า…ผู้สำเร็จราชการโหลวบอกแล้ว เจ้านายเค้นคอฮ่องเต้เฒ่ามาได้หลายหมื่นตำลึงทอง เลี้ยงดูทั้งจวิ้นเรื่องเล็กๆ…”
เหลียงเอินไจ่ได้ยินก็ตกใจสะดุดเกือบคว่ำ “นี่พวกเจ้ารู้กันหมดแล้ว? มิน่าจึงไม่ยอมไปไหน เอาแต่จะตามข้าไปฝานลั่วจวิ้น ยังคิดว่าพวกเจ้ามีจิตใจดีงาม…คิดไม่ถึงว่าล้วนมาเพราะทองคำของนายอย่างข้า บอกพวกเจ้าเลยนะ ฝานลั่วจวิ้นแม้เป็นพื้นที่ข้า แต่ยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน พวกเจ้าระวังหน่อย…”
“เชอะ…หลอกผีเหอะ ผู้ใดล้วนรู้ว่าเมืองฝานลั่วเป็นที่แม้แต่นกยังไม่ไปถ่ายรด เชอะ ไม่ต่างอะไรกับเมืองเยว่ขุยกระมัง นายท่าน อย่าคิดว่าชิงเฟิงหลายปีนี้ไม่ได้ไปไหน แล้วจะไม่รู้ว่าเมืองป่าเถื่อนทางใต้หน้าตาอย่างไรนะ…”
“เหอๆ…ชิงเฟิง พวกเรามาพนันกัน หากถึงฝานลั่วจวิ้น เจ้ายังคิดเช่นนี้ ก็ถือว่าข้าแพ้”
“ไม่มีปัญหา พนันอะไร?”
“พนันอู๋จี๋เจ้า”
“อู๋จี๋เอามาพนันไม่ได้”
“พนันอู๋จี๋ทำงานให้ข้าอย่างไร”
“อย่างนั้น…ไม่มีปัญหา ชนะแล้วก็อย่าใช้งานมากไปก็แล้วกัน”
“ย่อมได้” เดิมเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ลูกน้องในองค์กรจอมยุทธ์ทุ่มเทชีวิตทำงานรับใช้เขาต่อ จากนี้ก็ต้องได้เวลาปรับปรุงฝานลั่วจวิ้นขนานใหญ่ เขาต้องการใช้แรงงานพวกเขา ไม่ใช่…ชีวิต!
ชายหนุ่มน่าสงสารบางคน แค่ไม่กี่คำก็ถูกเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกับเขาและเจ้านายไร้คุณธรรมร่วมหัวกันเล่นงานเอาแล้ว
……
“จวนใหญ่เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ได้ยินว่าพี่ใหญ่จะพาคนมายี่สิบกว่าคน พรุ่งนี้บ่ายก็จะมาถึงในเมือง ท่านพ่อท่านแม่จะมาช้าหน่อย บอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดินต้าหุ้ย ตอนนี้ว่างแล้ว ก็ต้องเที่ยวให้ทั่วแผ่นดินต้าหุ้ย เที่ยวเมืองชื่อดังต่างๆ ให้หมดจึงจะยอมมาที่นี่ ไม่แน่ว่าถึงบ้านก็คงวันไหว้พระจันทร์ วันไหว้พระจันทร์ปีนี้ครึกครื้นแน่เลย” ซูสุ่ยเลี่ยนพับจดหมายที่เพิ่งได้รับมา หันไปยิ้มละมุนให้หลินซือเย่า
“อืม ก็ดี ก่อนวันไหว้พระจันทร์ พวกเราก็ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา” หลินซือเย่าล้างมือแล้วก็ตระกองกอดนางเข้าสู่อ้อมกอด สูดดมกลิ่นหอมจากผมของนางอย่างพึงใจยิ่ง
“ใช่แล้ว พ้นปีนี้ไปก็ควรจะผ่อนงานลงได้แล้วกระมัง ทำไมข้ารู้สึกว่าหลายปีมานี้ผ่านไปเร็ว ทุกครั้งงานก่อสร้างเสร็จ ก็ผ่านไปสองสามเดือนอีกแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนทิ้งตัวลงบนตัวเขา หรี่ตาอย่างมีความสุข ซึมซับความสุขจากการได้พักผ่อนยามบ่ายที่หาได้ยาก
พักก่อนไม่ใช่เขายุ่งกับการหาที่ตั้งให้หอเฟิงเหยาไปทั่ว ก็เป็นนางที่ไปดูงานโรงทอผ้าไหมที่ยอดเขาซิ่วเฟิงทุกวัน กลางวันยากจะได้พบเขาสองคนพักผ่อนที่บ้าน
“ไม่น่า” หลินซือเย่าวางศีรษะลงบนซอกคอนาง อุ้มนางจากด้านหลังพิงเก้าอี้นอน “พี่ใหญ่เจ้ากะว่าจะบุกเบิกพื้นที่รกร้างสองข้างทางถนนหลวงทั้งหมด งานก่อสร้างน่าจะใหญ่พอควร”
“ใช่แล้ว ข้าลืมไปเลย ข้ายังกะว่าจะย้ายโรงแปรรูปผักดองไปอยู่บนริมถนนหลวง ว่าจะสร้างให้ใหญ่สักหน่อย ไม่เพียงทำอาหารดองและพวกเนื้อซีอิ๊ว ยังจะดองอีกหลายอย่าง ก็ชื่อว่าโรงอาหารดองเหอหยวนละกัน สำหรับโรงทอผ้าไหม พอผลผลิตออกสู่ตลาด โรงทอผ้าที่ยอดเขาซิ่วเฟิงก็คงใหญ่ไม่พอ นับประสาอันใดกับการที่ต้องรับคนงานทอผ้าอีกจำนวนมาก ย่อมต้องเอาไปตั้งบนริมถนนหลวงเหมือนกัน จะได้สะดวกสักหน่อย…” นางนับนิ้ว
คิดงานที่ต้องทำต่อไปอย่างถี่ถ้วน คิดไปมาจึงได้พบว่าต้องการแรงงานอีกไม่น้อยจึงจะทำให้ทุกอย่างมีเสถียรภาพได้
หลินซือเย่าอดหัวเราะไม่ได้ ฉวยโอกาสเอียงคอจุมพิตนางทีหนึ่ง “อย่าทำตัวเองให้เหนื่อยมากจนเกินไป”
“เหมือนพี่ใหญ่ทำงานปกครองจะหนักกว่านะ พวกเราน่าจะสบายไป” ซูสุ่ยเลี่ยนอดเบ้ปากไม่ได้ กลับถูกหลินซือเย่าจุมพิตปากแดงๆ ของนางอีกที “อย่าเหนื่อยเกินไป ข้าจะปวดใจ”
“เจ้าก็เช่นกัน พักก่อนออกไปแต่เช้ากลับมาเสียดึก ผ่ายผอมหมดแล้ว” นางประคองใบหน้าที่เห็นโครงใบหน้าสันเหลี่ยมชัดและเริ่มคล้ำของเขา พลางงึมงำอย่างปวดใจ
“ไม่เป็นไร” เขากอดนางแน่น อุ้มนางเข้าห้องนอนไป
เรื่องเหนื่อยแค่นี้ สำหรับเขาไม่นับว่ากระไร เทียบกับงานนักฆ่าก่อนหน้านี้แล้วเรียกว่าสบายกว่าหลายเท่า
“ที่ตั้งใหม่หอเฟิงเหยาเลือกเสร็จแล้วหรือ” คิดจะหาที่รองรับคนหลายร้อยคนไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมืองฝานลั่วที่ใหญ่ที่สุดก็คือจวนเจ้าเมือง รองลงมาก็คืออดีตจวนคหบดีตระกูลลู่ คงไม่ใช่…
“หาได้แล้ว รอซือทั่วมา”
“ที่ไหน”
“วันหลังพาเจ้าไปดู” เขาเลี่ยงไม่ตอบ วางนางลงบนเตียง พลิกกายขึ้นทาบทับนางไว้พลางกล่าวว่า “ไม่อยากนอนตอนบ่ายก็ทำอย่างอื่นกัน…”
เอ่อ ผู้ใดบอกว่านางไม่อยากนอนตอนบ่ายกัน ก็แค่ก่อนนอนถามเขาอย่างห่วงใยสักคำไม่ใช่หรือ ถูกเขาหาเรื่องจะกินลงท้องเสียได้ การนอนบ่ายวันนี้ สองคนนอนกอดกันถึงยามเย็น
วันรุ่งขึ้นนางเตือนตอนเข้าเมืองไปรับจวิ้นอ๋องเหลียงเอินไจ่ บอกว่านางจะไปดูที่ตั้งใหม่หอหอเฟิงเหยาด้วยกันกับเขา
ตามคาด จวนตระกูลลู่ถูกหลินซือเย่าซื้อเอาไว้ สำหรับตระกูลลู่ย้ายไปไหนก็ไม่อาจทราบได้ รู้แค่ฮัวคังขายร้านในสังกัดตระกูลลู่ทั้งหมดแล้วก็ไปจากฝานลั่วจวิ้น
ร้านพวกนี้ล้วนเป็นร้านซบเซารอปิดกิจการ ขายรวมพร้อมจวนนี่ก็แค่สามร้อยตำลึง
แต่นี้ไปตระกูลลู่ที่อยู่เมืองฝานลั่วมาหลายสิบปีก็จบสิ้นลงในรุ่นฮัวคัง
เดิมเป็นตระกูลใหญ่ประกอบกิจการที่ไม่ต้องลำบาก ทำกินกันไปได้อีกหลายรุ่นอายุคน กลับมาขายทิ้งแค่สามร้อยตำลึง
เฮ้อ! ซูสุ่ยเลี่ยนยืนอยู่หน้าประตูตระกูลลู่อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้
“ไปกันได้แล้ว พี่ใหญ่เจ้าถึงแล้ว” หลินซือเย่าเดินออกมาจากด้านในดึงมือซูสุ่ยเลี่ยนไปยังจวนเจ้าเมือง
จวิ้นอ๋องเหลียงเอินไจ่นำพาคนในองค์กรจอมยุทธ์ยี่สิบแปดคน ขี่ม้าสูงใหญ่ในชุดขาวเข้ามาท่ามกลางเสียงร้องต้อนรับของชาวเมือง ค่อยๆ เข้ามายังอาณาเขตที่วันหน้าเขาจะใช้ชีวิตดูแล ปกป้องและพัฒนา…ฝานลั่วจวิ้น
“ข้าก็คือจวิ้นอ๋องของพวกเจ้า วันหน้าจะอยู่ที่นี่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเจ้า ไม่ได้มีกำหนดแปดปี ไม่ได้มีข้อจำกัดจากฮ่องเต้ ขอเพียงมีผลดีต่อฝานลั่วจวิ้น ก็จะนำพาพวกเจ้าบุกเบิก…”