ตอนที่ 154 คนรักกันย่อมได้ครองคู่กัน (ตอนที่หนึ่ง)

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

อายุยี่สิบสองปี หากอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด นางเชื่อว่าตนเองยังเป็นดอกกุหลาบหอมเย้ายวนโดดเด่นดอกหนึ่ง แต่ผู้หญิงที่นี่อายุสิบหกสิบเจ็ดปีก็หมายถึงการแต่งงานใกล้จะขาลงแล้ว ไม่จำเป็นให้เขามาเตือน นางก็รู้ว่าตนเองเหมือนเบญจมาศข้ามคืนก็พ้นวัยแล้ว…ใบร่วงโรยลงพื้นแล้ว…ทำให้คนไม่อยากเหลียวมองแล้ว

โชคดีที่อาชีพที่นางเลือกไม่ได้ทำให้นางต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้มากนัก อาชีพหมอไม่ว่าไปอยู่ที่กันดารหรือที่เจริญรุ่งเรือง ก็พอจะทำให้นางมีงานเช้าจรดค่ำได้ ไม่มีเวลามาคิดเสียใจวันเวลาแรกผลิแห่งวัยที่ร่วงโรย

……

ซูสุ่ยเลี่ยนลงจากรถม้า เงยหน้ามองไปยังอักษรหวัดชื่อป้าย ‘โรงหมอชิงหยาง’ พลางแย้มยิ้มบาง

“ไปกันเถอะ ซิ่นจือ หวังว่าจิ้งจืองานไม่ยุ่ง”

“ฮู…ฮูหยิน? ท่านมาได้อย่างไร ไม่สบายตรงไหนหรือ” ดรุณีน้อยที่หน้าห้องตรวจพอเห็นซูสุ่ยเลี่ยนก็ทั้งตกใจและดีใจ

ตกใจที่คิดว่าฮูหยินป่วยมาโรงหมอ ดีใจที่โรงหมอเปิดมาได้เกือบสองปีแล้ว ยุ่งจนไม่ได้มีเวลากลับไปเยี่ยมฮูหยิน กำลังคิดว่าวันไหว้พระจันทร์จะขอลากลับไปได้ไหม ฮูหยินก็มาปรากฏตรงหน้าตอนนี้แล้ว

“ไม่เจอกันนาน ชิงชิง คุ้นเคยงานโรงหมอหรือยัง” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มลูบหัวดรุณีน้อย

“คุ้นเคยแล้ว แม้ว่ายุ่งสักหน่อย แต่ว่าดูมีความหมายมาก เพียงแต่…เพียงแต่ชิงชิงไม่ได้กลับไปพบฮูหยินกับเหลียงหมัวมัว” ชิงชิงกล่าวไปขอบตาก็แดงไป สามปีก่อนเหลียงหมัวมัวเก็บนางมาจากท้องถนน มาเป็นสาวใช้ที่เหอหยวน เด็กสาวน่าสงสารไร้บ้าน ถูกขับจากตระกูลลู่แล้วยังถูกใส่ความอีก โชคดีได้พบเหลียงหมัวมัว โชคดีที่ฮูหยินเมตตารับนางไว้ ยังให้นางได้ทำงานที่โรงหมออีก

“เด็กโง่ เหนื่อยก็ขอลากับเจ้านายได้นี่ กลับเหอหยวนไปเยี่ยมพวกเราก็ดี” ซูสุ่ยเลี่ยนรู้ว่านางคิดถึงอดีตอีกแล้ว ก็ลูบท้ายทอยนางเบาๆ “ชิงชิง เจ้าควรรู้ว่าตระกูลลู่ไม่อยู่แล้วใช่ไหม” หนึ่งเดือนก่อน ตระกูลลู่ก็ขายร้านค้าและบ้านที่ดินทั้งหมดให้อาเย่า ตอนนี้บ้านเดิมตระกูลลู่ถูกปรับปรุงซ่อมแซมใหม่จนดูใหม่ทั้งหมดแล้วก็จะกลายเป็นที่ตั้งหอเฟิงเหยา

“ได้ยินมาแล้ว ช่างสะใจจริง! คนเลวย่อมได้ผลกรรม แค่รอเวลาเท่านั้น คำนี้ถูกต้องแท้!” ชิงชิงพยักหน้าอย่างแรง กล่าวอย่างโมโห

ซูสุ่ยเลี่ยนแอบขำพลางส่ายหน้า ดรุณีน้อยผู้นี้ถูกตระกูลลู่ทำร้าย นางจึงไม่ได้ตำหนิท่าทีดุเดือดนี้ของนาง “จิ้งจือยุ่งไหม” นางไม่อยากมาเก้อ

“วันนี้ยังดี ยังเหลือหญิงตั้งครรภ์อีกสองคนต้องตรวจครรภ์ หากฮูหยินมีธุระด่วน ชิงชิงจะเข้าไปบอกพวกนาง”

“ไม่ต้อง ข้าไม่รีบ รอให้พวกนางตรวจเสร็จค่อยไปพบนางก็ได้” ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะกล่าวกันคำสองคำแล้วจะจบ ให้คนไข้รอคงไม่ดี นับประสาอันใดกับการที่นางยังต้องฝึกฝนอยู่อีกหลายรอบ

……

“คนถัดไป” หยางจิ้งจือขมวดคิ้ว ลองพยายามเกลี่ยความเครียดที่หว่างคิ้วนางดู

“ข้าเอง” ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มผลักประตูเข้ามา ค่อยๆ เดินมาที่เก้าอี้ที่หยางจิ้งจือนั่งอยู่

หยางจิ้งจือขมวดคิ้วจ้องมองนาง “เจ้า…ไม่สบายตรงไหน” คงไม่ใช่หมันที่ทำให้หลินซือเย่านั่นล้มเหลวกระมัง ซูสุ่ยเลี่ยนตั้งครรภ์อีกแล้วหรือ

“เจ้าคิดไปไหนกันเนี่ย” ซูสุ่ยเลี่ยนหัวเราะค้อนใส่นาง “ไม่ได้ไม่สบายอะไรก็มาหาเจ้าไม่ได้หรือ”

“คิดไม่ออกจริงๆ” หยางจิ้งจือเห็นนางสบายดีก็เบาใจพลางเบ้ปาก วันนี้ตรวจมาทั้งวัน

“เจ้ายังคิดหลบไปถึงเมื่อไร” ซูสุ่ยเลี่ยนถอนหายใจเบา ถามอย่างเสียไม่ได้

“ข้าหลบที่ไหนกัน” หยางจิ้งจือทำเสียงแข็ง

“พอเขากลับมา เจ้าก็ไม่ยอมให้เขาพบ ขอเพียงมีเขาปรากฏตัว เจ้าก็จะรีบยุ่งจนไม่มาร่วม…นี่คือทำไปทำไม!”

มองในระยะใกล้เช่นนี้ย่อมไม่พลาดสีหน้าซีดเซียวของจิ้งจือ ซูสุ่ยเลี่ยนอดส่ายหน้าไม่ได้ เห็นๆ ว่าใส่ใจอีกฝ่าย แต่ทำไมต้องบีบคั้นตนเองเช่นนี้

หยางจิ้งจือรู้ว่า ‘เขา’ ที่นางพูดคือใคร นางยอมรับว่าตนเองหลบจริง โมโหที่สองสามเดือนก่อนเขาไม่บอกสักคำก็ทิ้งนางไปเมืองหลวงคนเดียว โมโหจนนางเอาแต่คิดถึงเขาตลอดสองสามเดือนนั้น คอยแต่เป็นกังวลความปลอดภัยเขาตลอดเวลา แต่เขาดีเลย พบกันอีกทีที่เมืองฝานลั่ว อ้อ ไม่สิ จากนี้ไปเขาคือจวิ้นอ๋องแห่งฝานลั่วจวิ้น จวิ้นอ๋องหนุ่มที่ต้องนำพาประชาปฏิรูปใหม่ และนางคืออะไร ก็แค่คู่หมายที่เขาว่างก็มาเล่นแก้เหงาเท่านั้นหรือ

“จิ้งจือ เจ้ารู้ว่าในโลกนี้ นอกจากอาเย่า ข้าก็มีแต่เจ้าที่ใกล้ชิดที่สุด มีอะไรก็พูดกับข้าได้ หาก…หากเจ้าไม่มีใจต่อเขาสักนิดจริงๆ ไม่อยากจะมีอะไรข้องเกี่ยวกับเขาอีก บอกมาคำเดียว ข้าก็จะกลับไปบอกให้เขาตัดใจ” ซูสุ่ยเลี่ยนพูดไปก็มองจ้องนางไม่วางตาไป เหมือนว่าขอเพียงนางพยักหน้ายอมรับ ตนเองไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยจริงๆ ไม่อยากมีอะไรข้องเกี่ยวกับเขาจริงๆ สุ่ยเลี่ยนก็จะไปบอกเขาตามจริง แต่ทำไมใจนางกลับเจ็บปวดราวกับจะหมดลมหายใจ ไม่อยากยอมรับ แต่ไม่อยากปล่อยวางเช่นกัน

“เฮ้อ…” เห็นจิ้งจือซุกหน้าลงบนสองมือ ท่าทางเจ็บปวด ซูสุ่ยเลี่ยนก็รู้ว่าแท้จริงแล้วในใจนางไม่ได้เด็ดขาดเหมือนที่แสดงออก

“เช่นนั้น ข้าก็จะขอคิดว่า แท้จริงแล้วเจ้าใส่ใจเขา แต่ทำไมต้องปฏิเสธเขา?” ซูสุ่ยเลี่ยนลูบผมปลอบจิ้งจือเบาๆ นางราวกับพึมพำพูดกับตัวเอง “แท้จริงแล้วข้าคิดจะไปคุยเรื่องเก่าๆ กับเจ้านานแล้ว ซีเอ๋อร์ลูกชายสามข้าบ่มสุราอิงเถาใกล้ได้ที่แล้ว แต่เจ้าคงไม่รู้ว่า ระยะนี้ข้ายุ่งขนาดไหน ไม่เพียงแต่ต้องดูแลโรงทอผ้าไหม ยังต้องไปช่วยพี่ใหญ่ตกแต่งบ้านใหม่ เขาดีเลย วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ที่ทำการ เอาแต่หารือกับบรรดาเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยเรื่องจัดการพื้นที่ฝานลั่วจวิ้นใหม่ ส่วนการตกแต่งห้องหอจวนพักตากอากาศลั่วสุ่ยก็ยัดใส่มือข้าคนเดียว ใช้เวลาตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะจัดเสร็จได้ ก็เหลือแค่เลือกวันมงคลแล้ว แต่เจ้าของงานสองคนดีเลย เหมือนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นี่ข้าติดค้างผู้ใดกันนี่…”

“ห้องหออะไร? งานเลี้ยงมงคลอะไร” หยางจิ้งจือจับได้แค่คำเหล่านี้ ขัดวาจาบ่นไม่หยุดของสุ่ยเลี่ยนขึ้น

“เอ๋? เจ้าไม่รู้หรือ พี่ใหญ่บอกว่าเขาจะแต่งงานแล้ว ให้ข้ารีบจัดบ้านให้เขา ห้องหลักให้ตกแต่งใหม่หมด ข้ายังคิดว่าว่าเจ้ารู้ ยังคิดว่าเจ้าไม่พอใจที่เขาดูไม่จริงใจตอนขอเจ้าแต่งงาน จึงได้งอนไม่ยอมพบเขา” ซูสุ่ยเลี่ยนมองนางอย่างตกใจ

“ข้าไม่รู้เรื่อง เขาไม่ได้บอกข้า” หยางจิ้งจือหน้าซีด แสดงให้เห็นว่านางตกใจจริง เขาจะแต่งงานแล้ว เจ้าสาวไม่ใช่นาง ฮา…น่าขันจริง! ช่วงก่อนหน้านั้นจมดิ่งอยู่กับความทุกข์ราวกับลงโทษตัวเองไปทำไมกัน

“เอ๋? จิ้งจือ คงไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่เขาอยากทำให้เจ้าตื่นเต้นดีใจ ดังนั้นจึงได้ไม่ได้บอกกับเจ้า?” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้าลงคิดไปคิดมา “ข้าไปหาพี่ใหญ่ถามให้กระจ่างดีกว่า วางใจ ต้องให้เขามีคำตอบให้เจ้า” กล่าวจบนางก็ก้าวถอยหลังเหมือนจะออกจากห้องตรวจ

ทิ้งหยางจิ้งจือที่สีหน้าซีดเผือดเอาไว้ คำตอบ? ไม่ต้องแล้ว หากต้องการทำให้นางตื่นเต้นดีใจ ก็ควรเป็นตอนที่เขากลับมาฝานลั่วจวิ้นควรมาบอกนางกระจ่างแล้ว ไม่ควรจะปล่อยให้ผ่านมาถึงหนึ่งเดือน ยังต้องรู้จากปากคนอื่นอีก เหลียงเอินไจ่ ถือว่าเจ้าแน่!

“ฮูหยิน? กลับเร็วอย่างนี้? อาหารกลางวันไม่กินที่โรงหมอ? หัวหน้าโรงหมอไม่มีนัดคนไข้แล้วนะ” ชิงชิงเห็นซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้าก้าวออกจากห้องตรวจรวดเร็วก็รีบร้องถาม

ซูสุ่ยเลี่ยนโบกมือให้ชิงชิงไม่หันมามองแม้แต่น้อย บอกว่านางไปละ ก้าวออกจากโรงหมอก็ก้าวขึ้นรอม้าที่รออยู่ หัวเราะดังลั่น

“ฮา ฮา ฮา สวรรค์! ไม่เคยรู้เลยว่าการหลอกคนหน้าตายนี่มันทรมานขนาดนี้ ใกล้กลั้นไม่อยู่แล้ว ซิ่นจือ กลับไปจวนจวิ้นอ๋องก่อน ไปบอกพี่ใหญ่สักคำ เรื่องที่เขาสั่งการมาจัดการเรียบร้อยแล้ว”

……

อีกหกวันก็วันไหว้พระจันทร์แล้ว พระจันทร์ใกล้จะเต็มดวงกลมอีกครั้ง พระจันทร์ใกล้จะลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า

ดึกแล้ว นางยังคงไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย

นางนั่งห้อยเท้าอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าห้องนอน จ้องมองพระจันทร์ตกในภวังค์ กลางวันอาศัยความยุ่งทำให้ลืมเงาร่างคนผู้หนึ่งไปได้บ้าง แต่พอตกกลางคืน ความคิดแทบบ้าคลั่งก็ราวกับเงาตามโจมตีนางอย่างไม่ทันตั้งตัว

ควรตาย! เขาจะแต่งงานแล้ว ตนเองยังคิดว่าเขาทำอะไรอยู่! ต้องลืมเขาให้ได้ ให้เขาได้รู้ว่า ไม่มีเขา นางก็มีชีวิตอย่างดีเยี่ยม!

แสงจันทร์นวลสาดส่อง ก้มหน้ามองฝ่ามือตนเอง นางที่ไม่เคยเชื่ออะไรงมงาย ก็เริ่มสนใจค้นหาเส้นแต่งงานว่าเส้นไหน เป็นนานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ นางพบว่า ตนเองนั่งอยู่ที่นี่มาได้ค่อนคืนแล้ว

คิดถึงวันเวลาก่อนหน้านี้ เขาจะบุกรุกเข้าห้องนอนนางอยู่ประจำ กอดนางไว้ผ่านค่ำคืนไปอย่างช้าๆ บางครั้งพัวพันโหมกระหน่ำกับนาง บางครั้งเพียงแค่กอดนางไว้แน่นและนอนหลับไปเงียบๆ

นางไม่ได้สนใจความบริสุทธิ์อะไร สองปีก่อนถูกเขาทำลายไปแล้ว นางมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ไม่ได้กล้าน้อยไปกว่าเจียงอิ้งอวิ๋นเลย แม้เช่นนั้น แต่ตอนนี้นางก็ยังแคลงใจ นางยังคงเอาแต่เศร้ากับวันเวลาแรกแย้มที่ผ่านไปจนเที่ยงคืนก็ยังหลับไม่ลง มานั่งทุกข์ใจที่นี่ทำไม?

นางถอนหายใจเบาๆ อีกครั้งก่อนจะลุกเดินกลับห้อง ตอนที่มือคว้าประตูไว้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าใจเจ็บปวดนี้เกิดจากอะไร ก็เป็นเพราะอิจฉาสตรีที่เขากำลังจะแต่งด้วยกระมัง อิจฉาที่นางผู้นั้นแต่งกับเขาได้อย่างเปิดเผย อิงแอบในอ้อมกอดอบอุ่นแน่นหนานั้นไปได้ชั่วชีวิต…

เป่าเทียนบนโต๊ะดับลงแล้ว ก็อาศัยแสงจันทร์เลือนลางเดินไปที่เตียง พอเตะถอดรองเท้าออก ถอดเสื้อตัวนอกทิ้ง ก็เหมือนมีอ้อมกอดอุ่นและคุ้นเคยมากอดนางไว้

นางตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็คิดดิ้นรนสลัดออก

“อย่าขยับ ให้ข้ากอดเจ้าไว้อย่างนี้” เหลียงเอินไจ่สูดลมหายใจลึก กอดนางไว้ในอ้อมกอดแน่น

“ปล่อยข้านะ!” เขานี่มันอะไรกัน เห็นๆ ว่าจะแต่งงานแล้ว ยังจะมาขึ้นเตียงนางอีก เขาคิดว่านางคืออะไร! หยางจิ้งจือทั้งอับอายทั้งโมโหก็ยิ่งดิ้นรนเต็มแรง

“ซีซี…” น้ำเสียงเขาแหบพร่ากระซิบข้างใบหูนาง “ข้าไม่รู้ว่าการไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้า ทำให้เจ้าเสียใจเช่นนี้ ข้าคิดว่า…”

“คิดว่าอะไร ข้าไม่เสียใจสักนิด เจ้าเป็นอะไรกับข้า เจ้าแต่งไม่แต่งงาน ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าสักนิด!” นางพยายามกลั้นน้ำตาที่เริ่มรื้นขึ้นมา กลัวว่าไม่ทันระวัง ใจที่กว่าจะทำให้เข้มแข็งได้จะถูกเขาทำลายลงอีก

“ทำไมไม่เกี่ยว คนที่ข้าจะแต่งก็คือเจ้า เจ้าหนีไม่พ้นความเกี่ยวข้องนี้แล้ว” เขาจับมือนางที่ปัดป่ายไปมาไว้แน่น กดสองขาที่เตะไปมาของนางด้วยกายท่อนล่าง ประกบปากแดงนางไว้ วาจาสองสามคำสุดท้ายป้อนเข้าปากนาง “คนที่ข้าจะแต่งก็คือเจ้า ซีซี ไม่มีคนอื่น มีแต่เจ้า”