ตอนที่ 158 ต้องมีการหลอกล่อรูปแบบหนึ่งที่เหมาะสมกับนาง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 158 ต้องมีการหลอกล่อรูปแบบหนึ่งที่เหมาะสมกับนาง

องค์หญิงติ้งเถาถูกขังอยู่ในตำหนักเว่ยยาง การออกไปข้างนอกไม่ได้ทำให้นางสิ้นหวัง

เดิมทีนางอยากฉวยโอกาสที่เสด็จพี่สามอภิเษกใหม่เข้าวังหลวงถวายบังคมขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีโอกาสแม้แต่โอกาสที่จะได้พบหน้า

รอจนกระทั่งเสด็จพี่สองเข้าวัง พี่น้องถึงได้มีโอกาสพบหน้ากัน

“เสด็จพี่สอง ช่วยข้าด้วย! เสด็จแม่จะทรงให้ข้าอภิเษกกับบุตรชายคนโตของชื่อสื่อแห่งรัฐเหลียวโจวที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าไม่อยากอภิเษก ข้าไม่อยากไปรัฐเหลียงโจว ข้า…”

“ผู้ใดบอกว่าเจ้าต้องอภิเษกไปที่รัฐเหลียงโจว”

องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินพูดขัดนาง

องค์หญิงติ้งเถาทำหน้าฉงน น้ำตายังเปรอะเปื้อนอยู่ข้างแก้ม ดูแล้วน่าตลกอย่างยิ่ง

“ท่าน ท่าน…เสด็จพี่สองท่านรู้หมดแล้วหรือ”

นางเพิ่งรู้ตัวทีหลัง ความหนาวเหน็บส่งขึ้นมาจากปลายเท้าถึงสมองเมื่อนางนึกบางอย่างได้

ทันใดนั้นร่างกายของนางสั่นเทา สีหน้าซีดเผือด

องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินจ้องมองนางด้วยสายตานิ่งเงียบ นิ่งเงียบราวกับบ่อน้ำโบราณ ไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย

ติ้งเถารู้สึกหนาวเย็นไปทั้งใจ นางก้าวถอยหลังทันที

องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินเห็นท่าทีของนางจึงหัวเราะขึ้นมา แต่รอยยิ้มของเขาไม่ได้ลึกลงไปในดวงตา

เขาบอกกับนาง “หลิวเป่าผิงจะเข้าเมืองหลวงมารายงานตัวในเดือนหน้า หลังจากนั้นเขาจะอยู่ทำงานในเมืองหลวงต่อ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องอภิเษกไปยังรัฐเหลียงโจว เจ้าจะอภิเษกในเมืองหลวง หลังจากอภิเษกแล้วยังคงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง”

องค์หญิงติ้งเถาก้าวถอยหลังพลันส่ายหน้า

“เสด็จพ่อไม่ทรงเห็นด้วยกับงานอภิเษกนี้อย่างแน่นอน”

เซียวเฉิงเหวินก้มหน้ายิ้ม ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่สุดบนโลกนี้

“วันนี้เสด็จพ่อทรงออกพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษก เจ้ากับหลิวเป่าผิงเป็นว่ามีสามีภรรยากันแล้ว”

“ไม่…เป็นไปไม่ได้! ท่านกำลังหลอกข้าใช่หรือไม่ เสด็จพ่อจะทรงเห็นด้วยกับงานอภิเษกนี้ได้อย่างไร”

“เสด็จพ่อทรงมีเหตุผลใดที่จะไม่เห็นด้วย” เซียวเฉิงเหวินถามนางกลับ

องค์หญิงติ้งเถาอ้าปาก แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

เซียวเฉิงเหวินพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ถึงแม้เจ้าจะกำเนิดจากภรรยาเอก แต่เจ้ากลับไม่ใช่บุตรสาวที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานที่สุด อีกทั้งยังอยู่บรรดาบุตรที่เสด็จพ่อทรงไม่โปรดปรานที่สุด งานอภิเษกของเจ้า เสด็จพ่อไม่ทรงถามแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้น

เพียงแค่เสด็จแม่ตัดสินพระทัย อย่าว่าแต่หลิวเป่าผิง แม้เจ้าจะต้องอภิเษกกับคนขาเป๋ คนหูหนวก คนตาบอด หรืออภิเษกกับหมาแมว เสด็จพ่อก็ไม่ทรงพูดว่า ‘ไม่’ แม้แต่น้อย หลายปีนี้เสด็จพ่อไม่ทรงสนพระทัยเรื่องของเจ้า เจ้าไม่เคยสังเกตหรือ น้องสาวของข้า เหตุใดเจ้าจึงโง่เขลาได้เพียงนี้”

“กรี๊ด…หุบปาก ท่านหุบปาก!”

องค์หญิงติ้งเถาอุดหู นางไม่อยากได้ยิน นางไม่ฟัง

โกหกนางทั้งนั้น

ความจริงจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

ถึงแม้นางรู้จะว่าเสด็จแม่และเสด็จพี่สองล้วนเป็นคนโหดเหี้ยม เถาชีก็คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

แต่เมื่อนางเผชิญหน้ากับเสด็จแม่และเสด็จพี่สองที่โหดเหี้ย นางก็ยังยอมรับไม่ได้

นางนั่งร้องไห้อยู่บนพื้น

นางกลัวมาก!

ราวกับตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจ

ทันใดนั้นนางรู้สึกอิจฉาเถาชีเล็กน้อย

อย่างน้อยเถาชีก็ตายจากไปอย่างไร้เสียง ไม่ได้รับความทุกข์ทรมาน ไม่ต้องรู้ความจริง

ตายจากไปอย่างเงียบสงบเป็นความโชคดีแบบหนึ่ง

นางเป็นองค์หญิง!

นางเป็นบุตรสาวที่กำเนิดจากภรรยาเอกของฮ่องเต้!

เหตุใดสวรรค์จึงต้องให้นางทนรับความเจ็บปวดเช่นนี้ เหตุใดจึงโหดร้ายกับนางปานนี้

นางมีชีวิตสู้บุตรสาวในตระกูลเล็กไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

เซียวเฉิงเหวินนั่งลง จับคางของติ้งเถาบังคับให้นางเงยหน้าขึ้น

เขาพลางแช็ดน้ำตาให้นาง พลางพูดอย่างใจเย็น

“เหตุใดจึงต้องร้องไห้ ก็แค่อภิเษก จำเป็นต้องร้องไห้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ติ้งเถาตัวสั่นเทา ไม่กล้าร้องไห้ ทำได้เพียงสะอื้น

นางมองเสด็จพี่สองด้วยร่างกายที่เย็นเฉียบ

เมื่อเทียบกับการเผชิญหน้ากับเสด็จแม่ อีกฝ่ายทำให้นางหวาดกลัวมากกว่า

นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แม้แต่การสะอื้นยังต้องระมัดระวัง

เซียวเฉิงเหวินพูดต่อ “เสด็จพ่อและเสด็จแม่ไม่ได้ให้เจ้าไปสานสัมพันธไมตรีก็คือความโชคดีที่สุดในฐานะองค์หญิงแล้ว อภิเษกกับหลิวเป่าผิงดีกว่าสานสัมพันธไมตรีร้อยเท่า เจ้ามีความจำเป็นต้องร้องไห้หรือ เจ้าคัดค้านงานอภิเษกนี้ เพียงเพราะเจ้าไม่เคยพบหลิวเป่าผิง ไม่รู้ว่าเขามีลักษณะเป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร หากข้าบอกเจ้า หลิวเป่าผิงมีรูปลักษณ์ที่ดีเหมือนข้า นิสัยอ่อนโยน เจ้ายังจะคัดค้านงานอภิเษกนี้หรือไม่”

ทันใดนั้นองค์หญิงติ้งเถาลืมความหวาดกลัวไป

นางถามด้วยความซื่อ “เสด็จพี่สองเคยพบหลิวเป่าผิงมาก่อนหรือ”

เซียวเฉิงเหวินยิ้ม “หากไม่เคยพบเขา จะหมั้นหมายเจ้าให้เขาได้อย่างไร”

องค์หญิงติ้งเถาเบิกตาโต “แต่เห็นได้ชัดว่าเสด็จแม่ไม่เคยทรงพบกับหลิวเป่าผิงมาก่อน”

เซียวเฉิงเหวินพูด “เสด็จแม่ทรงประทับอยู่แต่ในวังหลวง นานทีจะเสด็จออกจากวัง นางย่อมไม่เคยพบหลิวเป่าผิงมาก่อน”

“แต่ว่าเสด็จพี่สองท่าน ร่างกายของ่าน ท่านจะเคยพบหลิวเป่าผิงได้อย่างไร”

องค์หญิงติ้งเถาทำหน้าฉงน

เซียวเฉิงเหวินลูบจมูกของนาง “มีเรื่องใดแปลกประหลาดกัน เจ้าลืมไปแล้วหรือ ตระกูลของหลิวเป่าผิงเป็นตระกูลเดียวกันกับหลิวจิ้นใต้เท้าผู้เป็นอวี้สื่อต้าฟู ทั้งสองตระกูลใช้แซ่ร่วมกัน มีการไปมาหาสู่เป็นประจำ แต่ก่อนเจ้าไม่เคยสนใจตระกูลหลิว ย่อมไม่รู้ว่ามีคนผู้นี้อยู่”

องค์หญิงติ้งเถากระจ่างในทันที

นางถามอย่างระมัดระวัง “เสด็จพี่สองเป็นผู้กำหนดงานอภิเษกนี้หรือ”

“เจ้าไม่พอใจหรือ” เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างมีนัย

หัวใจขององค์หญิงติ้งเถากระจุก นางส่ายหน้าอย่างระมัดระวัง “ไม่ได้เพคะ!”

เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างพอใจ “นี่ถึงจะเป็นน้องสาวที่ดีจองข้า เชื่อฟัง รู้เรื่อง เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้า งานอภิเษกนี้ รอเจ้าได้พบกับหลิวเป่าผิง เจ้าย่อมต้องพึงพอใจ”

หัวใจขององค์หญิงติ้งเถากระสับกระส่าย นางพยักหน้าคล้อยตาม

หลังจากถูกเสด็จพี่สองเกลี้ยกล่อม ภายในใจของนางก็ไม่ได้ต่อต้านงานอภิเษกนี้เหมือนในตอนแรก

หากหลิวเป่าผิงเหมือนดั่งที่เสด็จพี่สองทรงพูด รูปลักษณ์ดี นิสัยอ่อนโยน นางย่อมอภิเษกได้

แต่นางไม่เคยคิดว่าแม้นางจะไม่ยินยอม นางก็ต้องอภิเษกอยู่ดี

นางก็ไม่เคยคิดว่าพื้นที่ยากลำบากอย่างรัฐเหลียงโจวมีแต่ต่างชนเผ่าก่อความวุ่นวาย

หลิวเป่าผิงอยู่ในค่ายทหารเป็นประจำ เด็ดขาดในการสังหาร เขาจะเป็นผู้ที่มีนิสัยอ่อนโยนได้อย่างไร

อาจจะมีเพียงความอำมหิตที่แผ่ออกมา

แต่ไม่มีผู้ใดบอกนางเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้

เวลานี้นางก็คิดไม่ถึง

เซียวเฉิงเหวินเห็นนางอารมณ์เย็นลง ดังนั้นจึงพูดขึ้น “อย่านั่งยองอยู่เลย เมื่อยน่าดู มา พยุงข้าลุกขึ้นยืน”

ติ้งเถารีบพยุงเซียวเฉิงเหวินยืนขึ้น

เมื่อเห็นเขาพยุงเก้าอี้นั่งลง อีกทั้งยังยื่นมือทุบขา นางถามอย่างสงสัย “เสด็จพี่สองทรงทรมานมากหรือ หลายปีนี้ ร่างกายของท่านไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อยเลยหรือ”

เซียวเฉิงเหวินได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา “แม้จะทรมาน แต่ข้าก็ชินแล้ว โรคที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่อาจรักษาหายได้ ทำได้เพียงบำรุงไปเรื่อยๆ ติ้งเถา ไม่แน่ว่าวันใดข้าอาจจะจากไป เจ้าจะโกรธแค้นข้าหรือไม่”

ติ้งเถากระวนกระวายใจ

นางรีบส่ายหน้า “ข้าไม่เคยคิดแค้นเสด็จพี่สอง!”

เซียวเฉิงเหวินเลิกคิ้วยิ้ม เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ

แต่เขาไม่เปิดโปงนาง

“ไม่สำคัญว่าเจ้าคิดแค้นข้าหรือไม่ แต่เจ้าต้องจำไว้ เจ้า ข้า น้องสาม เสด็จแม่ พวกเราสี่คนร่วมทุกข์ร่วมสุข ผู้อื่นอาจทำร้ายเจ้า แต่ข้า เสด็จแม่และน้องสามไม่มีทางทำร้ายเจ้า พวกข้าเป็นคนที่เจ้าสนิทที่สุด มีแต่จะคิดแทนเจ้า”

หัวใจขององค์หญิงติ้งเถาหวั่นไหว สีหน้าของนางลังเล

เซียวเฉิงเหวินพูดต่อ “เจ้ามักคิดว่าข้ากับเสด็จแม่กำลังทำร้ายเจ้าเรื่องงานอภิเษกกับหลิวเป่าผิง แต่เจ้าไม่เคยคิดว่า ตระกูลหลิวอยู่รัฐเหลียงโจว หลังจากเจ้าอภิเษกก็ยังพักอยู่ในเมืองหลวง เท่ากับไม่มีพ่อแม่สามีและสะใภ้ในตระกูล ไม่มีน้องสาวหรือน้องชายของสามี หลังจากอภิเษก เจ้ายังพักอยู่ในจวนองค์หญิง อยากใช้ชีวิตอย่างไรก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น ไม่มีผู้ใดห้ามปราม อิสระเสรี งานอภิเษกเช่นนี้ไม่ดีหรือ

หากเลือกคู่ครองให้เจ้าจากบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง เจ้าต้องเผชิญหน้ากับพ่อแม่สามี สะใภ้ในตระกูล น้องสาวหรือน้องชายของสามี ต้องเผชิญหน้ากับการสร้างปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ถึงแม้เจ้าจะเป็นองค์หญิงผู้สูงส่ง แต่อย่างน้อยเจ้าก็ต้องทำให้พอเป็นพิธี จากนิสัยของเจ้า ชีวิตเช่นนั้น เจ้าคงอดทนไม่ได้ถึงสามเดือน นอกจากลำบากตัวเองแล้วยังทำให้ตัวเองเสียชื่อเสียง จะมีอิสระเหมือนกับที่เจ้าภิเษกกับหลิวเป่าผิงได้อย่างไร”

องค์หญิงติ้งเถาผงะ

หลังจากรับรู้งานอภิเษกนี้ นางก็ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องนี้มาก่อน

เมื่อได้ยินเสด็จพี่สองพูด งานอภิเษกนี้ก็ราวกับว่าไม่เลวจริงๆ

นางถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “มันดีจริงเหมือนที่เสด็จพี่สองทรงพูดหรือ หลิวเป่าผิงเขาเข้ากับคนง่ายจริงหรือ”

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะออกมา “เข้ากันไม่ง่ายแล้วอย่างไร เจ้าเป็นองค์หญิง เขาเป็นพระราชบุตรเขย มีแต่เขาต้องยอมเจ้า ไม่มีทางให้เจ้าต้องทนรับอารมณ์เขา”

ติ้งเถาได้ยินจึงครุ่นคิด ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล

เพียงแค่ไม่มีพ่อแม่สามี ไม่มีเรื่องความกตัญญูมาบังคับ ชีวิตหลังแต่งงานย่อมงดงาม

จนกระทั่งเวลานี้ นางก็ถูกเสด็จพี่สอง เซียวเฉิงเหวินเกลี้ยกล่อมในที่สุด ภายในใจไม่ต่อต้านงานอภิเษกนี้อีก

อีกทั้งนางยังภาวนาให้ได้พบหลิวเป่าผิงในเร็ววัน นางอยากเห็นว่าอีกฝ่ายรูปลักษณ์งดงามเหมือนเสด็จพี่สองจริงหรือไม่

เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างพอใจ “ใกล้จะออกเรือนแล้ว เจ้าพักอยู่ในตำหนักเว่ยยางอย่างสบายใจ เรียนรู้กฎระเบียบกับแม่นม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาเกียรติเอาไว้ อย่าให้ผู้อื่นหาข้อผิดพลาดได้ หลังจากอภิเษก เจ้าปิดประตูใช้ชีวิตอย่างไรย่อมไม่มีคนถาม”

“ข้าฟังเสด็จพี่สอง”

คราวนี้นางเชื่อฟังอย่างมาก

เซียวเฉิงเหวินอมยิ้มพลันพยักหน้า เวลานี้ ติ้งเถาในสายตาของเขาเป็นที่น่าชื่นชมอย่างมาก

หลังจากปลอบติ้งเถาแล้ว เซียวเฉิงเหวินก็ไปเข้าเฝ้าเถาฮองเฮา

“เสด็จแม่ทรงวางพระทัย ติ้งเถาคิดได้แล้ว นางจะไม่อาละวาดอีก”

เมื่อได้ยิน เถาฮองเฮาจึงถอนหายใจยาว

“เจ้ามีวิธีเสียจริง เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็เกลี้ยกล่อมติ้งเถาเอาไว้ได้ หลายวันก่อน นางอาละวาดหนัก ข้าหมดหนทางกับนางเสียจริง”

เซียวเฉิงเหวินก้มหน้ายิ้ม “เสด็จแม่ต้องทรงอดทนต่อติ้งเถามากขึ้นเสียหน่อย ติ้งเถาต้องใช้ไม้อ่อน หากไม่ทำให้นางยินยอมมาจากใจจริง นางก็จะอาละวาดไปตลอด”

“ข้าอดทนกับนางมากพอแล้ว พูดกับนางอย่างดี แต่นางฟังไม่เข้าหูแม้แต่ประโยคเดียว คิดว่าข้ากำลังทำร้ายนาง ใช้นางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เจ้าเด็กคนนี้ดื้อรั้นยิ่งนัก เหตุใดนางจึงเชื่อคำพูดของเจ้า แต่คำพูดของข้า นางกลับไม่เชื่อแม้แต่น้อย”

เถาฮองเฮาขุ่นเคือง นางคิดไม่ตก

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงเบา “ข้าบอกแล้วเสด็จแม่ต้องทรงอดทนให้มากขึ้น อย่ารับมือเพียงสองสามประโยคก็เริ่มตำหนิ การตำหนิไม่เคยมีผล การเกลี้ยกล่อมถึงจะเป็นวิธีที่ดี”

เถาฮองเฮากระจ่าง

นางนึกขึ้นได้ หลายปีนี้ นางไม่เคยเห็นบุตรชายคนโตโกรธแม้แต่น้อย

ไม่ว่าเวลาใด สถานการณ์รีบร้อนเพียงใด ถึงแม้ไฟจะไหม้หัวคิ้วแล้ว แต่เขาก็ยังมีท่าทีอดทน ไม่รีบไม่ร้อนแม้แต่น้อย

เถาฮองเฮาขมวดคิ้วด้วยความตกใจ

นางพึ่งรู้ว่าบุตรชายคนโตนอกจากไร้หัวใจแล้ว เขายังไม่มีอารมณ์อีกด้วย

คนเช่นนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง