แน่นอนว่า เป็นตามที่คาดไว้ หลังจากเล่นกับลูกสัตว์วิญญาณที่มอบให้นางเป็นเวลาสองสามวัน หลิงเอ๋อร์…ก็โยนพวกมันเข้าไปในกรงสัตว์วิญญาณ…
โชคดีที่ หลี่ฉางโซ่วเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว เขาสร้างตู้น้ำขนาดเล็กสำหรับหนูไผ่สีชมพู ซึ่งสามารถกลืนวัสดุคุณภาพต่ำส่วนใหญ่ได้ จากนั้นเขาก็เพิ่มค่ายกลที่เรียบง่ายสองชั้นเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของมัน
หลิงเอ๋อร์จะไปที่กรงขังสัตว์วิญญาณเดือนละสามครั้ง สัตว์วิญญาณส่วนใหญ่จะสามารถดูดซับพลังต้นกำเนิดแห่งสวรรค์และปฐพีได้ และจะไม่อดตายจริงๆ
ส่วนไข่มุกวิญญาณปฐพีที่โหย่วฉินเสวียนหย่ามอบให้นั้น หลี่ฉางโซ่วได้วางไข่มุกเม็ดนั้นเอาไว้ในจุดที่สะดุดตาของหอโอสถ โดยที่ไม่ได้เอาพกติดตัวไปด้วย
สมบัติชิ้นนี้มีค่ามาก
ในอนาคต เขาจะสามารถสร้างจานเวทค่ายกลของค่ายกลเบญจธาตุโดยใช้ไข่มุกนี้ร่วมกับสมบัติอื่นๆ อีกสี่ชิ้นที่มีคุณภาพระดับเดียวกันได้
ทว่าสำหรับเวลานี้ มันยังไม่มีประโยชน์มาก
หลี่ฉางโซ่วไม่เข้าใจว่า เหตุใดโหย่วฉินเสวียนหย่าถึงอยู่ที่นั่น…
ช่างมันเถิด
เขาบอกได้เพียงอย่างเดียวว่า นางทำทุกอย่างได้สมกับความเป็นอันตรายของนาง
เมื่อตัวอันตรายมาที่ยอดเขาหยกน้อย เขาก็จะไปพักผ่อนในหอโอสถ และปล่อยให้หลิงเอ๋อร์เล่น พูดคุย และดื่มชากับนางแทน
หลังจากเหตุการณ์เล็กๆ นี้ หลี่ฉางโซ่วก็ได้หยั่งรากอยู่นานในหอโอสถ และเริ่มหลอมโอสถ
ความมั่งคั่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เมื่อเขาไปที่ ‘เมืองหลินไห่’ ก่อนหน้านี้ เขาก็ได้ทำการวิจัยง่ายๆ บางอย่าง
เม็ดโอสถที่เขาหลอมออกมาในเวลานี้คือ เม็ดโอสถกระแสหลักที่ผู้บำเพ็ญพเนจรต้องการและนิยมใช้กันมาก มันมีคุณภาพในระดับเดียวกับโอสถเซียน ซึ่งมีผลในการรักษา ฟื้นฟู ซ่อมแซม และปรับปรุงสภาพร่างกายของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังช่วยในการทำลายจุดตีบตัน
โอสถทิพย์ระดับต่ำสามารถใช้โดยผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตา และยังสามารถตอบสนองความต้องการรายวันของเซียนพเนจรชั้นสูงได้อีกด้วย
เขาทำเพื่อหารายได้เพิ่มและเร่งการขายให้เร็วขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าจะทำกำไรได้มหาศาลและรวดเร็ว
จากทักษะและวิธีการหลอมของหลี่ฉางโซ่ว จะสร้างอัตราความสำเร็จในการหลอมได้ไม่ต่ำอย่างแน่นอน
ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่อาศัยสัญชาตญาณและประสบการณ์ในการหลอมโอสถ คำว่า ‘จำนวนเล็กน้อย’ และ ‘ปริมาณที่เหมาะสม’ ในสูตรโอสถนั้น จะเป็นสิ่งที่ไม่น่าดูสำหรับพวกเขา เช่นเดียวกับเหล่าภูตน้อยที่มักจะไปเดินเล่นในดินแดนเทวะทักษิณ…
แต่หลี่ฉางโซ่วได้เตรียมพร้อมสำหรับมันแล้ว
เมื่อเขาสัมผัสกับการหลอมโอสถเป็นครั้งแรก เขาได้จดบันทึกสรุปโดยย่ออย่างต่อเนื่อง และเขาก็จะพยายามหาส่วนผสมแน่นอนที่จำเป็นสำหรับสูตรหลอมโอสถได้ตลอด
เขายังใช้ระยะเวลาของการหลอมโอสถเป็นขีดจำกัด และบันทึกการเปลี่ยนแปลงของระดับความร้อนระหว่างการหลอมโอสถ จดลำดับการใส่สมุนไพร อายุของสมุนไพร รูปร่าง ขนาดของชิ้นส่วน และอื่นๆ แล้วเขาก็พบแผนการที่สมบูรณ์แบบในบรรดาสิ่งเหล่านี้…
และนี่คือการรับรองอัตราความสำเร็จในการหลอมโอสถ!
ในขณะที่เขากำลังหลอมโอสถกระแสหลัก[1] หลี่ฉางโซ่วก็ยังวางแผนจะหลอมโอสถขั้นสูงบางอย่างด้วยขีดจำกัดสูงสุดของเขาในเวลานี้
นั่นคือ โอสถวิญญาณระดับหนึ่งและระดับสอง
โอสถเซียนสามัญ มีเพียงระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่างเท่านั้น
โอสถเซียนสามัญ ระดับกลางเป็นสินค้าขายดีในเมือง มีเซียนจำนวนมากที่ไม่เก่งในการหลอมโอสถ จะซื้อพวกมันในปริมาณมาก
โอสถที่เหนือกว่าโอสถเซียนจะเรียกว่าโอสถวิญญาณที่มีระดับตั้งแต่หนึ่งถึงเก้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรียกว่าโอสถวิญญาณนั้น ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
ในเวลาเดียวกัน เม็ดโอสถทองคำเก้าปฏิรูปก็เป็นดั่งป้ายสัญลักษณ์ของผู้นำสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่จุติมาจากบรรพชนไท่ชิง หรือไท่ซ่างเหล่าจวิน
และด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้สืบทอดของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจึงเก่งกาจในแขนงการหลอม ทว่าในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วก็ไม่กล้าจะใช้สูตรโอสถเฉพาะของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพราะมันจะเพิ่มความยากลำบากบางอย่างที่ไม่อาจคาดคิดได้….
เพื่อความปลอดภัย เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะสามารถทำในเรื่องนี้ได้
และแผนของหลี่ฉางโซ่วในเรื่อง ‘การหลอมโอสถและเสริมความมั่งคั่ง’ ก็เรียบง่ายเช่นกัน
เขาตัดสินใจว่าจะไม่ใช้วิธีการคุ้มค่าโดยใช้ต้นทุนให้มีประสิทธิผล แต่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพโอสถเป็นหลัก
ในช่วงเริ่มต้น เขาลดราคาลงเล็กน้อยและพยายามบุกเข้าไปในอุตสาหกรรมโอสถของเมืองหลินไห่
และหลังจากที่มีความมั่นคงในระยะยาวแล้ว ข้ารับรองว่า โอสถทั้งหมดของข้าจะเป็นที่ต้องการสูงและขายหมดในร้านค้าต่างๆ ทั้งหมด!
แม้เขาจะสามารถหลอมโอสถวิญญาณได้ แต่เขาก็ไม่กล้าซื้อสมุนไพรวิญญาณอายุหมื่นปีมากเกินไป เพราะยังไม่มั่นใจว่าจะรับรองอัตราความสำเร็จในการหลอมโอสถ
เขาจะใช้สมุนไพรวิญญาณที่เหลืออยู่และเดิมพันหลังจากที่มั่นใจว่าเขาจะทำกำไรได้จากโอสถระดับกลางแล้วเท่านั้น
สิ่งที่ทำเงินได้จะต้องได้รับมาในลักษณะที่มั่นคง
……
หลังจากหลอมวัสดุล้ำค่าที่เขาได้แลกเปลี่ยนมาในครั้งนี้เข้าสู่รากฐานของค่ายกล เขาก็ได้ ‘ขยาย’ ค่ายกลฟื้นสภาพของยอดเขาหยกน้อย
หลี่ฉางโซ่ว จัดตารางเวลาของเขาเอาไว้เต็มและขยายให้มากที่สุดตลอดสิบสองชั่วยามในหนึ่งวัน
เขาจะใช้เวลาสามชั่วยามเพื่อทำการหยั่งรู้และเข้าสู่เฉิงเต๋า ใช้เวลาสองชั่วยามในการปรับปรุงทักษะเวทของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และอีกสองชั่วโมงในการอ่านตำราโบราณ รวมถึงเพิ่มพูนความรู้ของเขา ส่วนอีกหกชั่วโมงที่เหลือ เขาจะอุทิศตนให้กับหลอมโอสถ
เนื่องจากเขากำลังจะขายโอสถเหล่านี้นอกสำนัก เขาจึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะดึงดูดความสนใจจากสำนัก…
ความรู้สึกนี้คล้ายกันมากกับความรู้สึกของเขายามที่ได้สัมผัสกับการหลอมโอสถเป็นครั้งแรกและพบสมดุลหลายอย่าง และเมื่อย้อนเวลากลับไปในตอนนั้น เขาแทบจะไม่ได้นอนและคอยจับเตาหลอมขนาดเล็กนั้นเอาไว้แม้ในขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิ
เขาจะตื่นอยู่หน้าเตาหลอมตลอดเวลาจากพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงลาลับขอบฟ้า
เมื่อหลี่ฉางโซ่วจดจ่ออยู่กับการหลอมโอสถและการฝึกฝน เขาจึงไม่ทันได้สังเกตเวลาที่ผ่านไป
และนั่นคือการฝึกฝนจริงๆ
ดูเหมือนว่าเวลาจะเชื่องช้ามาก เขาไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเหมือนมนุษย์ที่ต้องยุ่งกับงานเพื่อชักหน้าให้ถึงหลัง หรือทำงานเพื่อให้มีกินสามมื้อต่อวัน และให้มีที่ซุกหัวนอน รวมถึงไม่ต้องกังวลว่าอายุขัยของเขาจะมีเพียงร้อยปีเท่านั้น
นานๆ ทีเขาจะเหนื่อยจากการหลอมโอสถ จากนั้นเขาก็จะเดินเล่นไปรอบๆ บนภูเขา และเย้าแหย่หยอกล้อศิษย์น้องหญิง ดูแลปลาวิญญาณในทะเลสาบ สัตว์วิญญาณในภูเขา และสมุนไพรในสวนสมุนไพร…
เขาพอใจกับชีวิตเยี่ยงนี้อย่างยิ่ง
แต่ละเดือนผ่านไป
หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสงบ
ทำให้ตัวเขาเองมั่นคงอย่างยิ่ง…
ในโลกบรรพกาลมีสี่ฤดูกาลเฉพาะในดินแดนเทวะทักษิณเท่านั้น และนอกเหนือจากดินแดนเทวะอุดรแล้ว สถานที่ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี
หลี่ฉางโซ่วใช้เวลามากกว่าสามปีในการการหลอมโอสถเหล่านี้ให้เสร็จ
บัดนี้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้รับการปรับปรุงข้อบกพร่องสามถึงสี่ประการที่เห็นได้ชัดเมื่อก่อนหน้านี้จนสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ใบหน้าของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สามารถเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของเขาได้ในที่สุด
นอกจากนี้ หลี่ฉางโซ่วยังทำให้กระดาษหนาขึ้นและเพิ่มกฎห้ามเข้าไป ซึ่งช่วยเพิ่มพลังให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้สำแดงพลังถึงระดับเซียนเสิ่น
และด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับความปลอดภัยมากขึ้น
หลี่ฉางโซ่วเตรียมพร้อมรอให้ท่านอาจารย์ของเขาออกมาจากการปิดด่านก่อนจะหารือกับท่านอาจารย์ถึงแผนการของเขาที่จะให้ท่านออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเขาก็จะใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อไปยังเมืองหลินไห่เป็นครั้งที่สอง
เมื่อตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกไปในครั้งนี้ มันจะสำแดงขอบเขตพลังเซียนหยวนขั้นปลาย ซึ่งจะช่วยให้ปลอดภัยและยากที่จะถูกปล้นได้
แน่นอนว่านอกจากนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ควรรู้…
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วนั่งบนเก้าอี้โยกและเรียงลำดับความคิดของเขา เขาหยิบแผ่นหยกออกมา จดวัสดุต่างๆ ที่เขาต้องการเพื่อแลกเปลี่ยนกลับมาในครั้งนี้
เมื่อข้าขายโอสถชุดนี้ได้สำเร็จ แกนกลางของค่ายกลฟื้นสภาพก็จะดีขึ้นและค่ายกลสลายพลังที่อยู่ด้านนอกหอโอสถก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเช่นกัน…
“ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์อาจะออกมาจากการปิดด่านเมื่อใด ข้ายังคิดถึงนางอยู่สักหน่อย”
หลี่ฉางโซ่ว เหลือบมองถุงเก็บสมบัติที่เขาเตรียมไว้สำหรับท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่ว ซึ่งภายในนั้นได้บรรจุเม็ดโอสถรสชาติดีพร้อมทั้งสุราที่นางโปรดปราน
[1] โอสถกระแสหลักหมายถึงโอสถที่นิยมใช้กันแพร่หลายมากในช่วงนั้น