ตอนที่ 70.2 นี่คืออะไรน่ะ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“ศิษย์พี่ มาดื่มชาและคุยกันเถิด! ศิษย์พี่โหย่วฉิน…มารอท่านนานแล้วเจ้าค่ะ”

ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์พลันขยิบตาให้เขา สองพี่น้องต่างสบตากันเพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

นางคิดว่า ศิษย์พี่เจ้าคะ ศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินมาที่นี่เพื่อมาหาท่านอีกครั้งเจ้าค่ะ และคราวนี้ ข้าไม่อาจจัดการกับนางได้แล้ว ท่านต้องจัดการเองแล้วเจ้าค่ะ!

หลี่ฉางโซ่วยิ้มแล้วกล่าวว่า “หลังจากหลอมโอสถแล้ว เวลานี้ข้าเหนื่อยเล็กน้อย ข้าอยากพักผ่อนและเห็นว่าพวกเจ้ากำลังสนุกกันอยู่ เลยไม่อยากรบกวนพวกเจ้า”

แล้วจู่ๆ โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ก้าวตรงมาทางกระท่อมมุงจากทันที

นางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว หากท่านเหนื่อย ก็พักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่มีเรื่องสำคัญอันใด เพียงแค่ว่าข้าปิดด่านฝึกบำเพ็ญนานเกินไป จึงเดินเตร่ไปทั่วสำนัก แล้วอยากมาขอคำชี้แนะนำจากท่านเจ้าค่ะ”

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็โค้งคำนับให้โหย่วฉินเสวียนหย่าและอีกสองคนว่า “โปรดอภัยที่ข้าไม่อาจร่วมสนทนาด้วยได้”

หลังจากนั้น ทั้งสามก็ต่างพากันโค้งคำนับตอบกลับให้ในขณะที่หวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ล้วนกล่าวว่าไม่เป็นไรหามิได้

ในขณะนั้น ดูเหมือนว่า หลิวเยี่ยนเอ๋อร์จะสังเกตเห็นบางอย่างจึงแย้มยิ้มหยอกล้อออกมาอย่างสนุกสนาน

เวลานี้ ดวงตาของโหย่วฉินเสวียนหย่าสว่างไสวมาก ในขณะที่ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาและงดงามของนางเผยความลังเลออกมาเล็กน้อย

ทว่านางก็ไม่ใช่คนขี้อาย ทันใดนั้น นางก็รีบหยิบกล่องผ้าออกมาจากสร้อยข้อมือของนางแล้วเดินไปหาหลี่ฉางโซ่ว…

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว นี่เป็นของขวัญสำหรับท่านเจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วชะงักงัน

เขายังคงรอให้โหย่วฉินเสวียนหย่าอธิบายว่า นางมอบของขวัญให้เขาด้วยเหตุใด นางอยากขอความช่วยเหลือ หรืออยากจะขอบคุณเขาที่เคยช่วยชีวิตนางเอาไว้ด้วยตัวนางเอง?

และในท้ายที่สุดแล้ว หลังจากโหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวจบ นางก็มอบกล่องผ้าให้เขา

ใบหน้างดงามไร้ที่ติของนางไม่ได้เผยความรู้สึกใดๆ ออกมามากนัก ทว่ามีความกังวลเล็กน้อยฉายอยู่ในดวงตาของนาง

หลี่ฉางโซ่วพลันเงียบงัน…

ช่างมันเถิด ข้าไม่อาจตำหนิที่นางชมชอบข้าได้ เรื่องนี้ต้องโทษเป็นความผิดพลาดของเฒ่าจันทราเท่านั้น

แต่ทุกอย่างจะต้องถูกต้องและกลับคืนสู่สภาวะปกติ

ในเมื่อเขาไม่ได้ชอบนาง เขาจึงไม่ควรปล่อยให้นางคิดมาก หากเขาไม่แก้ปัญหาเรื่องนี้ในทันที มันย่อมจะเกิดความโกลาหลตามมาอย่างต่อเนื่อง

“ขอบคุณศิษย์น้องหญิงโหย่วฉิน” หลี่ฉางโซ่วตอบด้วยรอยยิ้ม แล้วหยิบกล่องผ้าไปจากนาง

หลังจากนั้นเขาก็หยิบกรงอาวุธเวทดั่งลูกผลึกที่ใช้กำราบลูกสัตว์วิญญาณออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เตรียมสิ่งใดไว้เลยเพราะรีบร้อน นี่คือของขวัญสำหรับเจ้า ศิษย์น้องหญิงอย่าได้ถือสา ข้าหวังว่าศิษย์น้องหญิงจะชอบมัน”

“เอ่อ…ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าค่ะ!”

บัดนี้ริมฝีปากของโหย่วฉินเสวียนหย่าพลันหยักยิ้มขึ้นเล็กน้อยในขณะที่นางถือผลึกสัตว์วิญญาณเอาไว้ในฝ่ามือ

“ขอบคุณศิษย์พี่ฉางโซ่วเจ้าค่ะ”

ในขณะเดียวกัน ที่ด้านข้างนั้น หลิงเอ๋อร์ก็เม้มปากนิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ย

หลี่ฉางโซ่วถือกล่องผ้าแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าได้เรียนรู้และรับประสบการณ์มากมายจากการเดินทางไปดินแดนเทวะอุดรกับเจ้า ศิษย์น้องหญิงโหย่วฉิน นับจากนี้ไป หากเจ้าไม่มีสิ่งใดทำ เจ้าก็มาที่ยอดเขาหยกน้อยได้ หลิงเอ๋อร์และข้าต่างไม่มีสหายสนิทใดๆ มากมายในสำนัก นอกจากศิษย์น้องหวางฉีและศิษย์พี่หญิงเยี่ยนเอ๋อร์ รวมถึงอาจารย์อาจิ่วจิ่วและอาจารย์ลุงจิ่วอูซึ่งเป็นผู้อาวุโสและท่านปรมาจารย์เท่านั้น”

“ศิษย์น้องหญิงโหย่วฉิน หากเจ้าไม่รังเกียจ เจ้าและข้า ก็สามารถเป็นสหายศิษย์ร่วมสำนักและเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวางฉีและหลิวเหยียนเอ๋อร์ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง ทั้งคู่งุนงงขึ้นมาทันที

ในด้านเหตุผลแล้ว การได้รับความรักจากโหย่วฉินเสวียนหย่าย่อมจะเป็นโอกาสที่ดีและเป็นโชคของหลี่ฉางโซ่ว แล้วเหตุใดเขาถึงปฏิเสธนางอย่างเด็ดขาดเช่นนี้

หวางฉีเข้าใจในทันใดว่า น่าจะเป็นเพราะทั้งสองมีขอบเขตพลังต่างกัน ศิษย์พี่ฉางโซ่วจึงรู้สึกว่า หัวหน้าศิษย์นั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมมากไป ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธ…อาจเป็นไปได้เช่นนั้น

ส่วนหลิงเอ๋อร์ ขณะนั้นภายในใจรู้สึกอับจนหนทาง

นี่คือ นิสัยที่มีปัญหาของศิษย์พี่ของนาง…

แม้หลิงเอ๋อร์จะค่อนข้างพอใจมากที่ศิษย์พี่ของนางปฏิเสธผู้บำเพ็ญสตรีคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเช่น โหย่วฉินเสวียนหย่า แต่นั่นก็หมายความว่า หากนางหมายพิชิตใจเขา นางก็จะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ศิษย์พี่ ท่านชอบสตรีเยี่ยงใดกันนะ

หลิงเอ๋อร์สับสนงงงันไปชั่วขณะ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ เมื่อโหย่วฉินเสวียนหย่าได้ยินถ้อยคำของหลี่ฉางโซ่วแล้ว นางกลับเผยรอยยิ้มรู้ทันออกมาทันที!

ดวงตาของนางสดใสมีชีวิตชีวา แม้นางจะไม่เผยอารมณ์ใดๆ ออกมามากนัก แต่ก็ทำให้ทุกคนล้วนสัมผัสได้ว่านางกำลังอารมณ์ดี

มันไม่ใช่รอยยิ้มเสแสร้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจนาง

ฉับพลันนั้นใบหน้างดงามของนางพลันแดงก่ำขึ้นมา ทำให้แม้แต่หลิงเอ๋อร์ ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญสตรียังรู้สึกถูกล่อลวงได้

“จริงๆ หรือเจ้าคะ”

ในขณะนั้น น้ำเสียงของโหย่วฉินเสวียนหย่าเริ่มจริงจังขึ้นเล็กน้อย

แม้แต่น้ำเสียงของนางก็ยังเป็นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุข…

“แน่นอน” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและพยักหน้า ทว่าเขากลับงุนงง

ความหมายในคำพูดของเขาชัดเจนมากแล้ว แต่ศิษย์น้องโหย่วฉินยังไม่เข้าใจอีกหรือ

โหย่วฉินเสวียนหย่าประสานมือของนางแล้วโค้งคารวะให้ทันทีพลางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เช่นนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอศิษย์พี่ โปรดชี้แนะข้าด้วยเจ้าค่ะ!…ศิษย์น้องหญิงหลิงเอ๋อร์ โปรดชี้แนะข้าด้วย! แล้วข้าจะมาที่นี่บ่อยๆ อย่างแน่นอน!”

เอ่อ?

ฉับพลันนั้น เครื่องหมายคำถามมากมายพลันปรากฏขึ้นมาในใจของหลี่ฉางโซ่ว

เดี๋ยวก่อนนะ สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เขาสับสนแล้ว…

และในอีกด้านหนึ่งนั้น หวางฉีพลันเกาหลังศีรษะของเขาทันทีในขณะที่หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก็สับสนงงงวย

ทว่าตรงกันข้าม บัดนี้ ในหัวใจของหลิงเอ๋อร์พลันรู้สึกว่ามีระลอกคลื่นลูกใหญ่สาดซัดใส่ในหัวใจของนางไม่หยุด ดวงตาของนางสั่นไหว และความรู้สึกสงสารก็เกิดขึ้นทันที

นางยอมลดตัวต่ำต้อยลงมาขนาดนี้เลยหรือ

ศิษย์พี่โหย่วฉิน ความจริงแล้ว…คงจะดีหากท่านเพียงอยากเป็นสหายกับศิษย์พี่เท่านั้น ท่านจะไม่ขออะไรอื่นอีกใช่หรือไม่เจ้าคะ

เมื่อเทียบกับนางแล้ว ข้ายังมีความสุขกว่ามาก…เพราะข้าได้อยู่ใกล้เขาทุกวัน…

ข้าโชคดีจริงๆ…

“ศิษย์พี่หญิง” หลิงเอ๋อร์ก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าวแล้วโค้งคำนับให้กับโหย่วฉินเสวียนหย่า และกล่าวตอบว่า “นับจากนี้ไป โปรดชี้แนะข้าด้วยเจ้าค่ะ!”

หลี่ฉางโซ่วอดจะเอียงศีรษะของเขาไม่ได้

เหตุใดสองคนนี้ถึงสร้างสัมพันธ์อันดีกันเล่า มันย่อมจะแย่อย่างยิ่งแน่นอน หากพวกนางอันตรายเท่าๆ กัน!

“ตกลง” โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้า ยิ้มพร้อมด้วยดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า

เมื่อเห็นว่าสีหน้าท่าทีของหลี่ฉางโซ่วดูไม่ค่อยดีนัก นางจึงรีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว โปรดพักผ่อนให้สบายเถิดเจ้าค่ะ ไว้เมื่อข้าออกมาจากการปิดด่านอีกครั้ง ข้าจะมาเยี่ยมท่าน โปรดอย่าฝืนฝึกฝนและหลอมโอสถหนักจนเกินไปนะเจ้าคะ”

“เจ้าด้วยอีกคน ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์…”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอกลับก่อนนะ”

“ศิษย์พี่หญิง โปรดถนอมตัวด้วย แล้วมาเล่นกับข้าบ่อยๆ นะเจ้าคะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

จากนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็อำลาหวางฉี และหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ ก่อนจะขับเคลื่อนก้อนเมฆและค่อยๆ ล่องลอยจากไปราวกับเส้นผมของนางที่ปลิวไสวไปตามสายลมที่มีชีวิตชีวามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หวางฉี และหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงขออำลาจากไปเช่นกัน

ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วทันทีขณะมองไปที่ด้านหลังของทั้งสามคนที่แยกออกไปในสองทิศทาง

เขาคิดไม่ออกว่าจะจัดการกับยายตัวอันตรายได้อย่างไรจริงๆ…

เมื่อครู่นี้ ข้าอธิบายไม่ชัดเจนหรือ

ต่อไปเราจะเป็นสหายร่วมสำนักและเป็นมิตรที่ดีต่อกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าข้ากำลังปฏิเสธความรู้สึกแบบนั้นกับนางอย่างนั้นหรือ

นี่…

นางต้องถูกพิษกัดกร่อนลงไปถึงไขกระดูกแล้วใช่หรือไม่

“ศิษย์พี่หน้าเหม็น ของขวัญของข้าอยู่ที่ใดเล่าเจ้าคะ!”

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบลูกสัตว์วิญญาณอีกตัวออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขา ซึ่งกำลังยืนนิ่งและสงสัยทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

จากนั้นหลิงเอ๋อร์ก็กล่าวออกมาว่า “ศิษย์พี่โหย่วฉิน ช่างงดงามจริงๆ และขอบเขตพลังของนางก็สูงมากเช่นกัน”

“เฮ้อ” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจ เขารู้สึกอับจนหนทางเล็กน้อยในเรื่องของโหย่วฉินเสวียนหย่า “จะไม่สูงได้อย่างไรเล่า…ด้วยลักษณะนิสัยของนาง นางอาจจะไม่พบกับจิตมารใดๆ ในชีวิตของนางเลย”

หลิงเอ๋อร์สับสนในทันใด “หือ? เหตุใดกัน ท่านไม่ได้บอกว่าหากจิตเต๋าไม่เสถียร จิตมารก็จะปรากฏขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

หลี่ฉางโซ่วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ก็ไม่อาจให้คำตอบได้

“คงเป็นโชคชะตา”

ที่ข้างๆ เขา หลิงเอ๋อร์ได้เริ่มทำการปลดผนึกกรงอาวุธเวทนั้นแล้ว และในไม่ช้านางก็ร้องอุทานออกมาด้วยความชื่นชอบทันทีก่อนจะนำสัตว์วิญญาณตัวน้อยออกมาจากข้างใน

“ว้าว น่ารักจัง! นี่ตัวอะไรน่ะ…ลูกสัตว์ทองร้อยฟันหรือ ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าค่ะ!”

“อืม ขอเพียงเจ้าชอบเท่านั้น”