เซียนเสิ่นผู้นี้…
“เหตุใดเขาถึงได้ยากจนกว่าข้าในตอนที่ข้ามผ่านสวรรค์ครั้งแรกนะ”
ภายในห้องลับใต้ดิน หลี่ฉางโซ่วมองไปที่คลังเวทจัดเก็บเจ็ดหรือแปดชิ้นที่อยู่ข้างหน้าเขา เขาหยิบของที่มีประโยชน์ออกมาทีละชิ้น ใส่ของที่ไร้ประโยชน์ลงในถุงเก็บสมบัติคัดแยกขยะ
แม้โอกาสที่จะถูกจดจำได้นั้นมีน้อย แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่มีทางใช้อาวุธเวทซึ่งเป็นของที่ชิงมาได้เหล่านี้
แน่นอนว่า ยกเว้นสมบัติวิญญาณชั้นหนึ่ง
ปัญหาก็คือว่า ยาสลบและโอสถพิษที่เขาใช้ก็มีราคาแพงเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของดีที่ไม่มีขาย สมุนไพรพิษส่วนหนึ่งนั้นก็ได้มาจากผู้อาวุโสว่านหลินหยุน ซึ่งไม่อาจประเมินมูลค่าได้
ผลจากการถูกตามล่านั้น ความจริงแล้วก็คือ…ข้าสูญเสียประโยชน์เล็กน้อย
เซียนเสิ่นผู้นี้ไม่ได้มีความมั่งคั่งมากนัก เขาไม่มีภูมิหลังของตระกูลเลยจริงๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่น่าอดสูของผู้บำเพ็ญพเนจรไร้สังกัดส่วนใหญ่
เผ่าพันธุ์มนุษย์เติบโตมากขึ้น สำนักบำเพ็ญเต๋าก็เจริญรุ่งเรืองและศาสนาเต๋าก็เผยแผ่ออกไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ในขณะที่สำนักเซียนปรากฏตัวขึ้นมาและควบคุมทรัพยากรส่วนใหญ่
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้บำเพ็ญจะรักษาการบำเพ็ญเพียรประจำวันของพวกเขาเอาไว้และสะสมความมั่งคั่งได้มากมายโดยไม่พึ่งพาการสนับสนุนจากสำนัก และภูมิหลังของตระกูล
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วได้ให้โอกาสคู่ต่อสู้หยุด เพราะเขาลังเลที่จะใช้ผงพิษในอาวุธเวทของเขา ดังนั้นเขาจึงตะโกนบอกให้หยุด…
หากคู่ต่อสู้หยุด เขาก็แค่จะเคาะให้พวกเขาหมดสติไป เพราะในท้ายที่สุดแล้ว โอสถพิษที่สามารถสังหารเซียนเสิ่นได้นั้นแพงเกินไป
แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่หยุด พวกเขาเป็นมืออาชีพและเด็ดเดี่ยวมาก ทั้งยังหมายสังหารเขาเพื่อชิงสมบัติ
สิ่งนี้ทำให้หลี่ฉางโซ่วไม่อาจช่วยอะไรได้อีก
ศิลาวิญญาณระดับสูงอาจไม่ค่อยน่าดึงดูดนัก แต่พวกเขาก็คิดว่าเขาอาจยังมีสมบัติอื่นอีกด้วยเนื่องจากเขามีศิลาวิญญาณระดับสูงขอบเขตเต๋า…
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาอยากลองดู
เรื่องนี้สอนบทเรียนให้กับหลี่ฉางโซ่วเช่นกัน ประการแรกคือ เขาต้องวางแผนการค้าให้ละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายอีกครั้ง
ประการที่สองคือ หากเขาถูกสมบัติของคนอื่นล่อใจในอนาคตจนอยากวางแผนทำร้ายคน เขาจะต้องคิดถึงชะตากรรมของคนเหล่านี้กับตัวเขาเอง
“ไม่ว่าสมบัติจะดีเพียงใด แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใช้มัน”
สมบัติและอาวุธเวทที่ดูราวกับขยะเหล่านั้นใช้ไม่ได้ในยามนี้แล้ว ทว่าเมื่อทักษะการหลอมของเขาดีขึ้น เขาก็อาจจะใช้มันได้
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาสัมผัสกับกฎห้ามของการหลอมมากเท่าใด เขาก็ยิ่งพบว่า ‘แขนง’ นี้กว้างและลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็มีกลวิธีลัดที่เขาจะสามารถทำได้ไม่มากนัก
การแก้ไขและสร้างกฎห้ามย่อมยากที่จะทำได้ หากไม่มีการศึกษาค้นคว้ามานานนับหมื่นปี
ยิ่งไปกว่านั้น สมบัติและอาวุธเวทที่ทรงพลังที่สุดซึ่งปรากฏขึ้นในยุคบรรพกาลก็ไม่ได้ถูกหลอมด้วยวัสดุล้ำค่า แต่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติ
ทว่าสมบัติและอาวุธเวทขั้นสูงสุดคือ สมบัติวิญญาณแห่งบุญโฮ่วเทียน และคำว่าบุญก็สำคัญกว่า
แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่วิถีการหลอม อาจเป็นการดีกว่าที่จะใช้พลังงานของเขาในการสร้างค่ายกลและดำเนินการให้พลังเพลิงร้อนระอุครอบคลุม ‘การย่อขนาดค่ายกล’ ต่อไป
เขาตัดสินใจว่าจะมุ่งเน้นไปที่ประเภทของคลังเวทจัดเก็บและอุปกรณ์การหลอมที่จำเป็นสำหรับการสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์
น่าจะดีกว่าที่ข้าจะใช้เวลาว่างและพลังงานในการสกัดกลั่นโอสถและการหลอม
งานหลักของเขาน่ะหรือ
แน่นอนว่า มันก็แค่…แค่กๆ ฝึกฝน แสวงหาเฉิงเต๋า และความเป็นอมตะ!
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็นั่งหลังโต๊ะและเริ่มจำแนกสมุนไพรวิญญาณและสมุนไพรพิษที่เขาได้รับมาออกเป็นกลุ่มๆ
ข้าจะหลอมโอสถด้วยตัวเองในภายหลัง และส่งบางส่วนไปให้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน
แม้ว่าจะดูเหมือนเสแสร้งเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นการบ่งบอกถึงความกตัญญูรู้คุณของข้า
เมื่อทำงานทั้งหมดเสร็จ หลี่ฉางโซ่วก็วางกรงอาวุธเวทที่ใช้กำราบลูกสัตว์วิญญาณเอาไว้ข้างๆ เขาจะพาพวกมันไปที่กรงสัตว์วิญญาณเพื่อเลี้ยงดูต่อไปในภายหลัง
มีลูกสัตว์วิญญาณสองตัวที่เขาจะเก็บเอาไว้ให้หลิงเอ๋อร์ นางเคยบ่นอยู่นานว่าสัตว์วิญญาณส่วนใหญ่เป็นสัตว์มีพิษ นางอยากได้กระต่ายและกวางน้อย แต่มันยากมากที่จะหาได้
ครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วจะมอบสัตว์วิญญาณสองตัวของเขาที่มีรูปลักษณ์ดูดีและมีรสชาติดี ซึ่งหากนางพอใจจะเลี้ยงพวกมัน พวกมันก็จะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของนาง ไม่เช่นนั้น นางก็สามารถกินพวกมันภายในเวลาไม่กี่ปีได้เช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วยิ้มเมื่อหยิบอาวุธเวทรูปกระบี่ที่ดูเหมือนกระบี่ แต่แท้จริงแล้วหาใช่กระบี่ไม่ มันเป็นเครื่องกระจายพิษ …
เขาไปที่ด้านข้างและสวมถุงมือพิเศษป้องกันพิษ หน้ากาก และชุดป้องกัน ก่อนจะคว้าแหนบที่ทำเองและหลอดทดลอง จากนั้นจึงวางโอสถขจัดพิษไว้ใกล้ตัว แล้วลงมือทำงานต่อไป
เพื่อการต่อสู้ที่ดี เขาต้องหลอมอาวุธก่อนการต่อสู้
ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้ ความสุขและผลประโยชน์ที่ได้รับ ล้วนเกิดขึ้นได้หลังจากการทำงานหนัก
……
หลังจากอยู่ในห้องลับเป็นเวลาสองวัน หลี่ฉางโซ่วก็ออกมาจากหอโอสถ และบังเอิญพบว่า วันนี้ ยอดเขาหยกน้อยค่อนข้างมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด
จากนั้น เขาจึงแผ่พลังสัมผัสเซียนของเขาเข้าไปครอบคลุมค่ายกลที่ล้อมรอบหอโอสถ
ในเวลานี้ คู่บำเพ็ญเต๋าหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ และหวางฉีมาเยี่ยมเยียนหลิงเอ๋อร์เพื่อดื่มชาและสนทนากัน
หลี่ฉางโซ่วรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
หลังจากที่หลิงเอ๋อร์ไปขอโทษครั้งล่าสุด หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก็กลัวว่า หลิงเอ๋อร์จะคิดมากเกินไป นางจึงส่งข้อความยาวเหยียดผ่านสารกระเรียนมาถึงหลิงเอ๋อร์
แล้วไปๆ มาๆ พวกนางทั้งสองคนก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น
ดูจากภายนอกนั้น ขอบเขตพลังของหลิงเอ๋อร์ ได้มาถึงขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพขั้นสามแล้ว เมื่อยังเยาว์วัยเช่นนี้ นางก็ได้บรรลุมาตรฐานการเป็นต้นกล้าอมตะแล้ว
เนื่องจากหลิงเอ๋อร์ถูกเขาลงโทษเป็นเวลายี่สิบปี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้หลิวเยี่ยนเอ๋อร์จึงมาหาหลิงเอ๋อร์ที่ยอดเขาหยกน้อยสองสามครั้งเช่นกัน
วันนี้ หลิวเยี่ยนเอ๋อร์และศิษย์น้องหวางฉีของนางต่างพากันมาเยี่ยมหลิงเอ๋อร์ด้วยกัน หลังจากการฝึกบำเพ็ญแล้ว พวกเขาก็เดินเล่นไปรอบๆ
ทว่า…
หลี่ฉางโซ่วแผ่พลังสัมผัสเซียนของเขาออกไป ‘มอง’ คนที่กำลังนั่งเล่นการจำลองชีวิตเซียนอยู่ข้างๆ พวกเขาทั้งสามคน นางดูประหนึ่งเทพธิดาที่มาจากบงกชหิมะสีคราม และนางคือ โหย่วฉินเสวียนหย่า…
เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่
บัดนี้นางครองขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นสองแล้วใช่หรือไม่
หากไม่มีภัยคุกคามร้ายแรงของหยวนชิงที่ทำร้ายนาง ขอบเขตของนางจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วกว่านี้หรือไม่
แน่นอนสิ นางต้องยึดตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ของศิษย์รุ่นปัจจุบันนี้อย่างมั่นคงแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ไม่เหมาะสมที่โหย่วฉินเสวียนหย่าจะมาที่ยอดเขาหยกน้อยอยู่ตลอดเวลา เพราะนางโดดเด่นสะดุดตามากเกินไป และทุกย่างก้าวของนางล้วนเป็นที่จับตามองของทุกคนในสำนัก
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดเงียบๆ
เนื่องจากผู้มาเยือนย่อมเป็นแขก เขาจึงไม่อาจไล่นางออกไปได้ เขาไม่อาจล่วงเกินเจ้าสำนักด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้
พอออกมาจากป่า หลี่ฉางโซ่วก็เดินตรงกลับไปที่กระท่อมมุงจากโดยไม่ได้ปกปิดที่อยู่ของเขา
เขาเปิดใช้ค่ายกลอำพรางและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมเต๋า แล้วนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ อยู่ใต้ป้ายขนาดใหญ่ที่แขวนเอาไว้อยู่บนผนังเพื่อขบคิดวิธีการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโหย่วฉินเสวียนหย่า
ผู้บำเพ็ญหลายคนมักชื่นชอบที่จะแขวนป้ายอักขระขนาดใหญ่เอาไว้ในห้องนั่งเล่นของที่พักอาศัยของพวกเขา
ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกับ ผู้ทรงพลังที่รอดชีวิตมาตั้งแต่สมัยโบราณที่ชื่นชอบจะแขวนป้ายอักขระว่า ‘สวรรค์และปฐพี’
และในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้บำเพ็ญมักชอบแขวนป้ายอักขระที่อ่านว่า ‘เต๋า’ หรือ ‘ต้าเต๋า[1]’ เอาไว้
สิ่งเหล่านี้ล้วนธรรมดามาก ผู้บำเพ็ญมักจะแขวนป้ายอักขระขนาดใหญ่ตามความพอใจของพวกเขา ตัวอย่างของถ้อยคำที่ระบุบนป้ายคือ ‘สงบ’ ‘บังคับ’ ‘ลึกซึ้ง’ และ ‘หลักแหลม’
ทว่ายังมีบางสิ่งที่แปลกกว่านั้นคือ ‘กลับมา’ หรือ ‘น้องหญิง’
และตัวอักขระใหญ่บนป้ายที่แขวนอยู่บนผนังด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วนั้นก็น่าทึ่งอย่างยิ่ง และอาจมีผู้บำเพ็ญไม่มากที่คล้ายกับเขาในยุคบรรพกาลอันกว้างใหญ่
นั่นคือ ป้ายอักขระคำว่า ‘มั่นคง’!
“ศิษย์พี่!”
ในเวลานี้ หลิงเอ๋อร์กำลังยืนอยู่ด้านนอกกำแพงแสงของค่ายกลและโบกมือไหวๆ เรียกเขา
หลี่ฉางโซ่ว อดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ขณะลุกขึ้นยืนไปเปิดประตูและเดินออกไป
“มีอันใดผิดปกติหรือ”
[1] ต้าเต๋า เต๋าอันยิ่งใหญ่