ตอนที่ 70.1 นี่คืออะไรน่ะ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

เซียนเสิ่นผู้นี้…

“เหตุใดเขาถึงได้ยากจนกว่าข้าในตอนที่ข้ามผ่านสวรรค์ครั้งแรกนะ”

ภายในห้องลับใต้ดิน หลี่ฉางโซ่วมองไปที่คลังเวทจัดเก็บเจ็ดหรือแปดชิ้นที่อยู่ข้างหน้าเขา เขาหยิบของที่มีประโยชน์ออกมาทีละชิ้น ใส่ของที่ไร้ประโยชน์ลงในถุงเก็บสมบัติคัดแยกขยะ

แม้โอกาสที่จะถูกจดจำได้นั้นมีน้อย แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่มีทางใช้อาวุธเวทซึ่งเป็นของที่ชิงมาได้เหล่านี้

แน่นอนว่า ยกเว้นสมบัติวิญญาณชั้นหนึ่ง

ปัญหาก็คือว่า ยาสลบและโอสถพิษที่เขาใช้ก็มีราคาแพงเช่นกัน

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของดีที่ไม่มีขาย สมุนไพรพิษส่วนหนึ่งนั้นก็ได้มาจากผู้อาวุโสว่านหลินหยุน ซึ่งไม่อาจประเมินมูลค่าได้

ผลจากการถูกตามล่านั้น ความจริงแล้วก็คือ…ข้าสูญเสียประโยชน์เล็กน้อย

เซียนเสิ่นผู้นี้ไม่ได้มีความมั่งคั่งมากนัก เขาไม่มีภูมิหลังของตระกูลเลยจริงๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่น่าอดสูของผู้บำเพ็ญพเนจรไร้สังกัดส่วนใหญ่

เผ่าพันธุ์มนุษย์เติบโตมากขึ้น สำนักบำเพ็ญเต๋าก็เจริญรุ่งเรืองและศาสนาเต๋าก็เผยแผ่ออกไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ในขณะที่สำนักเซียนปรากฏตัวขึ้นมาและควบคุมทรัพยากรส่วนใหญ่

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้บำเพ็ญจะรักษาการบำเพ็ญเพียรประจำวันของพวกเขาเอาไว้และสะสมความมั่งคั่งได้มากมายโดยไม่พึ่งพาการสนับสนุนจากสำนัก และภูมิหลังของตระกูล

ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วได้ให้โอกาสคู่ต่อสู้หยุด เพราะเขาลังเลที่จะใช้ผงพิษในอาวุธเวทของเขา ดังนั้นเขาจึงตะโกนบอกให้หยุด…

หากคู่ต่อสู้หยุด เขาก็แค่จะเคาะให้พวกเขาหมดสติไป เพราะในท้ายที่สุดแล้ว โอสถพิษที่สามารถสังหารเซียนเสิ่นได้นั้นแพงเกินไป

แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่หยุด พวกเขาเป็นมืออาชีพและเด็ดเดี่ยวมาก ทั้งยังหมายสังหารเขาเพื่อชิงสมบัติ

สิ่งนี้ทำให้หลี่ฉางโซ่วไม่อาจช่วยอะไรได้อีก

ศิลาวิญญาณระดับสูงอาจไม่ค่อยน่าดึงดูดนัก แต่พวกเขาก็คิดว่าเขาอาจยังมีสมบัติอื่นอีกด้วยเนื่องจากเขามีศิลาวิญญาณระดับสูงขอบเขตเต๋า…

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาอยากลองดู

เรื่องนี้สอนบทเรียนให้กับหลี่ฉางโซ่วเช่นกัน ประการแรกคือ เขาต้องวางแผนการค้าให้ละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายอีกครั้ง

ประการที่สองคือ หากเขาถูกสมบัติของคนอื่นล่อใจในอนาคตจนอยากวางแผนทำร้ายคน เขาจะต้องคิดถึงชะตากรรมของคนเหล่านี้กับตัวเขาเอง

“ไม่ว่าสมบัติจะดีเพียงใด แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใช้มัน”

สมบัติและอาวุธเวทที่ดูราวกับขยะเหล่านั้นใช้ไม่ได้ในยามนี้แล้ว ทว่าเมื่อทักษะการหลอมของเขาดีขึ้น เขาก็อาจจะใช้มันได้

อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาสัมผัสกับกฎห้ามของการหลอมมากเท่าใด เขาก็ยิ่งพบว่า ‘แขนง’ นี้กว้างและลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็มีกลวิธีลัดที่เขาจะสามารถทำได้ไม่มากนัก

การแก้ไขและสร้างกฎห้ามย่อมยากที่จะทำได้ หากไม่มีการศึกษาค้นคว้ามานานนับหมื่นปี

ยิ่งไปกว่านั้น สมบัติและอาวุธเวทที่ทรงพลังที่สุดซึ่งปรากฏขึ้นในยุคบรรพกาลก็ไม่ได้ถูกหลอมด้วยวัสดุล้ำค่า แต่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติ

ทว่าสมบัติและอาวุธเวทขั้นสูงสุดคือ สมบัติวิญญาณแห่งบุญโฮ่วเทียน และคำว่าบุญก็สำคัญกว่า

แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่วิถีการหลอม อาจเป็นการดีกว่าที่จะใช้พลังงานของเขาในการสร้างค่ายกลและดำเนินการให้พลังเพลิงร้อนระอุครอบคลุม ‘การย่อขนาดค่ายกล’ ต่อไป

เขาตัดสินใจว่าจะมุ่งเน้นไปที่ประเภทของคลังเวทจัดเก็บและอุปกรณ์การหลอมที่จำเป็นสำหรับการสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์

น่าจะดีกว่าที่ข้าจะใช้เวลาว่างและพลังงานในการสกัดกลั่นโอสถและการหลอม

งานหลักของเขาน่ะหรือ

แน่นอนว่า มันก็แค่…แค่กๆ ฝึกฝน แสวงหาเฉิงเต๋า และความเป็นอมตะ!

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็นั่งหลังโต๊ะและเริ่มจำแนกสมุนไพรวิญญาณและสมุนไพรพิษที่เขาได้รับมาออกเป็นกลุ่มๆ

ข้าจะหลอมโอสถด้วยตัวเองในภายหลัง และส่งบางส่วนไปให้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน

แม้ว่าจะดูเหมือนเสแสร้งเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นการบ่งบอกถึงความกตัญญูรู้คุณของข้า

เมื่อทำงานทั้งหมดเสร็จ หลี่ฉางโซ่วก็วางกรงอาวุธเวทที่ใช้กำราบลูกสัตว์วิญญาณเอาไว้ข้างๆ เขาจะพาพวกมันไปที่กรงสัตว์วิญญาณเพื่อเลี้ยงดูต่อไปในภายหลัง

มีลูกสัตว์วิญญาณสองตัวที่เขาจะเก็บเอาไว้ให้หลิงเอ๋อร์ นางเคยบ่นอยู่นานว่าสัตว์วิญญาณส่วนใหญ่เป็นสัตว์มีพิษ นางอยากได้กระต่ายและกวางน้อย แต่มันยากมากที่จะหาได้

ครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วจะมอบสัตว์วิญญาณสองตัวของเขาที่มีรูปลักษณ์ดูดีและมีรสชาติดี ซึ่งหากนางพอใจจะเลี้ยงพวกมัน พวกมันก็จะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของนาง ไม่เช่นนั้น นางก็สามารถกินพวกมันภายในเวลาไม่กี่ปีได้เช่นกัน

หลี่ฉางโซ่วยิ้มเมื่อหยิบอาวุธเวทรูปกระบี่ที่ดูเหมือนกระบี่ แต่แท้จริงแล้วหาใช่กระบี่ไม่ มันเป็นเครื่องกระจายพิษ …

เขาไปที่ด้านข้างและสวมถุงมือพิเศษป้องกันพิษ หน้ากาก และชุดป้องกัน ก่อนจะคว้าแหนบที่ทำเองและหลอดทดลอง จากนั้นจึงวางโอสถขจัดพิษไว้ใกล้ตัว แล้วลงมือทำงานต่อไป

เพื่อการต่อสู้ที่ดี เขาต้องหลอมอาวุธก่อนการต่อสู้

ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้ ความสุขและผลประโยชน์ที่ได้รับ ล้วนเกิดขึ้นได้หลังจากการทำงานหนัก

……

หลังจากอยู่ในห้องลับเป็นเวลาสองวัน หลี่ฉางโซ่วก็ออกมาจากหอโอสถ และบังเอิญพบว่า วันนี้ ยอดเขาหยกน้อยค่อนข้างมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด

จากนั้น เขาจึงแผ่พลังสัมผัสเซียนของเขาเข้าไปครอบคลุมค่ายกลที่ล้อมรอบหอโอสถ

ในเวลานี้ คู่บำเพ็ญเต๋าหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ และหวางฉีมาเยี่ยมเยียนหลิงเอ๋อร์เพื่อดื่มชาและสนทนากัน

หลี่ฉางโซ่วรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น

หลังจากที่หลิงเอ๋อร์ไปขอโทษครั้งล่าสุด หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก็กลัวว่า หลิงเอ๋อร์จะคิดมากเกินไป นางจึงส่งข้อความยาวเหยียดผ่านสารกระเรียนมาถึงหลิงเอ๋อร์

แล้วไปๆ มาๆ พวกนางทั้งสองคนก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น

ดูจากภายนอกนั้น ขอบเขตพลังของหลิงเอ๋อร์ ได้มาถึงขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพขั้นสามแล้ว เมื่อยังเยาว์วัยเช่นนี้ นางก็ได้บรรลุมาตรฐานการเป็นต้นกล้าอมตะแล้ว

เนื่องจากหลิงเอ๋อร์ถูกเขาลงโทษเป็นเวลายี่สิบปี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้หลิวเยี่ยนเอ๋อร์จึงมาหาหลิงเอ๋อร์ที่ยอดเขาหยกน้อยสองสามครั้งเช่นกัน

วันนี้ หลิวเยี่ยนเอ๋อร์และศิษย์น้องหวางฉีของนางต่างพากันมาเยี่ยมหลิงเอ๋อร์ด้วยกัน หลังจากการฝึกบำเพ็ญแล้ว พวกเขาก็เดินเล่นไปรอบๆ

ทว่า…

หลี่ฉางโซ่วแผ่พลังสัมผัสเซียนของเขาออกไป ‘มอง’ คนที่กำลังนั่งเล่นการจำลองชีวิตเซียนอยู่ข้างๆ พวกเขาทั้งสามคน นางดูประหนึ่งเทพธิดาที่มาจากบงกชหิมะสีคราม และนางคือ โหย่วฉินเสวียนหย่า…

เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่

บัดนี้นางครองขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นสองแล้วใช่หรือไม่

หากไม่มีภัยคุกคามร้ายแรงของหยวนชิงที่ทำร้ายนาง ขอบเขตของนางจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วกว่านี้หรือไม่

แน่นอนสิ นางต้องยึดตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ของศิษย์รุ่นปัจจุบันนี้อย่างมั่นคงแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ไม่เหมาะสมที่โหย่วฉินเสวียนหย่าจะมาที่ยอดเขาหยกน้อยอยู่ตลอดเวลา เพราะนางโดดเด่นสะดุดตามากเกินไป และทุกย่างก้าวของนางล้วนเป็นที่จับตามองของทุกคนในสำนัก

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดเงียบๆ

เนื่องจากผู้มาเยือนย่อมเป็นแขก เขาจึงไม่อาจไล่นางออกไปได้ เขาไม่อาจล่วงเกินเจ้าสำนักด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้

พอออกมาจากป่า หลี่ฉางโซ่วก็เดินตรงกลับไปที่กระท่อมมุงจากโดยไม่ได้ปกปิดที่อยู่ของเขา

เขาเปิดใช้ค่ายกลอำพรางและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมเต๋า แล้วนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ อยู่ใต้ป้ายขนาดใหญ่ที่แขวนเอาไว้อยู่บนผนังเพื่อขบคิดวิธีการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโหย่วฉินเสวียนหย่า

ผู้บำเพ็ญหลายคนมักชื่นชอบที่จะแขวนป้ายอักขระขนาดใหญ่เอาไว้ในห้องนั่งเล่นของที่พักอาศัยของพวกเขา

ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกับ ผู้ทรงพลังที่รอดชีวิตมาตั้งแต่สมัยโบราณที่ชื่นชอบจะแขวนป้ายอักขระว่า ‘สวรรค์และปฐพี’

และในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้บำเพ็ญมักชอบแขวนป้ายอักขระที่อ่านว่า ‘เต๋า’ หรือ ‘ต้าเต๋า[1]’ เอาไว้

สิ่งเหล่านี้ล้วนธรรมดามาก ผู้บำเพ็ญมักจะแขวนป้ายอักขระขนาดใหญ่ตามความพอใจของพวกเขา ตัวอย่างของถ้อยคำที่ระบุบนป้ายคือ ‘สงบ’ ‘บังคับ’ ‘ลึกซึ้ง’ และ ‘หลักแหลม’

ทว่ายังมีบางสิ่งที่แปลกกว่านั้นคือ ‘กลับมา’ หรือ ‘น้องหญิง’

และตัวอักขระใหญ่บนป้ายที่แขวนอยู่บนผนังด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วนั้นก็น่าทึ่งอย่างยิ่ง และอาจมีผู้บำเพ็ญไม่มากที่คล้ายกับเขาในยุคบรรพกาลอันกว้างใหญ่

นั่นคือ ป้ายอักขระคำว่า ‘มั่นคง’!

“ศิษย์พี่!”

ในเวลานี้ หลิงเอ๋อร์กำลังยืนอยู่ด้านนอกกำแพงแสงของค่ายกลและโบกมือไหวๆ เรียกเขา

หลี่ฉางโซ่ว อดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ขณะลุกขึ้นยืนไปเปิดประตูและเดินออกไป

“มีอันใดผิดปกติหรือ”

[1] ต้าเต๋า เต๋าอันยิ่งใหญ่