ตอนที่ 182 หยกที่ประเมินค่าไม่ได้

การประมูลยังคงดําเนินต่อไปเรื่อยๆ

หลินหนานรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่ไม่ว่าหลิวหยิงหยิงจะประมูลของชิ้นไหน ถึงจินซ่งก็จะต้องประมูลแข่งทุกครั้ง และเอาชนะไปได้ด้วยราคาที่สูงเช่นเคย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกหลินหนานยั่วยุ หรือเป็นเพราะเกรงว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าตนเองร่ํารวยกันแน่? คุณชายถึงผู้นี้จึงได้ไล่ประมูลสินค้าชิ้นต่อๆไปแข่งกับหลิวหยิ่งหยิงไม่หยุด และไม่ยอมให้ตกไปอยู่ในมือของเธอได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

จนแม้แต่นักธุรกิจ และคนมีชื่อเสียงหลายคนในเมืองเจียงไฮว ที่มาร่วมประมูลด้วยนั้น ถึงกับแอบมองถังจินซ่งด้วยสายตาเย็นชา

กลัวคนไม่รู้หรือไงว่าตระกูลถังร่ํารวย?

ขี้อวดชะมัด!

“ฉันพอเข้าใจได้ว่า ที่ถึงจินซ่งประมูลดึงแข่งเมื่อครู่นี้ อาจเป็นเพราะเขายังโกรธเรื่องที่เราทําให้เขาต้องเสีย หน้า แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะไล่ประมูลสินค้าชิ้นต่อๆไปไม่หยุดแบบนี้ นี่เขาเสียสติไปแล้วหรือยังไง?”

หลิวหยิงหยิงเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับกระซิบบอกหลินหนานเสียงเบา เห็นได้ชัดว่า เธอเองก็มองออกว่าวันนี้ถึงจินซ่งดูผิดปกติไปมาก

หลินหนานยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปว่า “ดูท่าแล้ว.. หมอนั่นคงตั้งใจจะประมูลสินค้าทุกชิ้นที่เราสนใจ โดยไม่สนใจด้วยซ้ําว่า ของประมูลชิ้นนั้นจะเป็นอะไร ดีหรือไม่ดียังไง?”

“คุณชายหลิน.. ถ้าขึ้นถึงจินซึ่งยังคงกัดไม่ปล่อยแบบนี้ พวกเราจะทํายังไง? คงไม่มีทางได้ของประมูลกลับไปสักชิ้นแน่!” หลิวหยิงหยิงกระซิบถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

เวลานี้ ถึงจินซ่งทําตัวราวกับสุนัขบ้าที่ไล่กัดคนไม่เลือก หลิวหยิงหยิงจึงเริ่มกังวลใจ และพยายามที่จะคาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา

หลินหนานตอบกลับมาด้วยน้ําเสียงมั่นอกมั่นใจ “ไม่เห็นต้องร้อนใจอะไร ประมูลไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร! หมอนั่นยังไม่ถึงกับบ้าแน่ แต่ที่เขาทําอะไรแบบนั้น ผมเชื่อว่าเพราะมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง แล้วคนคนนั้นก็เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากหลี่เฉวียนย!”

สําหรับคนอย่างถึงจินซ่งกับหวังชางหยางนั้น แม้จะเป็นทายาทตระกูลร่ํารวยที่มีนิสัยไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่ใช่คนที่ฉลาดล้ําลึกอะไร การจะรับมือกับชายหนุ่มทั้งสอง จึงนับว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนัก

แต่หลี่เฉวียนยู่นั้น นอกจากจะเป็นคุณชายของตระกูลที่ทรงอิทธิพลอย่างตระกูลหลี่แล้ว ยังมีความสุขุม ฉลาดล้ําลึก และมีความสามารถรอบด้านอีกด้วย การที่เขาใช้ให้ถึงจินซ่งกว้านประมูลสินค้าไปแบบนี้ จึงเดาได้ยากว่าเขากําลังคิดที่จะทําอะไรกันแน่?

หลิวหยิงหยิงกับหลี่เฉวียนยู่นั้น ต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันมาก่อน อีกทั้งเธอเองก็ทําธุรกิจ ย่อมไม่ต้องการที่จะมีเรื่องกับผู้ใดเป็นธรรมดา

แต่เป็นเพราะสุนัขบ้าสองตัวอย่างหวังชางหยางกับถังจินซ่ง ที่กล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามเธอ เธอจึงไม่อาจยอมได้ เมื่อหลี่เฉวียนยู่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว และหลินหนานเองก็อยู่ข้างเธอ แน่นอนว่าเธอย่อมต้องอาศัย โอกาสนี้สร้างมิตรภาพกับหลินหนานเช่นกัน

“เอาล่ะครับท่านผู้มีเกียรติ ในที่สุดการประมูลก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว และของที่จะนํามาประมูลในครั้งนี้ ก็นับเป็นของชิ้นสุดท้ายของการประมูลในวันนี้แล้วนะครับ!”

ทันทีที่เสียงพิธีกรประกาศจบ หญิงสาวในชุดกี่เพ้าสวยงามก็เดินถือกล่องไม้สีแดงออกมา หลังจากที่วางกล่องไม้ลงบนโต๊ะกลางเวที่แล้ว เธอก็ทําการเปิดกล่องไม้ออก

แต่ว่า..

เมื่อเปิดกล่องไม้ออกมา หลายคนในห้องต่างก็พากันถอนหายใจ สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความผิดหวัง เมื่อได้เห็นของประมูลชิ้นสุดท้ายนี้

แม้กระทั่งหลิวหยิงหยิงเองที่เตรียมจะยกป้ายประมูลในมือขึ้น ยังถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เมื่อได้เห็นของที่อยู่ภายในกล่อง

“นี่มันอะไรกัน?! เจ้าภาพจัดงานเสียสติไปแล้วหรือยังไง? นี่มันงานประมูลโอสถสมุนไพรนะ แล้วทําไมถึงได้เอาหยกมาให้ประมูลแบบนี้?”

“นั่นน่ะสิ! ถึงแม้หยกจะเป็นของล้ําค่าก็จริง แต่มันไม่เข้ากับงานนี้เลย!”

“ถึงแม้ในตําราแพทย์แผนจีนโบราณ จะบอกไว้ว่าหยกสามารถนําไปใช้ในการปรุงยาได้ก็จริง แต่ก็ต้องเป็นหยกน้ําแข็ง ไม่ใช่หยกเขียวน้ําหมึกแบบนี้”

ผู้คนที่อยู่ในห้องประมูลต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา และเกือบจะทั้งหมดก็คิดว่า ผู้จัดงานกําลังเล่นตลกร้ายอะไรอยู่

“ท่านสุภาพบุรุษและท่านสุภาพสตรีครับ อย่าเพิ่งหงุดหงิดอารมณ์เสียไป การที่ทางเรานําเอาหยกเขียวน้ําหมึกมาให้ทุกท่านทําการประมูลเป็นชิ้นสุดท้ายนั้น เป็นสิ่งที่ท่านประธานของเราได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบดีแล้ว..”

เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของทุกคนที่อยู่ในห้อง พิธีกรกลับไม่รีบร้อนที่จะชี้แจงนัก และดูเหมือนเขาเองก็จะพอจะคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผู้เข้าร่วมประมูลจะมีปฏิกิริยาเช่นใด? เขากระแอมเล็กน้อย ก่อนจะประกาศต่อด้วยน้ําเสียงที่ดังฟังชัด

“เมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้ ท่านประธานของเราได้ตรวจพบว่าตนเองเป็นมะเร็งตับ และหมดหนทางที่จะรักษา แต่หลังจากที่ได้หยกเขียวน้ําหมึกนี้มา ร่างกายของท่านประธานก็ค่อยๆดีขึ้นราวกับมีปาฏิหารย์ และด้วยเหตุนี้ หยกเขียวน้ําหมึกชิ้นนี้จึงนับเป็นสมบัติล้ําค่าที่หาไม่ได้อีกแล้ว..”

“หยกชิ้นนี้นี่นะ สามารถรักษามะเร็งตับได้? สร้างเรื่องหลอกเด็กชัดๆ!”

“นั่นน่ะสิ! คิดว่าพวกเราเป็นเด็กอมมือหรือยังไง? ใครจะไปเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนี้? ทางที่ดีให้ท่านประธานของคุณออกมายืนยันด้วยตัวเองจะดีกว่า!”

หลายคนที่ได้ฟังเรื่องราวของหยกเขียวน้ําหมึกจากปากของพิธีกรชาย ต่างก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อย และเริ่มที่จะโมโหขึ้นมาบ้าง

“ตอนนี้ท่านประธานของเราไม่อยู่ในประเทศ แต่ท่านได้ฝากคําพูดมาบอกกับทุกท่านในที่นี้ – สมบัติล้ําค่าย่อมอยู่ในมือของผู้มีชะตาต้องกันเท่านั้น!”

“และนี่ก็คือเหตุผลที่ท่านประธานสั่งให้ผมนําหยกล้ําค่าชิ้นนี้ ออกมาประมูลเป็นชิ้นสุดท้ายของงานครับ และท่านประธานก็ได้ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่สองแสนหยวน ผมหวังว่าทุกท่านจะเข้าใจจุดประสงค์ของท่านประธานในครั้งนี้..”

“เริ่มประมูลได้!”

หลังจากพูดจบแล้ว พิธีกรชายก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะแม้แต่ตัวเองเองก็ยังคลางแคลงสงสัย ในเรื่องที่หยกชิ้นนี้สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ แต่เป็นเพราะคําสั่งของท่านประธาน เขาจึงต้องทําตามแต่โดยดี

แต่ดูเหมือนว่า เขาคงจะต้องทําให้ท่านประธานผิดหวัง เพราะไม่มีใครเสนอราคาประมูลเลยแม้แต่รายเดียว!

“หยกหักๆนี่นะราคาสองแสนหยวน ถึงฉันจะมีเงิน แต่งานนี้ฉันคงต้องขอบาย! ฉันคงไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกในห้องนี้แน่!”

แม้แต่ถึงจินซ่งเองยังนึกดูถูกหยกสีดําชิ้นนั้น หวังชางหยางที่ได้ยิน จึงรีบตอบกลับไปทันที

“นั่นน่ะสิครับคุณชายถึง ผมเองก็อยากจะรู้ว่า จะมีไอ้หน้าโง่คนไหนประมูลของแบบนี้ไป!”

แต่ทันทีที่หวังชางหยางพูดจบ เสียงของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นมาทันที!

“ผมขอประมูลด้วยราคาเริ่มต้นสองแสนหยวน!”

ระหว่างที่ทุกคนกําลังคิดว่า คงไม่มีใครโง่ประมูลหยกเขียวหมึกดําชิ้นนี้ไป จู่ๆ เสียงอันทรงพลังก็ดังขึ้นมาจากมุมห้อง สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปในทิศทางเดียวกัน และพบว่าเป็นหลินหนานกับหลิวหยิงหยิง อีกทั้งหลินหนานก็กําลังดึงป้ายประมูลออกจากมือของเธอ และกําลังชูขึ้นอย่างช้าๆ

“คุณชายหลิน! นี่คุณเสียสติไปแล้วหรือยังไง? อย่าว่าแต่สองแสนหยวนเลย กระทั่งสองหมื่นหยวนยังไม่รู้ว่า จะมีใครประมูลซื้อไปหรือเปล่า? เฮ้อ.. ฉันหวังว่าถึงจินซ่งจะรีบประมูลแข่งนะ..”

เมื่อเห็นหลินหนานร้องตะโกนออกไปโดยไม่ปรึกษาเช่นนี้ หลิวหยิงหยิงก็ถึงกับหน้าเสีย แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เพราะเวลานี้มือของหลินหนานได้กําป้ายประมูลไว้แน่น และสายตาทั้งคู่ก็จับจ้องอยู่ที่หยกเขียวน้ําหมึกแน่นิ่ง

ปากก็กระซิบออกมาเสียงเบาว่า “ไม่แน่ว่าหยกเขียวน้ําหมึกชิ้นนี้ อาจจะกลายเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้!!”

หยกนี่อาจกลายเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้งั้นเหรอ?

จะเป็นไปได้ยังไง?

เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อหยก สี และการแกะสลัก ไม่เห็นจะมีอะไรโดดเด่นสักอย่าง!

หลิวหยิงหยิงได้แต่แอบนึกอยู่ในใจ และถึงแม้เธอจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเพชรพลอย หรือว่าหยก แต่เสี่ยวู่เตานั้นนับเป็นผู้หนึ่งที่คลั่งไคล้หยกเป็นอย่างมาก

เกือบจะทุกปีของช่วงกลางฤดูร้อน เส้นว์เตาจะต้องพาเธอไปหนานหยุน หรือไม่ก็ตอนใต้ของซินเจียง เพื่อที่จะไปพนันหิน หรือไม่ก็ไปหาซื้อหยกน้ําดีสําหรับนํามาเป็นของขวัญให้กับผู้อื่น

ด้วยเหตุนี้ หลิวหยิงหยิงจึงต้องทําการศึกษาและหาความรู้เกี่ยวกับหยกมาบ้าง และหยกเขียวหมึกดําที่อยู่บนเวทีนั้น ในความเห็นของเธอ หยกนี้แทบไม่มีประกายเลยเมื่อกระทบกับแสง การแกะสลักก็เป็นไปอย่างลวกๆ คล้ายกับว่าใช้เครื่องจักรในการแกะสลัก ดูไม่น่ามีค่ามีราคาเลยแม้แต่น้อย

และการที่เธอบอกราคาสองหมื่นขึ้นมาต่อหน้าหลินหนานเมื่อครู่นั้น ก็นับว่าให้หน้าเขามากแล้ว เพราะในความคิดของเธอ หยกชิ้นนั้นให้ราคาสองร้อยหยวนก็มากเกินพอแล้ว!

แต่เมื่อฉุกคิดได้ว่า หลินหนานนั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป จึงมีโอกาสเป็นไปได้มากที่เขาจะมองเห็นบางอย่าง ที่คนธรรมดาอย่างเธอมองไม่เห็น และเพียงแค่นั้น แววตาของหลิวหยิงหยิงก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

ใช่แล้ว!!

ต้องเป็นอย่างที่คิดแน่ๆ!

ไม่อย่างนั้น อาวุโสหลายๆคนจะเรียกเขาว่าปรมาจารย์งั้นเหรอ?

ตกลง.. ซื้อก็ซื้อ!