ตอนที่ – ช่วงเวลาวิกฤติ
เมื่อได้ยินวาจานี้ ในพวกจินสือสามคน อวี้กุยเผยแววตื่นตระหนกออกมา “พี่ใหญ่ ทำอย่างไรดี”
จินสือถลึงมองเขาอย่างดุร้าย โจมตีผนังศิลาต่อไป เอ่ยว่า “ยังจะทำอย่างไรได้ ต่อ!”
คนอื่น ๆ ล้วนหยุดชะงัก จากนั้นเร่งความเร็วในการเคลื่อนไหว
“อย่างนี้ไม่ไหว” มีเพียงเจี้ยนซินกล่าวว่า “พวกเราจะต้องสกัด ไม่อย่างนั้น……”
“แต่ว่า พวกเราจะใช้อะไรไปสกัด” ยงหรูอวี้เอ่ยอย่างรีบเร่ง “ไม่ว่าจะทักษะเวทหรืออาวุธแหลมคมล้วนไร้ผลต่อตัวประหลาดนั่น……”
สายตาของเจี้ยนซินตกลงบนร่างโม่เทียนเกอ ในดวงตามีแววใคร่ครวญ “สหายเต๋าฉิน อาวุธเวทของท่าน……”
โม่เทียนเกอเข้าใจความหมายของเขาจึงกล่าวต่อว่า “อาวุธเวทของข้าพลังไม่มากพอ แต่เก่งด้านการหน่วงเหนี่ยว อาจจะสามารถทดลองดู”
เจี้ยนซินพึงพอใจกับการเสนอตัวของนางมาก พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากความอีก
โม่เทียนเกอลังเลชั่วขณะ คลำไปที่หว่างเอว ปล่อยอสูรวิญญาณสามตัวออกมาทั้งหมด แม้แต่เฟยเฟยที่ไม่เชี่ยวชาญด้านโจมตีก็ด้วย “พวกเจ้าสามตัว โจมตีกำแพงอาคมสุดกำลัง”
เฟยเฟยก็ช่างเถอะ เสี่ยวฝานและเสี่ยวหั่วถูกปล่อยออกมาไม่ง่าย เพิ่งจะก้าวออกมาก็ได้ยินคำสั่งอย่างนี้ ล้วนกะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจสาเหตุ
โม่เทียนเกอพูดอีกประโยคว่า “อย่าทำเป็นเล่น ๆ ไป เรื่องราวเกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย รู้ไหม”
“……ขอรับ เจ้านาย” เสี่ยวฝานตอบรับอย่างเชื่อฟัง หมุนตัวไปโจมตีกำแพงอาคม เสี่ยวหั่วเห็นโม่เทียนเกอไม่สนนาง* ร้องหงิง ๆ อย่างเสียใจสองคำแล้วก็ตามเสี่ยวฝานไป
กลับเป็นเฟยเฟยที่ไม่ถามสักคำก็เริ่มช่วยโจมตีกำแพงอาคมแล้ว
เมื่อเห็นอสูรวิญญาณสามตัวนี้ของนาง คนอื่น ๆ ล้วนเบิกตากว้าง มองดูนางอย่างตะลึง อสูรวิญญาณสามตัว ทั้งหมดขั้นห้า อีกทั้งในนั้นยังมีหนึ่งตัวที่สามารถพูดได้! นี่ช่างน่าตื่นตกใจจริง ๆ
โม่เทียนเกอแอบถอนหายใจคำหนึ่ง นางรู้ว่าอย่างนี้เป็นการโอ้อวดอยู่บ้าง ดังนั้นที่แล้วมาจึงปล่อยออกมามากที่สุดเพียงหนึ่งตัว ตอนนี้เรื่องราวคับขัน ถูกกดดันบังคับ ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว หากสามารถหนีรอด เจ้าเมืองเหมยจะต้องไม่ปล่อยพวกนาง คาดว่าถึงพวกเขาจะเกิดความละโมบก็ไม่มีโอกาส
มีเพียงเจี้ยนซินและเนี่ยอู๋ชางที่เพียงตะลึงนิดหน่อยเท่านั้น
ลมปราณของตัวประหลาดนั้นยิ่งมายิ่งใกล้ โม่เทียนเกอล้วงอาวุธเวทออกมาหลายชิ้น
“สหายเต๋าฉิน!” เจี้ยนซินเอ่ยเสียงดังไล่หลังนาง “ตอนนี้ท่านไปสกัด ดีที่สุดคือสามารถชักนำตัวประหลาดนั้นไป หากชักนำไม่ได้ ข้าจะช่วยท่าน”
“……ทราบแล้ว” การชักนำเป็นความคิดที่ไม่เลวจริง ๆ แต่ว่าแบบนี้มันเกี่ยวกับปัญหาสองด้าน หนึ่งคือความไว้วางใจ สมมติหลังจากนางชักนำ คนอื่น ๆ โจมตีกำแพงอาคมพัง แต่ไม่บอกนาง นางจะกลายเป็นคนถูกทิ้ง ถึงเวลาเจ้าเมืองเหมยค้นพบ นางก็จะเป็นคนที่เคราะห์ร้ายแล้ว แต่ว่า มีเนี่ยอู๋ชางอยู่ นางยินดีจะเชื่อสักครั้ง สองคือปัญหาว่าตัวประหลาดนั้นสามารถถูกชักนำหรือไม่ ถึงอย่างไรที่นี่มีคนมากขนาดนี้ ขอเพียงมันมีสมองอยู่สักหน่อยก็น่าจะสละน้อยเอามาก แต่ว่า นี่ก็ไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่านี่มันตัวอะไร อาจจะไม่มีสมองเลย มีเพียงสัญชาตญาณ
หลังโยนความคิดพวกนี้ออกจากสมอง โม่เทียนเกอเดินออกไปจากทางเดินที่มีจุดตั้งกำแพงอาคมนั้น หันไปทางทิศที่ตัวประหลาดมา
ตอนที่เห็นตัวประหลาดตัวนี้ โม่เทียนเกอตะลึง
ตัวประหลาดนี้ลมปราณทั่วร่างคลุ้มคลั่ง ถึงกับกล้าแข็งกว่าที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้มากมายนัก! พิกล ผู้ฝึกมารที่กลายเป็นหุ่นเชิดพวกนั้นล้วนถูกพวกเขาสังหาร ทำไมตัวประหลาดนี้ยังสามารถแข็งแกร่งขึ้น หรือว่าในโพรงถ้ำนี้ยังมีความพิสดารอะไร
ยังไม่ทันได้คิดมาก ตัวประหลาดนั้นก็ค้นพบนางแล้ว หยุดอยู่ตรงหน้านาง ลมปราณอันพิสดารบนร่างปั่นป่วนไม่หยุด
โม่เทียนเกอไม่รีรอสักนิด โบกพัดแห่งสวรรค์และโลกา ดอกไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนลอยออกมาจากข้างใน ม้วนวนเป็นก้อน แต่ไม่ได้กลิ้งไปทางตัวประหลาดนี้ ทว่าตกลงรอบ ๆ ตัวประหลาด โอบล้อมมันไว้ภายใน
การโจมตีตรง ๆ ทำไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาเคยพิสูจน์มาแล้ว เนี่ยอู๋ชางก็ยืนยันเรื่องนี้อยู่ข้าง ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ได้แต่พยายามสุดความสามารถไม่ให้สัมผัสมันตรง ๆ เช่นนี้จึงสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้พลังวิญญาณถูกมันดูดกลืน
เมื่อเห็นดอกไม้ใบหญ้าอันแปลงมาจากพลังวิญญาณพวกนี้กระจายอยู่รอบตัว ตัวประหลาดนี้สับสนตามคาด มันยืนอยู่กับที่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรครู่หนึ่งแล้วจึงลองเคลื่อนมาข้างหน้า จากที่มันเห็น รอบด้านถึงจะมีพลังวิญญาณกระจัดกระจายนับไม่ถ้วน แต่มันไม่ได้น่าอร่อยเท่าผู้ฝึกตนคนนี้ที่อยู่ข้างหน้าที่สุด
แต่โม่เทียนเกอไม่ให้โอกาสนี้กับมัน พอมันขยับ พัดแห่งสวรรค์และโลกาโบกทันควัน เหล่าดอกไม้ใบหญ้าที่ล้อมรอบตัวมันพวกนั้นม้วนวนขึ้นมาอีก ยังคงกระจายอยู่รอบตัวมันไม่ใกล้ไม่ไกล แต่สอดคล้องกับตำแหน่งปากั้วที่ตั้งม่านพลังอย่างง่ายเอาไว้พอดี
ตัวประหลาดนี้หยุดชะงักไปอีก คล้ายไม่รู้ว่าไปที่ไหนดี โม่เทียนเกอมิใช่อาจารย์ม่านพลังโดยเฉพาะ ทำอย่างเถียนจือเชียนที่สามารถตั้งม่านพลังไร้สภาพในพริบตาไม่ได้ ม่านพลังนี้ของนางได้แต่ทำให้ตัวประหลาดนี้สับสน ทำให้มันแยกแยะสถานการณ์ของพลังวิญญาณรอบด้านได้ไม่ชัดเจนสักช่วงเวลาหนึ่ง
เดิมทีนางกังวลว่าตัวประหลาดนี้ไร้สภาพไร้กายหยาบ ก็ไม่รู้ว่าม่านพลังจะมีผลต่อมันหรือไม่ เมื่อเห็นปฏิกิริยาเยี่ยงนี้ของมันจึงคลายใจได้นิดหน่อย อย่างน้อยที่สุดวิถีทางที่ตัวประหลาดนี้สัมผัสกับพลังวิญญาณแทบจะเหมือนพวกเขาผู้ฝึกตน ม่านพลังนี้สามารถทำให้มันสับสนได้เช่นกัน
เพียงแต่ หลังจากทำอย่างนี้หลายครั้ง ตัวประหลาดนี้ไม่ขยับไปดื้อ ๆ หยุดอยู่กับที่ครู่หนึ่งแล้วล่องลอยขึ้นหน้าไปตามทางเดิน
โม่เทียนเกอตะลึง อยากจะตั้งม่านพลังต่อ ในสมองจู่ ๆ มีเสียงของเฟยเฟยดังขึ้นมาว่า “ไม่มีประโยชน์ เจ้านาย เจ้าสิ่งนี้ถึงจะโง่มาก สัญชาตญาณกลับดีมาก ไม่อาจทำให้สับสนไปได้ตลอด”
พอพูดจบ เฟยเฟยวิ่งต๊อก ๆ มาจากทางด้านหลังแล้ว
โม่เทียนเกอเห็นมันมาก็ไม่ได้ถามอะไรมากความ นางรู้ว่าเฟยเฟยฉลาดมาก ฉลาดจนมีวิจารณญาณของตนเอง นางเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือ”
เฟยเฟยส่ายหัว “เจ้านาย ความทรงจำของข้าไม่ได้ไร้เทียมทานนะ ข้าแค่สัมผัสได้ว่าเจ้าสิ่งนี้มีลมปราณของปฐมกาล”
“ลมปราณของปฐมกาล……” โม่เทียนเกออดคิดไปถึงศาลเจ้าเหล่านั้นไม่ได้ วิชาเวทมาจากศิลาจารึก ศิลาจารึกมาจากศาลเจ้า ศาลเจ้าถือกำเนิดในยุคปฐมกาล…… พูดอย่างนี้ ที่เฟยเฟยสัมผัสได้ว่ามีลมปราณปฐมกาลไม่ได้แปลกประหลาดเลย
ยังไม่ทันได้คิดมากนัก ตัวประหลาดนี้มาอยู่ใกล้นางมากแล้ว ไม่อาจโจมตีตรง ๆ ม่านพลังง่าย ๆ ก็ขังมันไม่อยู่ โม่เทียนเกอรุกไม่ได้ถอยไม่ได้ไปชั่วขณะ
“ตูม” เนี่ยอู๋ชางชกหนัก ๆ ไปบนกำแพงอาคมของผนังศิลา กำแพงอาคมสั่นไหว ส่องแสงวูบวาบ แต่ยังคงยืนหยัดต่อไป
นางหันศีรษะไปมองอย่างกระสับกระส่ายอยู่บ้าง อันที่จริงที่มุมนี้นางมองไม่เห็นตัวประหลาดนั่น เพียงแต่บนตัวนางมีสมบัติ สำหรับลมปราณของตัวประหลาดนี้สัมผัสได้แหลมคมกว่าคนอื่น ๆ มาก แต่สัมผัสได้ชัดเจนถึงสิบส่วนว่า โม่เทียนเกอต้านทานอย่างยากลำบากมาก
“สหายเต๋าเจี้ยนซิน” นางหันหน้าไปเรียกเจี้ยนซิน “ด้านสหายเต๋าฉินนั่น……”
เจี้ยนซินยังคงควบคุมกระบี่บินของเขาจดจ่ออยู่กับการโจมตีกำแพงอาคม ถึงเขาจะแค่ก่อเกิดตานขั้นกลางเช่นกัน แต่ระดับการฝึกตนกลับสูงกว่าโม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางที่เพิ่งเลื่อนระดับได้ไม่นานมาก อีกทั้งเขายังเป็นผู้ฝึกกระบี่ กระบี่บินในมือเปล่งประกายเจิดจ้า ทรงอานุภาพอย่างยิ่ง
เจี้ยนซินเก็บกระบี่บินกลับ กลืนโอสถหนึ่งเม็ด แล้วจึงมองเนี่ยอู๋ชางแวบหนึ่ง กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “กำแพงอาคมนี้จวนจะทนไม่อยู่แล้ว พวกเราต้องแข่งกับเวลา รอจนสหายเต๋าฉินถอยมาถึงที่นี่ ข้าจะไปช่วยนาง”
เนี่ยอู๋ชางยังคิดจะพูดอะไรอีก สุดท้ายยังคงกลืนถอยคำกลับลงไป นางไม่ได้เชื่อใจเจี้ยนซินผู้นี้มาก แต่วาจาที่เขาพูดมามิใช่ไม่มีเหตุผล กำแพงอาคมนี้เกือบพังทลายแล้ว ไม่แน่ว่าการโจมตีสักครั้งไหนก็จะสามารถพังมันลง แล้วเจี้ยนซินก็เป็นคนที่พลังโจมตีแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ทางที่ดีที่สุดยังคงเป็นการรั้งอยู่ที่นี่
เพียงแต่ เมื่อคิดถึงโม่เทียนเกอที่ยืนหยัดเพียงลำพังอยู่นั้น นางกัดฟัน เคลื่อนไหวเร็วยิ่งขึ้น
โม่เทียนเกอถอยหลังทีละก้าว ถึงจะมีเฟยเฟยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ นางยังคงรู้สึกว่าไร้กำลัง ตัวประหลาดนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดลมปราณถึงกล้าแข็งขึ้นมาก ตอนที่เจอก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรมันล้วนจะฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม ทว่าครั้งนี้ถึงขนาดสู้กลับด้วย!
เมื่อมีประสบการณ์เรื่องเริ่นอวี่เฟิง นางไม่กล้าสัมผัสลมปราณพวกนี้ตรง ๆ ใครจะรู้ว่าลมปราณพวกนี้มีจุดที่แปลกประหลาดอะไรบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ กลับได้แต่ถูกตัวประหลาดนี้ผลักถอยช้า ๆ
“สหายเต๋าเจี้ยนซิน!” เมื่อเห็นอยู่จะ ๆ ว่านางจะถูกผลักดันไปถึงทางเดินที่กำแพงอาคมตั้งอยู่แล้ว โม่เทียนเกอกัดฟัน ตะโกนเสียงดังว่า “ข้าต้านไม่อยู่แล้ว โปรดรีบมาช่วย!”
คำร้องขอของนางเจี้ยนซินย่อมจะได้ยิน แต่ความเคลื่อนไหวบนมือของเขายังคงไม่หยุด เพียงตอบไปว่า “สหายเต๋าต้านไว้อีกพักหนึ่ง พวกเราด้านนี้จวนแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ โม่เทียนเกออดโมโหไม่ได้ นางเอ่ยว่า “ข้าคนเดียวจะต้านได้อย่างไร”
เนี่ยอู๋ชางก็หันไปเอ่ยว่า “สหายเต๋าเจี้ยนซิน นี่……”
เจี้ยนซินไม่แยแส เหลือบมองนางอย่างเย็นชา “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤติ ข้าจะไม่จากไป หากท่านไปช่วยนางก็เหมือนกัน”
ได้ยินวาจานี้แล้ว เนี่ยอู๋ชางก็เกิดความโมโห “ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดว่าจะช่วย ตอนนี้ถึงกับกลับคำ!”
“หึ!” เจี้ยนซินน้ำเสียงเฉยชา “แล้วแต่ท่านจะพูด หากนางตายคนเดียว พวกเราล้วนสามารถหนีออกไป นั่นก็คุ้มแล้ว”
“ท่าน —” เนี่ยอู๋ชางควันพวยพุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ด ยกหมัดขึ้น แทบจะอยากสังหารเจี้ยนซินคนนี้ก่อน แต่เหตุผลเตือนสตินางว่าถึงจะฆ่าคนคนนี้ในเวลานี้ก็ไม่มีส่วนช่วยเหลือเลยสักนิด!
สายตากวาดไปโดยรอบ ห้าคนที่เหลือล้วนโจมตีอย่างเงียบงัน ไม่มีสักคนที่เต็มใจจะพูดสักคำ
เนี่ยอู๋ชางอดยิ้มเยาะไม่ได้ ในเวลาหนึ่งวันกว่าที่ผ่านมานี้ พวกนางสองคนเรียกได้ว่าแบกห้าคนนี้ค่อนข้างมาก แต่เมื่อชีวิตอยู่ตรงหน้า พวกเขาจะไม่ลุกขึ้นมา
นางขบฟัน ละทิ้งการโจมตีกำแพงอาคมต่อ หมุนตัวจากไป
“สหายเต๋าเทียนฉาน” เวลานี้ ด้านหลังมีเสียงของเจี้ยนซินดังมา “จากที่ข้าคำนวณ เวลาอีกหนึ่งถ้วยชาคาดว่าจะพอแล้ว พวกท่านยืนหยัดไว้นะ!”
เนี่ยอู๋ชางหยุดชะงัก ถลึงมองเขาอย่างดุดัน วิ่งไปหาโม่เทียนเกอทันที
บทสนทนาเมื่อครู่ของพวกเขา โม่เทียนเกอได้ยินกับหูแต่แรกแล้ว ในใจนางก็โมโหอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลายปีมานี้ เรื่องที่นางพบพานมีไม่น้อย แต่คนประเภทเจี้ยนซินกลับมีไม่กี่คน! คนเราไม่อาจตัดสินที่รูปลักษณ์โดยแท้ คนคนนี้ดูมีความคิดเป็นของตัวเองยิ่งนัก แล้วก็ไม่เหมือนกับคนที่ไม่รักษาคำพูด แต่ไม่คิดว่าพอเรื่องจวนตัวกลับจะทำเยี่ยงนี้!
แต่ทว่า ความคิดของนางกับเนี่ยอู๋ชางเหมือนกัน ถึงเจี้ยนซินจะตั้งใจละทิ้งนาง ตอนนี้กลับมิใช่เวลาจะฉีกหน้ากัน หากยืนหยัดอีกหนึ่งถ้วยชาจะสามารถทำลายกำแพงอาคมจริง ๆ เช่นนั้นก็สามารถเสี่ยงดู
เพียงแต่ สถานการณ์เบื้องหน้าดูทรงไม่ดี ไม่รู้ว่าความพยายามของพวกนางจะคุ้มค่าหรือไม่
พอเนี่ยอู๋ชางวิ่งมาแล้วเห็นลักษณะของตัวประหลาดในปัจจุบันนี้ก็ตกตะลึงขนานใหญ่ “ทำไมถึงกลายมาเป็นแข็งแกร่งขนาดนี้เล่า”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า นางจะรู้ได้อย่างไร เห็นท่าทางของเนี่ยอู๋ชางที่หดหู่ถึงสิบส่วน นางถามคำหนึ่งว่า “ทำไมหรือ”
เนี่ยอู๋ชางนิ่งไปครึ่งค่อนวันจึงเป่าปากหนึ่งคำ เอ่ยอย่างจนใจว่า “เจ้าสิ่งนี้กล้าแข็งถึงระดับนี้แล้ว ข้าก็สกัดมันไม่อยู่แล้ว”
โม่เทียนเกอตะลัง ในหมู่พวกเขา ผู้ที่คุ้นเคยกับเจ้าตัวนี้ที่สุดคือเนี่ยอู๋ชาง แม้แต่นางยังไม่มีหนทาง ไยมิใช่ว่าได้แต่ยอมให้ตัวประหลาดนี้กลืนกินพวกเขาทั้งหมดตามใจ
เนี่ยอู๋ชางลังเลสักครู่ ในดวงตาเผยแววเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ทำอย่างนี้แล้ว……”
………………..
* ทำไมเรียกนางอะ ปกติเรียกมันมาตลอด หรือจะแอบเฉลยว่าเสี่ยวหั่วเป็นตัวเมีย?
เรื่องนี้จะมีคนดีเยอะ ๆ หน่อยได้ไหม ทุกคนจะเห็นแก่ตัวเหมือนโลกเรามากไปหน่อยไหมคะ TT
ตอนที่ 415 – ขาดไปก้าวเดียว