บทที่ 115 ซื้อพู่กันและกระดาษ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 115 ซื้อพู่กันและกระดาษ

บทที่ 115 ซื้อพู่กันและกระดาษ

กู้เสี่ยวหวานมองไปทางซ้ายและขวาโดยหวังว่าจะพบสถานที่ที่ขายอุปกรณ์เล่าเรียนสี่อย่างที่ต้องการจะซื้อ เมื่อมองไปรอบ ๆ ถนนเล็ก ๆ แห่งนี้กลับเห็นแต่สิ่งของที่ใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน และไม่เห็นใครขายพู่กันและกระดาษเลย

เสี่ยวฉือโถวสังเกตว่ากู้เสี่ยวหวานมักจะมองไปรอบ ๆ จึงถามว่า “เสี่ยวหวาน เจ้ากำลังมองหาอะไร?”

“พี่ฉือโถว ข้าต้องการซื้อพู่กันและกระดาษให้พวกกู้หนิงอันฝึกเขียน” กู้เสี่ยวหวานกล่าว “แต่ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มี!”

“ท่านพี่!” กู้หนิงอันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะซื้อพู่กันและกระดาษ ใบหน้าของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้า “ท่านพี่ ท่านอยากซื้อพู่กันกับกระดาษหรือ?”

“อือ ก็ทั้งเจ้าและหนิงผิงเรียนการเขียนมาแล้ว เลยคิดว่าไม่ควรเขียนบนพื้นไปตลอด จะดีกว่าถ้าซื้อพู่กันกับกระดาษแล้วกลับไปฝึกเขียน แต่ข้าไม่รู้ว่ามันขายอยู่ที่ไหน อาจจะต้องถามคนอื่น”

ฉือโถวพยักหน้า เขาไม่เคยเห็นสิ่งนั้นขายที่ไหนเลย แม้แต่กินเขายังกินไม่พอเลยด้วยซ้ำ จะมีเงินที่ไหนไปซื้อของเหล่านั้น

“รอพวกเราซื้อกลอนคู่เสร็จแล้วไปซื้อพู่กันกับกระดาษกันเถอะ” กู้เสี่ยวหวานตัดสินใจแล้วพูด

“สาวน้อยกู้……”

ทันใดนั้น มีคนโผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง และเรียกด้วยความประหลาดใจ

กู้เสี่ยวหวานมองไปข้างหน้า และพบกับเสี่ยวเซิ่งจื่อที่เจอกันที่ร้านจิ่นฝูเมื่อครั้งที่แล้ว กู้เสี่ยวหวานยิ้มให้ “พี่เซิ่งจื่อ ข้าไม่ได้พบท่านมาสองสามวันแล้ว”

เสี่ยวเซิ่งจื่อยิ้ม “ข้าสังเกตมาสักพักแล้ว และคิดว่าจำคนผิด แต่ดูเหมือนว่าข้าจะจำไม่ผิดนะ!”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยรอยยิ้มปราศจากความเขินอาย พูดอย่างไม่ถือตัวว่า “ครั้งล่าสุดอาจเพราะข้าสวมชุดค่อนข้างโทรม”

บอกตามตรงก็คือเขาไม่สนเสื้อผ้าชุดก่อน ๆ เลย ต้องชื่นชมเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในวัยกำลังผลิบาน แต่กลับเป็นธรรมชาติและไม่โอ้อวด

เสี่ยวเซิ่งจื่อสังเกตอย่างละเอียดว่าเด็กหญิงได้เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน แม้นางจะสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ แต่มารยาทกลับไม่เหมือนสาวชนบททั่วไป

แม้แต่เจ้านายเขาเองก็ยังประเมินเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ไว้สูงเลย เสี่ยวเซิ่งจื่อไม่กล้าดูถูกนาง เขาพยักหน้าให้เสี่ยวฉือโถว ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบ ครั้งสุดท้ายที่ฉือโถวไปที่ร้านจิ่นฝูเพื่อส่งหน่อไม้ฤดูหนาว พวกเขาจึงเคยเจอกันมาก่อน

ส่วนเด็กอีกสามคนที่เหลือ สองคนในนั้นดูเหมือนกันทุกประการ แต่มองไปที่ใบหน้าของพวกเขา คนหนึ่งดูชาญฉลาด ส่วนอีกคนดูสงบนิ่ง นอกจากนี้ยังมีเด็กหญิงตัวเล็กอีกคนที่กู้เสี่ยวหวานจูงมือไว้

เมื่อเห็นเสี่ยวเซิ่งจื่อมองดูน้องชายและน้องสาวของนาง กู้เสี่ยวหวานก็แนะนำอย่างใจกว้าง “นี่คือพี่เสี่ยวเซิ่งจื่อของร้านจิ่นฝู เด็กเหล่านี้เป็นน้องชายและน้องสาวของข้า”

หลังจากที่ได้พบกัน เสี่ยวเซิ่งจื่อกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บรรดาน้องชายและน้องสาวของนางประพฤติตัวสุภาพ แม้แต่คุณหนูและนายน้อยในหลายเมืองก็ยังเทียบไม่ได้

เสี่ยวเซิ่งจื่อชื่นชมกู้เสี่ยวหวานมากยิ่งขึ้น เขาได้ยินมาว่าครอบครัวนี้สูญเสียพ่อแม่ไปในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา กู้เสี่ยวหวานจึงได้ดูแลเด็กเหล่านี้แทนพ่อและแม่ แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะสอนเด็กเหล่านี้เป็นอย่างดี

“สาวน้อยกู้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสี่ยวเซิ่งจื่อถาม “วันนี้ยี่สิบแปดแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ในเมือง? ร้านค้าหลายแห่งในเมืองนี้ปิดเกือบหมดแล้ว”

“ที่บ้านข้ายังไม่มีกลอนคู่และประทัด ไม่ใช่สิ ข้าตามพี่ฉือโถวมาในเมืองเพื่อซื้อกลอนคู่และประทัด”

“ใช่แล้ว ทุก ๆ วันส่งท้ายปีเก่าจะต้องติดกลอนคู่สีแดงและจุดประทัด” เสี่ยวเซิ่งจื่อยิ้มและกล่าวว่า “สาวน้อยกู้ ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าจะแนะนำสถานที่สำหรับซื้อกลอนคู่ให้เจ้า”

“ข้าจะว่าอะไรได้ที่ไหน ลูกค้าต่างพากันมาที่ร้าน ท่านลุงของข้ามีความสุขมาก” สิ่งที่เสี่ยวเซิ่งจื่อกล่าวนั้นเป็นความจริง หลังจากวันที่กู้เสี่ยวหวานเพิ่มรายการอาหารไปที่ร้านจิ่นฝู ท่านลุงของเสี่ยวเซิ่งจื่อก็พาทั้งครอบครัวไปที่ร้านจิ่นฝูเพื่อทานอาหาร เสี่ยวเซิ่งจื่อสั่งอาหารสองจานนี้เป็นพิเศษ ครอบครัวของท่านลุงและท่านป้าก็รับประทานอย่างมีความสุข

แน่นอนว่าเจ้านายได้กำชับไว้เป็นพิเศษว่าต้องไม่ให้คนอื่นรู้ว่าอาหารที่เพิ่มเข้ามาในร้านจิ่นฝูนั้นมาจากเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมีความคิดแย่ ๆ และจะทำร้ายเด็กผู้หญิงคนนี้

“เดินต่อจากนี้ไปอีกหน่อยก็จะถึงหอหนังสืออวี้ ที่นั่นมีกลอนคู่ขายอยู่”

ร้านหนังสือ? ขายหนังสือใช่ไหม?

“ร้านหนังสือ? ที่นั่นมีหนังสือขายไหม?” กู้เสี่ยวหวานถามด้วยความตื่นเต้น

“ใช่ นั่นคือร้านหนังสือของลุงข้าเอง ท่านลุงของข้าเป็นซิ่วไฉ เมื่อถึงวันปีใหม่ เขาจะเขียนหนังสือสองสามเล่มที่บ้านแล้วนำไปไว้ในร้านหนังสือ และคนที่ซื้อหนังสือจะได้กลอนคู่เป็นของขวัญ เจ้าไปที่นั่นและบอกว่าเสี่ยวเซิ่งจื่อเป็นคนแนะนำมาแล้วท่านลุงของข้าก็จะให้กลอนคู่สองคู่แก่เจ้า”

“รบกวนเกินไปแล้ว” กู้เสี่ยวหวานรีบปฏิเสธ “ท่านลุงของท่านมีพู่กันและกระดาษขายหรือไม่?”

“มีสิ!”

“เยี่ยมมาก น้องชายของข้าเพิ่งหัดเขียนคำสองสามคำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าต้องการซื้อพู่และกระดาษให้เขา แต่ข้ากังวลว่าจะหาที่ซื้อไม่ได้”

เสี่ยวเซิ่งจื่อนั้นเป็นคนอบอุ่น เมื่อได้ยินว่ากู้เสี่ยวหว่านต้องการซื้อพู่กันและกระดาษให้น้องชายของนาง เขาก็แอบชื่นชมครอบครัวนี้ แม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะยังยากจนอยู่ แต่พวกเขาก็ทะเยอทะยาน ในอนาคตครอบครัวนี้จะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ไม่ได้รบกวนเลยสักนิด” เมื่อเห็นความสุภาพถ่อมตนของกู้เสี่ยวหวาน เสี่ยวเซิ่งจื่อก็เกาศีรษะอย่างเขินอายเล็กน้อย “ไปกันเถอะ ข้าไม่มีอะไรทำพอดี ข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วยกัน”

ภายใต้การแนะนำของเสี่ยวซ่งจื่อ พวกเขาก็มาถึงหอหนังสืออวี้ ร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลและเงียบสงบ ถึงไม่เจริญเท่าถนนสายหลัก แต่ก็สะอาดสะอ้านกว่า

ทันทีที่เดินเข้าไปในหอหนังสืออวี้ กลิ่นหมึกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในร้านหนังสือก็ลอยมา นอกจากกลิ่นของหมึกแล้ว ดูเหมือนว่าจะยังมีเครื่องหอมอื่น ๆ อีก คนสมัยก่อนชอบเผาเครื่องหอมและอ่านหนังสือ แต่กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้นัก เมื่อเข้ามาเห็นกระถางธูปเล็ก ๆ มีธูปกำยานอยู่ข้างใน เดินเข้ามาอีกนิดกลิ่นจะแรงขึ้นแต่ไม่ฉุนมาก ตรงกันข้ามกลับช่วยเสริมกลิ่นหมึกให้หอมยิ่งขึ้น

หนังสือในร้านหนังสือนี้จัดวางอย่างเป็นระเบียบบนชั้นไม้ที่ผนังด้านหนึ่ง บนกำแพงฝั่งตรงข้ามมีภาพการคัดตัวอักษรอยู่ ด้านล่างมีโต๊ะขนาดใหญ่มีพู่กันห้อยลงมาเคียงกับแท่นฝนหมึก ดูเหมือนมีคนใช้ที่นี่เป็นครั้งคราว

ด้านหน้ามีโต๊ะเหมือนกับโต๊ะคิดเงินสมัยใหม่ และตู้ด้านหลังซึ่งมีพู่กันและกระดาษอยู่ ซึ่งดูเหมือนจะใช้สำหรับขาย นอกจากนี้ยังมีบางสิ่งสีแดงที่ดูเหมือนเป็นกลอนคู่ซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เจอคนมากขึ้นก็มีคอนเนคชันมากขึ้น ทำอะไรก็สะดวกสบายขึ้น

ไหหม่า(海馬)