บทที่ 114 ความรักของพี่สาวน้องชาย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 114 ความรักของพี่สาวน้องชาย

บทที่ 114 ความรักของพี่สาวน้องชาย

กู้เสี่ยวหวานรีบพูด “จะคืนของที่ขายแล้วได้อย่างไร หนิงอัน หนิงผิง อย่าสร้างปัญหา ข้าซื้อมันแล้ว พวกเจ้าก็รีบกินเสีย!”

“ท่านพี่ พวกเราไม่กิน น้องสาวยังเป็นเด็กเลยกินได้ ข้ากับพี่ชายโตแล้ว พวกเราเลยไม่กิน!” กู้หนิงผิงกล่าวอย่างเสียใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่สาวของเขาไม่พอใจ

“เจ้าพวกหัวไชเท้าทั้งสอง ทำไมไม่กินมัน!”

“ท่านพี่ ถังหูลู่สองไม้สามารถซื้อบะหมี่เกาเหลียงได้หนึ่งชั่ง มันแพงเกินไป!” กู้หนิงอันกระซิบ ถังหูลู่สองไม้นี้สามารถแลกเป็นบะหมี่เกาเหลียงกินได้เป็นเวลาหลายวัน พวกเขาไม่เต็มใจที่จะกินถังหูลู่นี้จริง ๆ

อย่างนี้นี่เอง! ที่สองพี่น้องไม่กินถังหูลู่เพราะคิดว่ามันแพงเกินไปและไม่เต็มใจที่จะกิน

“ท่านพี่ ถ้าท่านไม่กิน พวกเราก็ไม่กินเหมือนกัน!” กู้หนิงผิงพึมพำ เขามองดูถังหูลู่ในมือด้วยอารมณ์ที่ขัดแย้งกันของความต้องการที่จะยอมแพ้และไม่ต้องการที่จะยอมแพ้

ว่ากันว่าใจของเด็กจะแสดงออกอยู่ที่ใบหน้าของพวกเขา และกู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าประโยคนี้เป็นความจริง เมื่อมองดูสีหน้าของกู้หนิงผิง กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าเด็กเหล่านี้ฉลาดมาก พวกเขาเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดที่นางได้รับจากการมาอยู่ที่โลกนี้

เนื่องจากนโยบายการวางแผนครอบครัวระดับชาติในชาติก่อน แต่ละครอบครัวสามารถมีลูกได้เพียงคนเดียว กู้เสี่ยวหวานจึงเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวในครอบครัว ไม่มีพี่และไม่มีน้อง ของเล่นและขนมส่วนใหญ่ในครอบครัวก็กินเองคนเดียว ไม่มีพี่น้องให้มาแบ่งหรือแย่งชิงกัน แต่ตอนนี้นางมีน้องอีกสามคน กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกพอใจมากกับความเป็นพี่น้องที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าซื้อเพิ่มแล้วกัน วันนี้ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะพาพวกเจ้าออกมาเที่ยว ข้าอยากให้พวกเจ้าเที่ยวและกินให้สนุก!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างติดตลก แววตาคู่นั้นราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่ถูกบดบัง

“พี่ชาย ข้าขอถังหูลู่อีกอันหนึ่งเจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานพูดกับพ่อค้าหาบเร่

เมื่อพ่อค้าหาบเร่ได้ยิน เขาก็รีบหยิบออกมาอีกหนึ่งไม้แล้วยื่นให้กู้เสี่ยวหวาน หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานรับมาและกำลังจะให้เงินเขา พ่อค้าหาบเร่โบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า “น้องสาว ข้าไม่คิดเงินเจ้าสำหรับอันนี้ ข้าให้!”

อย่างไรก็ตามกู้เสี่ยวหวานไม่เต็มใจรับ “แล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านทำธุรกิจเล็ก ๆ และถังหูลู่หนึ่งไม้ราคาตั้งสองเหรียญ ถ้าท่านให้ข้า วันนี้ท่านจะขาดทุนโดยเปล่าประโยชน์นะเจ้าคะ!”

“ไม่หรอก ไม่หรอก” พ่อค้าหาบเร่พูด “ต้นซานจานี้ปลูกในบ้านของข้าเอง ซื้อแค่น้ำตาลนิดหน่อย ใช้เงินเพียงสองสามเหรียญเท่านั้น น้องชายและน้องสาวของเจ้าเชื่อฟังและมีเหตุผลมาก มันทำให้ข้านึกถึงพี่ชาย เมื่อข้ายังเด็ก พี่ชายของข้าจะพาข้าเข้าเมืองด้วยกัน แล้วพี่ชายก็ซื้อของกินมาให้ข้า แต่เขากลับไม่กินเอง เขาเพียงแค่แค่ดูข้ากินมันเท่านั้น!”

พ่อค้าหาบเร่มีสีหน้าระลึกถึงความหลัง และเขาก็ดีใจ “เอาล่ะ ไม่พูดกับเจ้าแล้ว วันนี้ข้าจะเลิกงานแล้วกลับบ้าน นี่ยังเป็นช่วงเช้าพอดี ข้าจะไปหาพี่ชายของข้า!”

หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็โบกมือให้กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ และรีบจากไป กู้เสี่ยวหวานมองดูเงินสองเหรียญในมือที่ไม่ได้จ่าย แล้วมองดูถังหูลู่ลูกใหญ่ในมือ แล้วกัดเข้าไปหนึ่งคำ มันหวาน เปรี้ยว และรสชาติดีกว่าถังหูลู่ในยุคปัจจุบันมาก

เมื่อกู้หนิงอันและคนอื่น ๆ เห็นว่าพี่สาวของพวกเขาก็กินมันด้วย พวกเขาจึงกินถังหูลู่ในมือของพวกเขา และทุกคนก็ยิ้มออกมา

ทุกคนกินถังหูลู่พลางเดินเข้าเมือง คราวนี้พวกเขากำลังจะซื้อกลอนคู่ จึงไปที่ร้านขายของชำเพื่อเลือกซื้อกลอนคู่

กู้เสี่ยวหวานเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว และค่อนข้างคุ้นเคยกับเมืองนี้

กู้เสี่ยวหวานเดินจูงมือกู้เสี่ยวอี้และเดินตามหลังฉือโถวไปอย่างใกล้ชิด ฉือโถวคุ้นเคยกับเมืองนี้มากกว่ากู้เสี่ยวหวาน ในปีที่แล้วฉือโถวตามพ่อแม่ของเขามาที่เมืองเพื่อซื้อกลอนคู่ คราวนี้ท่านป้าจางรู้สึกว่าฉือโถวโตขึ้นและสามารถออกมาได้ด้วยตัวเองได้แล้ว ดังนั้น จึงให้เงินแก่ฉือโถวและให้เขาออกมาเอง

ฉือโถวผู้คุ้นเคยกับเมืองแห่งนี้เดินนำไปที่ร้านขายของชำ กู้เสี่ยวหวานจูงกู้เสี่ยวอี้มาและเดินตามไป นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวอี้เข้ามาในเมือง ทุกอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจและทั้งสองข้างทางก็เต็มไปด้วยสิ่งของ

ทั้งหมดเป็นแผงลอยเล็ก ๆ และพ่อค้าหาบเร่ที่มาขายของ พวกเขาหวังว่าในช่วงสิ้นปี พวกเขาจะสามารถทำเงินได้มากขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้กลับบ้านในปีใหม่

ด้านหนึ่งมีตะกร้าไข่ และอีกด้านเป็นผลิตภัณฑ์ทำมือจากไม้ไผ่ เช่น ตะกร้า ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับตะกร้าที่ใช้ในบ้าน แต่ดูใหม่กว่าเล็กน้อย

เมื่อฉือโถวเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังดูสิ่งที่ทำจากไม้ไผ่ด้วยความสนใจอย่างมาก เขาจึงกล่าวว่า “เสี่ยวหวาน พ่อของข้าก็ทำเป็น! “หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ “และพ่อของข้าก็สานดีกว่าเขามาก!”

“จริงหรือ?”

“จริงสิ!”

“ท่านพี่ มันเป็นเรื่องจริง ฝีมือของท่านลุงจางดีกว่านี้มาก” กู้หนิงผิงมักจะไปบ้านของท่านลุงจาง ดังนั้น เขาจึงรู้ว่าท่านลุงจางทำสิ่งนี้ที่บ้านทุกวัน แล้วท่านป้าจางหรือฉือโถวก็จะนำเข้าไปขายในเมือง เนื่องจากตะกร้าที่ท่านลุงจางทำมาจากวัสดุที่ดีและแข็งแรง คนในเมืองจึงชอบมันมาก เพียงแต่ว่าตะกร้าใบนี้แข็งแรงเกินไป จึงทำให้ใช้ได้นาน จะทำได้เพียงปีละสองถึงสามครั้งเท่านั้น และทำเงินได้ไม่มาก

เมื่อกู้เสี่ยวหวานยังเป็นเด็กในชนบท นางก็เคยเห็นคนอื่นเก็บข้าวฟ่างและใช้ตะกร้าที่ทำจากไม้ไผ่ แต่ในภายหลังไม่ค่อยพบเห็นแล้ว ตะกร้าขนาดใหญ่แบบนี้มักจะซื้อและใช้โดยชาวนาในหมู่บ้านเท่านั้น ตะกร้าเช่นนี้ใช้งานได้หลายปี และน้อยคนนักที่จะซื้อ อย่างไรก็ตาม หากทำเป็นตะกร้าใบเล็กที่สามารถใช้ซื้อผักและของชิ้นเล็ก ๆ ได้ล่ะ?

กู้เสี่ยวหวานรู้ดีว่าตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการขายของคือคนรวยเหล่านั้น ตราบใดที่ยังมีของใหม่ คนรวยเหล่านั้นก็จะเต็มใจซื้อไม่ว่ามันจะแพงแค่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถือเป็นสินค้าที่ดูแปลกตาและทันสมัย

กู้เสี่ยวหวานแอบมีความคิดในใจและวางแผนที่จะกลับไปวาดแบบที่ดูดีสักสองสามอันเพื่อถามท่านลุงจางว่าจะทำมันได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็อาจจะทำเงินได้บ้าง

ทั้งห้าคนยังคงเดินไปข้างหน้า กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ นางมาในเมืองคราวนี้เพื่อวางแผนที่จะซื้อพู่กันและกระดาษ กู้หนิงอันสามารถเขียนคำได้มากขึ้นแล้ว และการนั่งยอง ๆ ตลอดเวลาบนพื้นดินที่จะเขียนก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้กู้เสี่ยวหวานยังวางแผนที่จะซื้อหนังสือกลับไป จากนั้นให้กู้หนิงอันเขียนตามหนังสือและนางก็จะสอนให้เขาอ่าน เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิและสำนักศึกษาเริ่มเปิด กู้หนิงอันจะถูกส่งไปที่เล่าเรียนที่นั่น

นอกจากนี้ยังมีกู้หนิงผิง แม้ว่าการเขียนจะยังพัฒนาไม่มาก แต่กู้หนิงผิงก็ศึกษาด้วยความตั้งใจ ในอนาคตจะเข้าสอบบัณฑิตหรือไม่ เขาก็ต้องอ่านหนังสือเพิ่มเติม

การอ่านหนังสือเท่านั้นที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ เป็นคำกล่าวที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่โบราณ

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันดีมาก ไม่มีเรื่องต้องกังวลอะไรมากแล้ว

ไหหม่า(海馬)