ตอนที่ 102 เรียบร้อย
หนานหนานได้ยินเสียง จึงหันกลับมามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “พี่ชาย ข้าขอเลือก…สองอย่างได้หรือไม่?”
แม้ปากจะพูดว่าสองอย่าง แต่ในมือกลับยกของขึ้นมา 4-5 ชิ้น
เย่หลานผิงเหลือบมอง แม้ว่าของเหล่านั้นจะเป็นของที่มีราคา แต่เขาก็เห็นมามากแล้วและไม่ได้ใส่ใจอะไร ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้าและตอบตกลงอย่างใจถึง “ได้สิ”
หนานหนานส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข เขานำแก้วหยก ชามทอง หินโมรา ไข่มุกและหยกแขวนที่อยู่ในมือยัดใส่เข้ากระเป๋าที่เหน็บติดตัวไว้ ทั้งยังมองดูต่อไปอย่างพึงพอใจ
เย่หลานผิงหันไปมองประตูที่ปิดสนิท ย่อมมองเห็นเงาของเหวินเทียนที่สะท้อนอยู่บนประตู จึงรีบวิ่งเข้ามาหาหนานหนาน ดึงเขาให้นั่งยอง ๆ “หนานหนาน พี่ชายเล่นการละเล่นกับหนานหนานสักตาหนึ่งดีหรือไม่?”
การละเล่น? ขอไม่เล่นการละเล่นได้หรือไม่? นั่นเป็นสิ่งที่เด็ก 3-4 ขวบไว้เล่นกัน เขาอายุห้าขวบแล้ว ตอนนี้เขากระตือรือร้นอยากดูสมบัติเหล่านั้นนะ
แต่โชคดีที่พี่ชายให้ของเขามากขนาดนั้น งั้นเขาฝืนใจเล่นเป็นเพื่อนสักหน่อยก็แล้วกัน โตขนาดนี้ยังไร้เดียงสาแถมยังไม่มีเพื่อนเล่นอีก น่าสงสารมากจริง ๆ เขาทำบุญทำทานสักหน่อยก็แล้วกัน
เขาเก็บกระเป๋าใบเล็กกลับเข้าไปอย่างระมัดระวัง ใช้สายตาที่มีความเมตตาเล็ก ๆ ทอดมองขณะพยักหน้าอย่างระมัดระวัง
“พวกเราเล่นการละเล่นข้าถามเจ้าตอบ ดีหรือไม่?”
หนานหนานขมวดคิ้ว เหตุใดถึงไม่มีแก่นสารอะไรเลย การละเล่นโบราณขนาดนี้ เหตุใดเขาถึงชอบล่ะ?
เพียงแต่ ต่อให้เป็นการละเล่นไร้เดียงสามากกว่านี้ เขาก็จะยอมเล่นเป็นเพื่อน
หนานหนานใช้สายตาที่มีเมตตายิ่งขึ้น พยักหน้าอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
เย่หลานผิงหนังตากระตุก ทำไมเขาถึงรู้สึกได้ว่าสายตาของหนานหนานดูพิกลไปเล่า? เมื่อครู่ตอนที่เขากินอาหารบนใบหน้าเปื้อนอะไรหรือเปล่า?
เขายกมือขึ้นมาลูบด้วยความสงสัย และพบว่าไม่มีอะไร ก่อนสูดหายใจเข้าลึก ๆ สะบัดความคิดยุ่งเหยิงในหัวออกไป กระซิบถามว่า “ปีนี้หนานหนานอายุเท่าไร?”
“ห้าขวบ” เขายื่นนิ้วออกมาสี่นิ้ว ตอบกลับอย่างจริงจัง
เย่หลานผิงชะงัก สรุปแล้ว…สี่ขวบ หรือห้าขวบกันแน่?
“งั้นถึงตาข้าถามแล้ว” หนานหนานดึงมือกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง
เย่หลานผิงชะงัก ช่างเถอะ ถึงอย่างไรอายุก็ไม่ได้สำคัญ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่เขาอยากถาม เขาก็แค่ใช้กลยุทธ์โยนกระเบื้องล่อหยก [1] เท่านั้น
ระหว่างที่ครุ่นคิด เขาจึงพยักหน้าคล้อยตาม พิจารณาว่าเด็กคนนี้จะถามอะไรได้ ก็คงถามคำถามที่ไม่ต่างอะไรจากเขากระมัง
หนานหนานมีดวงตาเป็นประกาย จับมือของเย่หลานผิงและรีบเอ่ยถามว่า “พี่ชาย ที่ท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินอาหารชาววังคือเรื่องจริงใช่หรือไม่? พวกเราออกเดินทางตอนนี้เลยดีหรือเปล่า? ข้าอยากไปมาก อยากไปมากเลย ได้หรือไม่?”
เย่หลานผิงถึงกับสำลัก กินอาหารชาววัง? นั่นเป็นแค่คำพูดที่เขาพูดออกไปลอย ๆ ก็เท่านั้น เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้คิดว่าเป็นเรื่องจริง? ทั้งยังคิดจะไปตอนนี้อีก? ล้อเล่นอะไรกัน? พระราชวังเป็นสถานที่ที่คิดจะเข้าออกได้ตามใจชอบงั้นหรือ?
“เอ่อ หนานหนาน อาหารชาววังอยู่ในพระราชวัง พวกเราเข้าไปไม่ได้หรอกนะ”
เข้าไปไม่ได้? หนานหนานถลึงตาโต ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง หลอกเขา ปรากฏว่าหลอกเขา เขาตัดสินใจแล้ว…ครั้งนี้จะไม่ให้ของขวัญตอบแทนแล้ว
เย่หลานผิงแอบรู้สึกผิด รีบเปลี่ยนคำถาม “เอาล่ะ หนานหนาน ครั้งนี้ถึงตาพี่ถามแล้วนะ เอ่อ เจ้ากับลุงห้าของพี่เป็นอะไรกันหรือ?”
“ข้าไม่บอก”
“ทำไมไม่บอกเล่า?” เย่หลานผิงเริ่มร้อนใจ เป็นเพราะอยากมั่นใจถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่จึงพาหนานหนานมาที่นี่
หนานหนานแค่นเสียง และหันก้นใส่เขา “ท่านไม่ยอมพาข้าไปกินอาหารชาววังตอนนี้ ข้าไม่มีความสุข ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนท่านแล้ว”
“แต่ว่าหนานหนาน…”
“อีกอย่างท่านก็เป็นคนพูดเอง บอกว่าจะพาข้าไปกินอาหารชาววัง ที่แท้ก็แค่หลอกลวงคนอื่น ท่านไม่ได้มีความสามารถนั้น ท่านเข้าวังไม่ได้ และไม่สามารถทำให้ข้าได้กินอาหารชาววังด้วย” หนานหนานหันหลังให้อีกฝ่ายพร้อมกับเริ่มวาดรูปเป็นวงกลม ดวงตามีหยาดน้ำใสรื้นขึ้น “ท่านขี้อวด แต่กลับไม่ได้เก่งกาจอย่างที่ท่านแสดงออก หลังจากนี้ข้าจะไม่เชื่อใจท่านแล้ว จริงสิ บางทีไข่มุกที่ท่านให้ข้าก็อาจจะเป็นของปลอมด้วย ต้องเป็นของที่ท่านเอามาโอ้อวดเพื่อหลอกคนอื่นเป็นแน่”
เย่หลานผิงถึงกับลุกขึ้นยืนถลึงตามองเขา ภายในใจเกิดเปลวไฟลุกโชน เขาเป็นถึงพระราชนัดดาของฮ่องเต้ คือพระราชนัดดาองค์ใหญ่ที่สุด เพียงคำพูดของเขาแค่เปล่งออกไปทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามมาโดยตลอด ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม ตอนนี้เป็นเช่นไรเล่า ถูกเด็กอายุ 4-5 ขวบพูดเช่นนี้ เขาจะทนไหวได้อย่างไรกัน
ใช่แล้ว เหวินเทียนสามารถยืนหยัดต่อความท้าทายได้ แต่เย่หลานผิงที่ถูกทุกคนเอาอกเอาใจจนเหลิง ทั้งยังไม่เคยถูกตั้งคำถามเช่นนี้กลับทนไม่ไหวแล้ว
ก็แค่เข้าวังมิใช่หรือ? ก็แค่กินอาหารชาววังมิใช่หรือ? ก็ได้ ไปก็ไป
เย่หลานผิงหมุนตัวกลับมาก็ย้ายมายืนตรงหน้าหนานหนาน แค่นเสียงเย็น “ก็ได้ พี่พาเจ้าไปก็ได้”
“จริงหรือ?” หนานหนานดวงตาเป็นประกายในทันที ทั้งยังมองอย่างเลื่อมใส
เย่หลานผิงรู้สึกเพลิดเพลินกับความรู้สึกเช่นนี้มาก เขาพยักหน้ากระซิบเสียงเบาว่า “แต่ในวังมิใช่สถานที่ที่ทุกคนจะเข้านอกออกในได้ตามใจชอบ หากพี่พาเจ้าไป ก็ต้องไปอย่างเงียบ ๆ อีกอย่าง ท่านลุงเหวินของเจ้าก็ไปไม่ได้ด้วย เจ้าต้องหาวิธีทำให้เขากลับไปให้ได้”
หนานหนานยิ้มหึหึ “เรื่องนี้ง่ายมาก”
ง่าย? เย่หลานผิงเลิกคิ้วขึ้น เหตุใดเขาถึงไม่ได้คิดเช่นนี้เลย?
“เอาล่ะ ในเมื่อพี่รับปากว่าจะพาเจ้าไปแล้ว คำถามที่พี่ถามเจ้าไปเมื่อครู่ เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะ”
“คำถาม? คำถามอะไร?” หนานหนานแสดงสีหน้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ทว่าภายในใจกลับเริ่มนับถอยหลังแล้ว…
เย่หลานผิงกำลังจะถามคำถามอีกครั้ง ประตูห้องกลับมีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา เสียงเย็นชาของเหวินเทียนดังขึ้นจากด้านนอก “ผิงซื่อจื่อ ครบเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว ข้าต้องพาคุณชายน้อยกลับตำหนักอ๋องแล้ว”
เย่หลานผิงแอบสาปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างขุ่นเคือง หนานหนานกระโดดดีดตัวออกไปด้านนอกแล้ว
เหวินเทียนอุ้มหนานหนานขึ้นมา ทำท่าจะกล่าวลาเย่หลานผิง
หนานหนานกลับบิดตัว หยิบขนมออกมาจากด้านในเสื้อหนึ่งชิ้น ยื่นหน้ากระซิบข้างหูเขา “ท่านลุงเหวิน นี่เป็นขนมกุ้ยฮวาที่ข้าตั้งใจเก็บไว้ให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ ข้ารู้ว่าท่านคงหิวแล้ว อะ ข้าให้”
ระหว่างที่พูด เขาก็ยื่นขนมกุ้ยฮวาในมือไปที่ข้างปากของเขา ทั้งยังทำท่าทางรู้ความและเชื่อฟังอย่างมาก
เหวินเทียนไม่เคยป้องกันตนเองจากหนานหนานมาก่อน เมื่อเห็นท่าทางใส่ใจของอีกฝ่ายเช่นนี้ จึงอ้าปากเล็กน้อยและรีบกินขนมเข้าไป
เพียงไม่นาน เขาก็รู้สึกร่างกายผิดปกติไปทั้งตัว อ่อนปวกเปียกราวกับไร้กำลัง มือที่อุ้มหนานหนานก็เริ่มไม่มั่นคง
แย่แล้ว มีสิ่งแปลกปลอมออยู่ในตำหนักเป่าอ๋อง ทว่า เขาก็ระมัดระวังตัวเองมาโดยตลอด ถูกวางแผนใส่ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เขาต้องรีบสั่งให้ผู้พิทักษ์ทมิฬออกมา คุ้มกันคุณชายน้อยออกไปจากที่นี่
เหวินเทียนใช้มือข้างหนึ่งอุ้มหนานหนาน ส่วนมืออีกข้างจับระเบิดสัญญาณที่อยู่ข้างเอว ทว่าวินาทีต่อมา หลังมือของเขาก็ถูกกุมด้วยมือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ เขาเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ “หนานหนาน?”
“ท่านลุงเหวิน ข้ารู้ว่าท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่สักครู่นะ รอข้ากินของอร่อยเสร็จแล้วกลับเมื่อเมื่อไร ข้าค่อยกลับไปพร้อมกับท่าน”
รูม่านตาของเหวินเทียนพลันหดเล็กลง เขามองเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ขนมกุ้ยฮวาชิ้นนั้นเมื่อครู่? ให้ตายเถอะ เจ้าเด็กคนนี้…
ต่อให้มีความคิดมากกว่านี้ก็หยุดลงแล้ว เหวินเทียนรู้สึกได้ถึงความมืดมิดตรงหน้า ก่อนจะสลบไปที่บริเวณมุมกำแพง
เย่หลานผิงเดินตามอยู่ด้านหลังมาโดยตลอด เขาพบว่าเหวินเทียนเป็นลมหมดสติไปแล้ว ทว่าเขากลับยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หนานหนานกลับปรบมือ ทั้งยังเชิดคางขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
“…”
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป รถม้าของตำหนักเป่าอ๋องก็มุ่งหน้าไปที่พระราชวัง
ในเวลาเดียวกัน เย่ซิวตู๋ก็ได้รับข่าวจากผู้พิทักษ์ทมิฬเช่นกัน จึงทราบว่าหนานหนานไปที่จวนเป่าอ๋องพร้อมกับเย่หลานผิงแล้ว
หัวคิ้วพลันขมวดเข้าด้วยกันอย่างห้ามไม่อยู่
…………………………………………………………………………………
[1] กลยุทธ์โยนกระเบื้องล่อหยก (抛砖引玉) เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการใช้สิ่งใดที่มีความคล้ายคลึงกันในการหลอกล่อศัตรู ให้ศัตรูเกิดความสับสนและต้องกลอุบายแตกพ่ายไป
สารจากผู้แปล
แสบนักนะเจ้าเด็กทั้งคู่ เดี๋ยวเจอพ่อเจอลุงแล้วจะหนาว
ไหหม่า(海馬)