ตอนที่ 103 เข้าวัง
เย่ซิวตู๋โบกมือให้ผู้พิทักษ์ทมิฬออกไป เม้มปากโดยมิได้เปล่งเสียงใดออกมา
เจ้าเด็กเย่หลานผิงคนนั้นกำลังคิดอะไร เขาพอจะกลั่นกรองออกมาได้เป็นขั้นเป็นตอนได้ ในเมื่อครั้งนี้ไม่เห็นเขาอยู่ข้างกายหนานหนาน ก็มีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่คิดจะใช้โอกาสนี้สอบถามสถานะของหนานหนาน เพียงแต่สถานะของเด็กน้อยไม่ควรถูกเปิดเผยภายในตำหนักเป่าอ๋องขณะที่ไม่ได้มีเขาอยู่ด้วย เช่นนั้นก็มิอาจรับประกันความปลอดภัยของหนานหนานได้
“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่?” อวี้ชิงลั่วเดินผ่านข้างกายเขาโดยบังเอิญ ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา จึงอดประหลาดใจไม่ได้
เรื่องอะไรกันที่ทำให้เย่ซิวตู๋ลำบากใจถึงขั้นนี้? บอกมาให้นางดีใจสักหน่อยสิ
เย่ซิวตู๋ช้อนตามองนางปราดหนึ่ง เมื่อเห็นนางกำลังตื่นเต้นก็แอบรู้สึกหมดคำพูด ดูเหมือนนางคงคิดว่าอยู่ต่อหน้าเขาแล้วมิอาจเอาเปรียบได้ จึงคิดอยากเห็นเขาดูไม่จืด แต่ไม่รู้ว่าสภาพจิตใจของเขาเป็นอย่างไรกันแน่
ทว่าเมื่อเกี่ยวกับเรื่องของหนานหนานแล้ว กลับไม่สามารถทำให้คลุมเครือได้แม้แต่น้อย
หลังจากชะงักไป เขาจึงเล่าเรื่องที่ผู้พิทักษ์ทมิฬมารายงานให้นางฟัง
ผลลัพธ์ที่ได้คือ เมื่ออวี้ชิงลั่วได้ฟังแล้ว คิ้วของนางก็พลันขมวดเข้าหากันจนเกือบจะเป็นปม “ท่านพูดว่า หนานหนานกับเหวินเทียนเจอ…คนของตระกูลอวี้?”
สตรีผู้นี้จับประเด็นสำคัญอย่างไรกันแน่?
“ข้าเป็นกังวลว่าเย่หลานผิงอาจมีเจตนาไม่ดี คิดอยากใช้โอกาสนี้เพื่อถามข้อมูลจากปากของหนานหนาน” เขาเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเด็กน้อยแล้วว่าอีกฝ่ายมักจะทำสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ สิ่งที่พวกเขาพยายามปิดซ่อน กี่ครั้งแล้วที่หลุดออกมาจากปากของเขา
อวี้ชิงลั่วส่งเสียง ‘อ๋อ’ หนึ่งเสียง หมุนตัวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เย่ซิวตู๋หรี่ตามองนาง จนกระทั่งถูกเขาจ้องจนรำคาญ อวี้ชิงลั่วจึงโบกมือพูดอย่างจนปัญญา “หนานหนานไม่พูดหรอก”
“หืม?”
“เจ้าเด็กบ้านั่นฉลาดจะตายไป ถ้าไม่ใช่คนที่ตนเองเชื่อใจ เขาจะบอกคนอื่นได้ยังไง แม้ว่า…อืม แม้ว่าเขามักจะทำให้ข้าเสียเรื่องอยู่เสมอก็เถอะ แต่ถ้าเขาเต็มใจ เขาก็มีวิธีเพื่อแก้สถานการณ์กลับมาได้” นี่เป็นสิ่งที่ทำให้นางถึงกับขบฟันแน่นแต่ก็จนปัญญาเช่นกัน เจ้าเด็กคนนั้นฉลาดเป็นกรด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขาเชื่อใจยกตัวอย่างเช่นเย่ซิวตู๋ เขาก็จะเริ่มพึ่งพาอีกฝ่าย ทั้งยังพูดทุกอย่างที่ตัวเองรู้
เย่ซิวตู๋ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง นึกถึงช่วงเวลาที่เขาและหนานหนานได้รู้จักกันตั้งแต่เจียงเฉิงมาจนถึงเมืองหลวง ดูเหมือนว่า…จะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่ออยู่แปลกถิ่น เห็นได้ชัดว่าเขาน่าเชื่อถือมากกว่าปกติเสียอีก
แม้แต่อวี้ชิงลั่วยังพูดเช่นนี้ เย่ซิวตู๋จึงไม่เป็นกังวลในเรื่องที่เหลือ เขาไม่มีความจำเป็นต้องไปที่ตำหนักเป่าอ๋อง ขอแค่เหวินเทียนพาหนานหนานกลับมา จากนั้นเขาค่อยถามอีกฝ่ายก็สิ้นเรื่องแล้ว
คิดเช่นนี้ เขาก็เบาใจลง กลับมาอยู่ในท่าทางเย็นชาอันคุ้นเคยอีกครั้ง
เขาหันไปมองอวี้ชิงลั่ว จู่ ๆ ก็นึกถึงท่าทางของนางที่ยืนกรานจะไปหาอวี๋จั้วหลิน ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อนึกถึงนางที่พยายามจะขับไล่สตรีผู้มีนามว่าหลิ่วเซียงเซียงผู้นั้น ทั้งยังแสร้งทำตัวสนิทสนมกับเขาราวกับสาบานต่อทะเลและภูเขาว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลายอย่างไม่เสียดาย ความรู้สึกไม่สบายใจนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังผ่อนคลายขึ้นอย่างมากด้วย
เขาเลิกคิ้วถาม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ชอบหลิ่วเซียงเซียงเอาเสียเลยนะ อะไรกัน เจ้าไม่อยากให้นางเป็นหวังเฟยของข้าหรือ?”
อวี้ชิงลั่วนั่งลงรินน้ำชาให้ตนเองหนึ่งแก้ว ตั้งแต่ย้ายจากจวนมาที่ตำหนักซิวอ๋อง ทั้งยังต้องนั่งรถม้าตลอดทาง นางรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากไปไหนมาไหนแล้ว
“แน่นอน สตรีผู้นั้นจะเป็นหวังเฟยของท่านได้อย่างไรกัน?”
“ทำไมถึงเป็นไม่ได้เล่า?” เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วสูงขึ้น มุมปากก็กระตุกเป็นเส้นโค้งเบา ๆ ด้วย
อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงเบา ๆ “ถ้าสตรีเช่นนั้นมาเป็นหวังเฟยของท่าน หลังจากนี้หนานหนานจะมีชีวิตที่ดีได้หรือ?”
แน่นอน นางไม่สนใจหรอกหากจะให้นางพาหนานหนานออกจากเมืองหลวงเพื่อไปใช้ชีวิตเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้ลงเรือผิดมาอยู่บนเรือโจรแล้ว เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว คาดว่าคงไม่พอใจกับคำตอบนี้
อวี้ชิงลั่วกลับเอ่ยปากพูดอีกครั้งอย่างเกียจคร้าน “อีกอย่างท่านก็ควรจะขอบใจข้านะ สตรีผู้นั้นรู้แล้วว่าหากท่านแต่งงานกับนางก็คงจะกินยาพิษฆ่าตัวตาย เกรงว่าคงไม่เต็มใจที่จะแต่งงานกับท่านแล้ว นี่เป็นวิธีการที่ลำบากเพียงครั้งเดียวแต่สบายตลอดไป หลังจากนี้หากท่านได้เจอกับพระชายาที่แท้จริงของท่าน ท่านก็ค่อยไปบอกความจริงกับนางก็สิ้นเรื่อง”
เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาตามจีบเย่ซิวตู๋มากเกินไป แล้วต้องให้นางมาคอยเก็บกวาดทีละคนอีก
“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก” จู่ ๆ ด้านนอกประตูห้องโถงก็มีเสียงขบขันที่ฟังดูห้าวหาญดังขึ้น เย่ฮ่าวหรานกระโดดเข้ามา พูดโต้แย้งว่า “แม่นางอวี้ ใต้หล้าแห่งนี้มีคนจำนวนมากที่ยินดีจะแต่งงานกับพี่ห้าของข้า ต่อให้พี่ห้าของข้าตายไปแล้ว ด้านหลังของเขาก็ยังมีตำหนักซิวอ๋องแห่งนี้ เจ้าอย่าได้ดูถูกดูแคลนเชียว อีกอย่างนะแม่นางอวี้ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ที่เจ้าบอกว่าการที่พี่ห้ากินยาพิษและยาถอนพิษมีอยู่บนตัวเจ้าเท่านั้น ถ้าคนเหล่านั้นต้องการจัดการพี่ห้า พวกเขาจะไม่คิดว่าแค่ฆ่าเจ้าทิ้งก็สามารถพรากชีวิตพี่ห้าได้แล้วหรอกหรือ?”
“…” อวี้ชิงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกเสียใจขึ้นมาในทันที
ตอนนั้นนางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? เหตุใดสมองถึงได้คิดสิ่งที่ไม่ดีเช่นนั้นออกมา? นี่มิเท่ากับผลักตัวเองเข้าไปในกองไฟหรอกหรือ?
ตอนนั้นนางเกิดความคิดงี่เง่าอะไรกันแน่ ถึงได้แสร้งแสดงความรักกับเย่ซิวตู๋เพื่อไล่หลิ่วเซียงเซียงออกไป?
“พวกท่านคิดว่า หากข้าไปชี้แจงกับหลิ่วเซียงเซียงตอนนี้สักหน่อย ยังทันหรือไม่?”
เย่ซิวตู๋ยิ้มกว้าง ส่ายหน้าพลางวางแก้วในมือลง “เกรงว่า คงไม่ทันแล้ว”
“เย่ซิวตู๋ เหตุใดตอนนั้นท่านถึงไม่เตือนข้า?” บุรุษผู้นี้ต้องพิจารณาถึงเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นแน่
เย่ซิวตู๋ลุกขึ้นยืน เดินไปที่ด้านนอกประตูอย่างเนิบช้า น้ำเสียงนุ่มนวลทรงพลัง “เตือนเจ้าทำไม? ตอนนี้พวกเราได้ผูกติดเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูดไว้ เจ้าอยู่ข้าอยู่ เจ้าตายข้าก็ขอตายเพราะรัก”
อวี้ชิงลั่วยิ้มเยาะ “ท่านน่ะหรือตายเพราะรัก?”
“อืม…เรื่องนี้คงพูดยาก” เย่ซิวตู๋ทิ้งคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งไว้หนึ่งประโยค เดินไปข้าง ๆ เย่ฮ่าวหราน ตบบ่าเขาพลางกล่าว “นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าเองก็ควรจะกลับได้แล้วมิใช่หรือ”
เย่ฮ่าวหรานยังอยากเจอหนานหนาน เขารอมาหนึ่งวันแล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เส้นผม ให้กลับไปเช่นนี้ จึงรู้สึกไม่เต็มใจอย่างมาก
เย่ซิวตู๋ไม่สนใจเขา หมุนกายเดินออกจากห้องโถง เหลือทิ้งไว้เพียงอวี้ชิงลั่วที่กำลังขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ที่สับสน
“พี่ห้า ท่านบอกข้ามาเถอะว่าเด็กคนนั้นไปไหน ดีหรือไม่?” เย่ฮ่าวหรานรีบไล่ตามออกมา ระหว่างที่เดินตามก็พูดด้วยรอยยิ้มไปพลาง
เย่ซิวตู๋แค่นเสียงเบา ๆ หนึ่งเสียง เขาสั่งให้โม่เสียนเตรียมรถม้าพาเย่ฮ่าวหรานไปส่งถึงประตูใหญ่ของตำหนักซิวอ๋อง
เย่ฮ่าวหรานขบฟัน ขุ่นเคืองจนต้องถลึงตามองอยู่หน้าประตูใหญ่ของตำหนักซิวอ๋องอยู่หลายหน ก่อนจะหมุนกายขึ้นรถม้าของตนเองเพื่อกลับตำหนัก
คาดไม่ถึงเลยว่าตอนที่เพิ่งขึ้นรถม้า คนรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ข้างรถม้าก็กระซิบด้วยท่าทางประหม่า “นายท่าน เมื่อครู่องครักษ์มารายงานว่า กงกงจากราชวังไปที่ตำหนักอ๋องของพวกเรา บอกว่าหากท่านอ๋องออกมาจากตำหนักซิวอ๋องแล้ว ให้เดินทางไปที่วังทันทีขอรับ”
เย่ฮ่าวหรานแสดงสีหน้าจริงจัง ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่ถูกเก็บจนกลับมาเรียบเฉย หลังจากเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปเถอะ เข้าวัง”
“ขอรับ”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ทำไมรู้สึกว่าชิงลั่วจะโดนหมาป่าขย้ำแทนที่จะรอดพ้นกันนะ ท่าทางอิพ่อดูกระหยิ่มยิ้มย่องเชียว
ฮ่าวหรานนี่จะมาดีหรือมาร้าย?
ไหหม่า(海馬)