วันต่อมา หน้าจวนหย่งอันอ๋อง พระชายารองทั้งสองต่างกุมมือลูกสาวตนไว้แน่น ไม่อยากบอกลากัน กระทั่งแอบยัดถุงเงินไว้ในมือพวกนาง ด้วยเกรงว่าจะถูกคนอื่นในสำนักละอองหมอกรังแกเอาเมื่อไม่มีใครคอยดูแล
ที่อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนซู่เพียงกำชับให้เด็กแฝด ชิงอวี่และชิงเป่ยว่าให้ทำให้เต็มที่ หลังจากเข้าสำนักได้แล้วก็ให้ช่วยเหลือกันและกันกับเยี่ยนหนิงลั่ว สานสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้น เขากล่าวกับเด็กแฝดว่าเยี่ยนหนิงลั่วอยู่ในสำนักมานาน พอรู้จักคนอยู่บ้าง ดังนั้นคงช่วยดูแลพวกเขาได้บ้าง
ชิงอวี่ทำเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำ ส่วนชิงเป่ยพยักหน้ารับ ไม่ทำให้เยี่ยนซู่อึดอัดใจจนเกินไปจนเกินไป
ด้วยทั้งหมดเดินทางไปกันสี่คน เยี่ยนซู่จึงจัดหารถม้าที่ใหญ่และนั่งสะดวกสบายที่สุดในจวนมา นำคนทั้งหมดไปยังสำนักละอองหมอก
แต่เมื่อกำลังจะสั่งให้คนเคลื่อนรถม้า ก็พลันได้ยินเสียง “กุบกับ” มาจากไกล ๆ คนอื่น ๆ จึงอดหันมองไม่ได้ หากแต่เมื่อเห็นก็ได้แต่เบิกตากว้าง
พวกเขาเห็นรถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาตัวรถม้าสีดำขลับดูเรียบหรู บนหลังคามีพู่ปักดิ้นทองตกแต่งสองข้างซ้ายขวา ดูเข้ากันมาก แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือม้าที่ลากรถม้าดูพิเศษยิ่ง แม้ร่างกายจะไม่ต่างจากม้าทั่วไป แต่กลับรู้สึกได้ถึงความประหลาด
รถม้าคันนั้นค่อย ๆ เคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มคน คนขับคือชายหนุ่มหน้าตาดี ดูท่าทางเป็นมิตรคนหนึ่ง ชิงอวี่จำได้ว่าเขาคือคนที่ยืนหลับตาค้างอยู่หน้าประตูหอเมฆาเคลื่อนตอนนางไปเยือนครั้งหนึ่ง
เห็นดังนั้นเยี่ยนซู่จึงก้าวมาด้านหน้าแล้วถามขึ้น “ท่านผู้นี้คือ…..?”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม แต่สายตาจับจ้องไปยังเด็กสาวเบื้องหลังเยี่ยนซู่ “เป็นคำสั่งจากนายท่านของข้า ข้ามาที่นี่เพื่อรับแม่นางชิงอวี่ไปส่งสำนักละอองหมอก”
พูดจบ สายตาทั้งหลายก็พลันจ้องมองมายังชิงอวี่อย่างมองประเมิน
ชิงอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วมองม้าตัวสีดำที่คลุมด้วยผ้าดูมันขลับ มันย่ำเท้ากับพื้นอย่างใจร้อน พ่นลมออกจมูกเสียงดัง ราวกับไร้ที่ระบายอารมณ์โกรธและเศร้าออกมา
คนผู้นั้น โหลวจวินเหยา….. เปลี่ยนให้มันกลายเป็นม้าลากรถไปจริง ๆ เสียด้วย!
“นายท่านของท่านเป็นใครกัน?” เยี่ยนซู่ยังกังวลอยู่ แม้จะไม่รู้ว่าชิงอวี่ไปทำความรู้จักกับใครมา แต่เพียงมองชายหนุ่มที่ขับรถม้าและรถม้าที่ดูเรียบหรูลึกล้ำกว่าที่เห็นภายนอกแล้ว เขาก็รู้ดีว่าคนผู้นี้คงมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาเป็นแน่
แม้เด็กสาวจะมีความสามารถสูงส่ง แต่นางก็ยังเด็กนัก อาจตกไปอยู่ในเงื้อมมือคนจิตใจชั่วช้าได้
ชายหนุ่มบนรถม้ากำลังจะอ้าปากพูด ชิงอวี่กลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “เป็นสหายข้าเอง ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ สหายคนนี้เชื่อถือได้ อีกทั้ง…..”
นางจ้องเจ้าม้าประหลาดนิ่ง นางใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ย “ม้านี่ แท้จริงแล้วเป็นอสูรวิญญาณ เคลื่อนที่ได้รวดเร็วนัก รวดเร็วกว่าม้าธรรมดาหลายเท่า อีกทั้งยังวิ่งได้มั่นคงยิ่ง ข้าคิดว่าท่านพี่ทั้งสองคงไม่อาจทนการเดินทางกระแทกกระทั้นไปตลอดได้ ดังนั้นท่านพ่อให้พวกเราขึ้นรถม้าคันนี้ไปเถอะเจ้าค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินว่ารถม้าอีกคันจะเคลื่อนที่ได้อย่างนิ่มนวล เยี่ยนซีอู่ก็เผลอพยักหน้าเห็นด้วยไปแล้ว “ใช่แล้วท่านพ่อ พวกเราไปคันนั้นก็ได้ ในเมื่อเป็นสหายของน้องชิงอวี่ ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ”
เยี่ยนซีโหรวข้าง ๆ ก็เอ่ยเห็นด้วยเสียงเบาเช่นกัน
ได้ยินดังนั้นเขาจะพูดอะไรได้อีก? ได้แต่มองชิงอวี่อย่างใคร่ครวญ ก่อนจะตัดสินใจ จากนั้นกำชับเรื่องต่าง ๆ กับพวกนางอีกสักหน่อยแล้วจึงบอกลากัน
คนอื่น ๆ พากันขึ้นรถม้าไป เหลือเพียงชิงอวี่ที่ไม่ขยับกาย ยืนอยู่หน้ารถม้าอย่างนั้น นางมองเจ้าอสูรผู้น่าสงสารที่หน้าบึ้งตึงเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบหัวมันแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ทำให้เจ้าต้องเหนื่อยแล้ว”
ชายหนุ่มคนบังคับรถม้าจ้องภาพนั้นตาแทบถลน แม่นางน้อยผู้นี้ใจกล้านัก! กล้าแตะยูนิคอร์นอสนีบาตเลยหรือ!?
เขาบนหัวมันคืออาวุธอันตรายที่สุดของอสูรวิญญาณตัวนี้ ดังนั้นมันจึงไม่ยอมให้ใครแตะต้องส่วนหัวเป็นอันขาด หากไม่ใช่เจ้าของนับเป็นจุดที่ไม่ว่าอย่างไรคนอื่นก็ห้ามสัมผัส ไม่เช่นนั้นอาจถูกมันสังหารได้
ดังนั้นชายหนุ่มจึงเหงื่อกาฬไหลไม่หยุด กำลังคิดว่าจะกลับไปขอความช่วยเหลือดีหรือไม่ ด้วยตัวเขาไม่อาจคุมได้หากยูนิคอร์นอสนีบาต หากมันเกิดโทสะขึ้นมา อีกทั้งเขาได้ยินมาว่าแม่นางท่านนี้สำคัญต่อนายท่านไม่น้อย หากนางเป็นอะไรไป ศีรษะเขาไม่หลุดออกจากบ่าหรอกหรือ?
แต่ใครจะคาดคิด เจ้านั่นกลับยังสงบนิ่งเกินคาด ไม่มีแม้แต่เสียงใด มันเพียงใช้นัยน์ตาอสูรเบิกกว้างมองแม่นางน้อยด้วยความตกตะลึงเท่านั้น
ชิงอวี่หัวเราะ ลูบหัวมันอีกครั้งหนึ่ง “ข้าพยายามปฏิเสธแล้ว แต่เจ้านายเจ้าตัดสินใจไปแล้ว หัวแข็งเกินข้าจะเอ่ย ฉะนั้นเพื่อเป็นการทดแทนให้เจ้า ครั้งหน้าข้าจะย่างกระต่ายให้เจ้ากินดีหรือไม่? อืม….. ข้าเพิ่มไก่ให้ด้วย เจ้าว่าดีหรือไม่?”
เจ้าอสูรกะพริบตาด้วยความยินดียามนางพูดจบ จากนั้นก็กะพริบตาใส่นางอีกรอบ ก่อนจะเอาหัวดุนฝ่ามือนางด้วยท่าทางว่านอนสอนง่าย
เห็นเช่นนั้นชายหนุ่มที่ขับรถม้าก็ตาแทบบอด
สวรรค์โปรด ภาพชายคนก่อนที่เผลอแตะโดนหัวมันโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ถูกยูนิคอร์นอสนีบาตใช้เขาเสียบทะลุร่าง ตายอย่างน่าอนาถในที่สุด ภาพเหล่านั้นเป็นภาพลวงตาหรือไร?
หลังเอาใจยูนิคอร์นอสนีบาตสักหน่อยแล้ว ชิงอวี่จึงปีนขึ้นรถม้าไป
นางเพิ่งจะแหวกม่านเพื่อเดินเข้ามานานใน หากแต่ก็ต้องชะงักค้างไป
นางพบว่าที่พื้นด้านในมีบางสิ่งบางอย่างขาวราวหิมะปูอยู่ เหมือนจะเป็นขนของอสูรวิญญาณ ดังนั้นแม้จะล้มกลิ้งอยู่ในนี้แต่ก็คงไม่รู้สึกเจ็บ ที่ตรงกลางคือโต๊ะเตี้ย ๆ มีกาน้ำชาและขนมหลายอย่างวางอยู่ ที่มุมโต๊ะยังมีกระถางอุ่นเล็ก ๆ ลวดลายประณีตอีกด้วย
นัยน์ตาชิงอวี่ส่องประกายคมปลาบ ทันใดนั้นก็มีเสียงชายหนุ่มลอยมาจากด้านนอกรถม้า “แม่นางชิงอวี่ นายท่านสั่งไว้ว่าท่านควรเอากระถางอุ่นไว้ใกล้ตัวหน่อย หากมันไม่อุ่นแล้ว เพียงเติมหญ้าไฟวิญญาณลงไปก็ใช้ได้ ที่ใต้โต๊ะมีกล่องเล็กอยู่ แม่นางสามารถหยิบใช้หญ้าในนั้นได้เลย”
ได้ยินดังนั้นนางก็เลื่อนสายตาไป เห็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กอยู่ใต้โต๊ะ
จริง ๆ แล้วด้านในก็อุ่นพอสมควร ไม่หนาวเลยแม้แต่น้อย แต่อุณหภูมิร่างกายของชิงอวี่นั้นเย็นเยียบอยู่ตลอด
ดังนั้นแม้ด้านในจะอุ่น แต่นางก็ไม่รู้สึกอันใด เพราะนางชินแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกหนาวเช่นเดียวกัน
แต่อย่างไรก็เป็นความปรารถนาดีจากอีกฝ่าย ชิงอวี่จึงถือกระถางอุ่นไว้ในมือแล้วเอ่ยเสียงเบา “รบกวนท่าน ฝากคำขอบคุณข้าไปถึงนายท่านของท่านด้วยได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มด้านนอกเอ่ยเสียงใสพร้อมรอยยิ้ม “แม่นางไม่ต้องมากพิธี นายท่านของข้าติดค้างหนี้ชีวิตท่าน เรื่องเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไร แม่นางอย่าได้ถือสา”
ชิงอวี่จึงไม่โต้ตอบอะไรอีก
แต่เยี่ยนซีอู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับเขยิบเข้ามาถามเสียงเบา “จากบุรุษที่หอเมฆาเคลื่อนใช่หรือไม่?”
แม้จะไม่มั่นใจ แต่ในใจนางคิดว่าต้องเป็นเขาแน่ เมื่อครั้งอยู่ที่หุบเขาพญายม นางก็เห็นแล้วว่าเขาเอาใจใส่ชิงอวี่ถึงเพียงไร แม้ตอนแรกนางจะรู้สึกริษยานัก แต่ตอนนี้คงหลงเหลือเพียงความอิจฉาเท่านั้น
ชิงอวี่เลิกคิ้ว แต่ก็ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายเดาถูกเพียงตอบไปว่า “อืม”
เยี่ยนซีอู่ทำหน้าแบบคนมีชัย “อย่างที่ข้าคิดเลย” แต่ในใจนางกลับรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกมาจากที่ใด
ในหัวนางเต็มไปด้วยภาพชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเสียจนคล้ายจะไม่ใช่มนุษย์ ลึกล้ำเกินกว่าจะเข้าใจ มองเหนือทุกสรรพสิ่ง เหตุใดเขาจึงไม่มองนางสักครา แต่กลับเป็นมิตรสนิทสนมกับชิงอวี่นักนะ ทั้งใส่ใจทั้งเป็นห่วงนางถึงขนาดนี้?
นางทำปากจู๋ จากนั้นหันไปทางชิงอวี่ “เจ้าชอบบุรุษผู้นั้นหรือไม่?”
ชิงอวี่หรี่ตาลง สีหน้างุนงง “อะไรนะ?”
เยี่ยนซีอู่คิดว่านางยังไม่อยากยอมรับ “ถึงเจ้าจะไม่ชอบ แต่เขาต้องชอบเจ้าแน่”
ชิงอวี่ไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองนางนิ่งเท่านั้น
เยี่ยนซีอู่ยิ่งดูเศร้าสร้อยกว่าเดิม นิ้วเรียวลูบใบหน้าตนพลางเอ่ย “ข้าเองก็งามไม่ใช่น้อย แต่เขากลับไม่ชายตาแลข้าสักครา แล้วดูเจ้า…..”
เยี่ยนซีอู่กำลังคิดจะหาจุดด้อยของอีกฝ่าย แต่เมื่อหันมาก็พบกับใบหน้างดงามไร้ที่ติ นางก็ได้แต่เงียบไป ไม่อาจหาคำใดมากล่าวว่าได้ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “นอกจากใบหน้าที่งดงามแล้ว นิสัยเจ้าก็ไม่อ่อนหวานเย้ายวนเท่าข้า เย็บปักถักร้อย ดนตรี เดินหมาก เจ้าล้วนไม่เป็น ทั้งหมดเป็นวิชาที่สตรีชั้นสูงควรมีติดตัว แล้วเหตุใดเขาจึงมาชอบเจ้าได้?”
ชิงอวี่ “…..” หลงตัวเองเช่นนี้ต้องได้รับการรักษาแล้วกระมัง
รถม้าที่ถูกลากโดยอสูรวิญญาณระดับสูงทำให้การเดินทางนี้ดีมากอย่างคาดไม่ถึง ไม่เพียงสะดวกสบาย แต่แม้จะเดินทางบนพื้นขรุขระหรือบนทางขึ้นเขาลาดชัน แต่ก็ราวกับกำลังเดินทางอยู่บนพื้นราบ เป็นการเดินทางที่สงบสุขไร้เรื่องไร้ภัยจริง
การเดินทางสู่สำนักละอองหมอกนั้นห่างไกลนัก อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ แม้จะใช้ม้าเร็วที่วิ่งได้เร็วมากก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่ายูนิคอร์นอสนีบาตแม้ว่าจะไม่ได้วิ่งด้วยฝีเท้าที่เร็วที่สุดของมัน กลับพามาถึงตีนเขาสำนักละอองหมอกภายในเวลาไม่ถึงวันด้วยซ้ำ
มีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน โดยจะมีศิษย์สำนักละอองหมอกมานำทางพวกเขาไปเมื่อถึงเวลา โดยจะพาแยกย้ายกันไปตามโรงเตี๊ยมที่ตีนเขา ต้องรอจนกว่าจะถึงวันประลองจึงจะสามารถเดินทางเข้าสู่สำนักได้ ดังนั้นแม้จะมาถึงก่อนเวลาแต่ก็ยังไม่อาจขึ้นเขาไปได้
ที่ตีนเขามีโรงเตี๊ยมขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง สามารถต้อนรับคนหลายร้อยได้อย่างไร้ปัญหา
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวนั้นคือโรงเตี๊ยมแห่งนี้สภาพไม่ดีเท่าไรนัก เนื่องจากมันตั้งอยู่กลางป่าเขา ทั้งเครื่องเรือนต่าง ๆ และเตียงนอนหยาบกระด้างเรียบง่าย อาหารก็จืดชืดไร้รสชาติ หนุ่มสาวที่คุ้นเคยกับการสวมเสื้อผ้าชั้นดี ชินชากับความหรูหราต่างก็ไม่อาจทนกับสภาพเช่นนี้ได้ เอ่ยปากบ่นออกมาทันที
“ชิ พวกเจ้ามาเที่ยวกินลมชมบรรยากาศหรืออย่างไรกัน? ในระยะร้อยลี้ของสำนักละอองหมอกมีเพียงโรงเตี๊ยมของข้าตั้งอยู่เท่านั้น พวกเจ้าจะไม่อยู่ก็ได้ หากไม่อยู่ก็เชิญออกไปเสีย ข้าไม่ส่ง” ด้านหลังห้องโถงใหญ่ สตรีอายุราวสามสิบผู้หนึ่งในชุดเรียบง่ายเอ่ยขึ้น ใบหน้าปราศจากแป้งไม่แต้มชาด ดูเหมือนจะเป็นสตรีผู้อ่อนโยนไร้พิษภัยคนหนึ่งที่มีนัยน์ตาเฉียบคมดูมีไหวพริบเท่านั้น
นางใช้หางตาเหลือบมองคนทั้งหลายอย่างดูถูก จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากแล้วพูดขึ้น “อย่าหาว่าข้าไม่เตือน ยามราตรีที่นี่ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากหมาป่าหิวโหยเป็นฝูงและแมวป่าดุร้ายตัวใหญ่ยักษ์ กลับไปตอนนี้ยังทันหรอกนะ ไม่เช่นนั้นราตรีโรยตัวเมื่อไรจะมีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย จากนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
พริบตาต่อมา เหล่าหนุ่มสาวที่ก่อนหน้าต่างบ่นว่าด้วยความรังเกียจก็พลันพุ่งตัวเข้ามาด้านใน กลัวคนอื่นแย่งที่ได้ไปก่อน พากันตะโกนร้องเข้ามา “เถ้าแก่! ข้าพัก ขอห้องที่ดีที่สุดนะ!”
ส่วนมากก็คือเหล่าคนหนุ่มสาวที่ยังไร้ประสบการณ์กันทั้งสิ้น ยังเกรงกลัวอันตรายที่มองไม่เห็นอยู่ แน่นอนว่ายังมีคนที่หัวแข็งไม่ยอมเดินเข้ามา กระทั่งเอ่ยหยามออกมาด้วยว่า “กุเรื่องขึ้นมาเช่นนี้ ในใต้หล้าไม่ขาดคนใจดำที่หลอกเอาเงินด้วยวิธีสกปรกอยู่เลยจริง ๆ”
คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เอ่ยเสียงเบา ดังนั้นสตรีวัยกลางคนจึงได้ยินอย่างชัดเจน นางเพียงหัวเราะใส่ไม่คิดอะไรและไม่โต้ตอบ
ชิงอวี่ยืนมองภาพนั้นอยู่ด้านข้าง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไป มือเรียววางลงบนโต๊ะ เมื่อยกขึ้นก็เห็นผลึกแก้วสีเขียวชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง ขนาดเท่าไข่นก
“ขอห้องที่เงียบที่สุดสำหรับคนสี่คนด้วย”