น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยชัดเจนทุกถ้อยคำ แต่งแต้มด้วยกลิ่นอายสูงส่งและสันโดษ
สตรีผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้ามอง เห็นเป็นเด็กสาวหน้าตางดงามไร้ที่ติ ริมฝีปากยกยิ้มน้อย ๆ นัยน์ตาหงส์ยาวเอียงขึ้นมีแววยิ้ม ไม่ได้ดูเย็นชาแต่ก็ไม่เร้าอารมณ์จนเกินไป ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น นางกลับสวมเพียงชุดสีขาวบาง ๆ ชุดหนึ่ง สะดุดตาเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะใบหน้างามโดดเด่นนั่น
นางมองผลึกสีสว่างบนโต๊ะก่อนหรี่ตาลง หากจำไม่ผิด มันคือแก่นผลึกอสูรวิญญาณระดับ 6 เป็นอย่างน้อยแน่ หากนำไปปล่อยในตลาดมืดย่อมได้เงินหลายสิบล้านแน่ น่าจะเอาไปซื้อโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่กว่าของนางได้อีกหลายหลังทีเดียว
นางคิดว่าเด็กสาวคงไม่รู้มูลค่าของมัน ดังนั้นจึงนำสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ออกมาจ่ายอย่างไม่รู้เรื่องราว
แม้นางจะรักเงินตรา แต่ก็ไม่คิดอยากโกงเด็กสาวที่ไม่รู้ความเช่นนี้ นางจึงนำผลึกกลับไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม แม้จะยังลังเลอยู่เล็กน้อย แต่นางก็เลือกที่จะทำตามหลักการมากกว่าอารมณ์ “แม่นางน้อย ของนี่มีค่าเกินไป ข้าไม่มีผลึกใดที่มีมูลค่าพอมาแลกได้ เงินข้าก็มีไม่พอเช่นกัน”
ชิงอวี่ประหลาดใจเล็กน้อย นางคิดว่าเถ้าแก่ที่รักเงินเช่นนางคงจะรับไป ไม่คิดว่านางจะมีคุณธรรมนัก จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้านางยิ่งลึกล้ำขึ้นทันที “เถ้าแก่ได้โปรดรับไว้เถอะ พบกันครั้งนี้เป็นคราวดีนัก นับมันเป็นของขวัญ
สานสัมพันธ์ที่เราได้พบกันก็แล้วกัน”
เถ้าแก่หญิงชะงักไปเล็กน้อย เด็กสาวดูเหมือนคุณหนูที่ถูกเอาอกเอาใจในตระกูลร่ำรวย ไม่คิดเลยว่านางจะรู้จักรับมือคนเช่นนี้ อีกทั้งยังมีน้ำใจใหญ่โต
นางชอบคนประเภทนี้นัก
คิดได้เช่นนั้น เถ้าแก่หญิงก็ยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะรับไว้ ข้าไม่ใช่คนพูดมากความเยอะ นอกจากข้าแล้ว ที่แห่งนี้ยังมีเสี่ยวเอ้อร์อีกสี่คน ข้ามีนามว่าเฉียวเว่ย เจ้าเรียกข้าว่าพี่เว่ยก็ได้”
ชิงอวี่พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเรียกนางว่าพี่เว่ย
นัยน์ตาของเฉียวเว่ยโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวขึ้นเป็นสองเสี้ยว ริมฝีปากคลี่ยิ้ม แม้หน้าตานางจะไม่ได้งดงามจนตะลึงหรือมองแล้วยากจะลืมเลือน ทว่ายามเมื่อนางยิ้มนับว่าน่ามอง เห็นแล้วรู้สึกสบายใจ
“จินเฉียนเป้า พาเด็กสาวคนนี้ไปยังห้องที่ดีที่สุด ดูแลนางให้ดีเล่า”
เฉียวเว่ยพูดจบ ชายร่างสูงคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ใบหน้าเรียวยาวยิ้มกว้างก่อนเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “แม่นางน้อยโปรดตามข้ามาได้หรือไม่?”
ชิงอวี่พยักหน้ารับเล็กน้อย ชิงเป่ย เยี่ยนซีอู่และเยี่ยนซีโหรวเห็นดังนั้นก็เดินตามขึ้นชั้นบนไป
จนกระทั่งคนทั้งหมดหายลับตาไป คนอื่น ๆ ด้านล่างจึงดึงสติตนกลับมาได้ พลันตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “เถ้าแก่! ข้าขอห้องที่ดีที่สุดเป็นคนแรกนะ! เหตุใดท่านจึงมอบมันให้คนอื่น? ไม่รู้จักคำว่ามาก่อนได้ก่อนหรือ?!”
เสียงตะโกนดังลั่นนั้นเจือด้วยพลังวิญญาณอยู่บาง ๆ คนหลายคนได้ยินเสียงก้องนั้นไปก็ตาพร่าไปเล็กน้อย
สตรีท่าทางอ่อนแอบอบบางที่นั่งอยู่ด้านหลังแคะหูท่าทางเกียจคร้าน เลื่อนสายตาเรียบเรื่อยไปยังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่อารมณ์ร้อน
เป็นเพียงการเหลือบมองธรรมดาเท่านั้น ทว่าชายหนุ่มที่ทำท่าโกรธเคืองเมื่อครู่กลับหุบปากสนิท ทั้งยังถอยกายไปก้าวหนึ่งไม่ทันรู้ตน
นัยน์ตาของนาง….. น่ากลัวเกินไปแล้ว
เฉียวเว่ยคลี่ยิ้มไม่เจอแววยิ้ม ยกมุมปากโค้งขึ้นแล้วเอ่ย “ข้าคุมที่นี่ ข้าย่อมเลือกได้ว่าจะให้ใครอยู่ห้องไหน เจ้าไม่เห็นหรือไรว่าเด็กสาวผู้นั้นมีมารยาทดีเพียงใด? ข้าชื่นชอบนางนัก ส่วนพวกเจ้าข้าไม่อยากจะชายตาแล จะไปหรือจะจ่ายราคาเป็นสองเท่าก็แล้วแต่พวกเจ้า”
“ท่าน….. ท่านนี่เกินไปแล้ว! นี่ควรจะเป็นที่พักที่สำนักละอองหมอกจัดหามาให้พวกเรา แต่ท่านไม่เพียงไล่พวกเราออกไป ยังจะคิดค่าห้องถึงสองเท่า ไม่กลัวถูกสำนักละอองหมอกลงโทษหรือ?” คนผู้หนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความไม่พอใจ
เฉียวเว่ยกะพริบตาไม่รู้ความ เอ่ยขึ้นราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องตลก “ลงโทษหรือ? ก็ลองดูสิว่าใครในสำนักละอองหมอกจะกล้า?”
คำกล่าวท้าทายทำให้คนอื่น ๆ นิ่งเงียบไปไม่อาจทำอะไรได้ ใจจริงพวกเขาคิดอยากซัดหญิงใจกล้าคนนี้เพื่อสั่งสอนบ้างเสียหน่อย แต่นางไม่เพียงมีพลังบำเพ็ญลึกล้ำจนยากจะคาดเดา ชายที่ยืนอยู่ข้างกายนางทั้งบึกบึนคล้ายหอสูงที่ไม่มีใครเคลื่อนได้ แค่ยืนนิ่ง ๆ ตรงนั้นก็ข่มขู่จนพวกเขาไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้ มองอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่น่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
หากไม่ระวังก็อาจเหมือนเป็นการเอาหัววิ่งชนกำแพงเหล็ก ที่จะเสียหายมากกว่าได้รับ พวกเขาไม่อาจก่อเรื่องที่นี่ได้ ไม่เช่นนั้นก็ลืมเรื่องการประลองเข้าสำนักละอองหมอกไปได้เลย จึงทำได้เพียงกล้ำกลืน จ่ายเงินสองเท่าของราคาเดิมเพื่อพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เท่านั้น
ชิงอวี่มองภาพทั้งหมดด้วยความขำขัน จากนั้นเดินกลับเข้าห้องไป
แม้สภาพในโรงเตี๊ยมจะหยาบไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ไหว เตียงทำจากกระดานไม้เนื้อแข็ง เยี่ยนซีอู่และเยี่ยนซีโหรวที่คุ้นชินกับการนอนบนที่นอนนุ่มและผ้าห่มนิ่มรู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง
แต่เคราะห์ดีที่หลังจากกลับมาจากหุบเขาพญายม และหลังผ่านการฝึกมานาน พวกนางจึงพอทนความยากลำบากได้บ้าง พวกนางจะพักที่นี่เพียงสองวัน ไม่นานก็กลับแล้ว
“ชิงอวี่ เรื่องเถ้าแก่…..” หลังจากจัดของในห้องสักพักแล้ว เยี่ยนซีโหรวก็นั่งลงบนเตียงแล้วถามขึ้น นางเป็นคนที่มีความคิดความอ่านละเอียด ย่อมสังเกตเห็นว่าชิงอวี่จงใจสานไมตรีกับสตรีผู้นั้น
แม้จะไม่อาจพูดได้เต็มปากว่านางเข้าใจชิงอวี่ แต่นางก็รู้ว่าเด็กสาวมีท่าทีอบอุ่นเพียงเปลือกนอก ภายในเย็นชา สันโดษลึกถึงกระดูก อีกทั้งยังเย่อหยิ่งไม่น้อย นางทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผล
ส่วนเยี่ยนซีอู่ไม่คิดมากไร้กังวล ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรเลย
โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ในสถานที่เปลี่ยวร้างห่างไกลเช่นนี้ ทำให้สงสัยจริง ๆ ว่าอยู่รอดมาได้อย่างไร อีกทั้งนอกจากเถ้าแก่แล้วยังมีคนอยู่เพียงสี่คน หากเจอพวกโจรเข้าก็คงไม่อาจสู้ได้ ไม่ต้องกล่าวเลยว่ามาเปิดกิจการในป่าเช่นนี้แล้วรอดมาได้อย่างไร
แต่เมื่อมองดี ๆ แล้ว คนเหล่านั้นดูไม่มีใครธรรมดา ดั่งเช่นที่เห็นภายนอกเลยสักคน
ชิงอวี่หัวเราะก่อนมองคนอื่น ๆ “เอาเถอะ นี่ก็เกือบค่ำแล้ว พวกเจ้าก็ระวังตัวไว้หน่อยเถอะ อย่าหลับลึกเกินไป”
คำพูดนางกำกวมอยู่เล็กน้อย แต่ทุกคนเคยชินกับการเชื่อคำพูดนาง ไม่ถามอะไรอีก ทำเพียงนอนหลับตานิ่ง ๆ แต่ไม่ยอมถอดเสื้อตัวนอกออก
ยามราตรีโรยตัว อากาศปลายฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นนัก โดยเฉพาะในโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่กลางป่ากลางเขาเช่นนี้ มันหนาวเสียจนไม่อาจข่มตาหลับ กระทั่งซุกตัวในผ้าห่มหนาก็ไม่ช่วยอะไร ต้องใช้พลังวิญญาณมาช่วยทำให้อุ่นได้สักหน่อย มองออกไปก็เห็นเพียงแสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา หากแต่มองแล้วกลับเห็นน้ำแข็งบาง ๆ เริ่มก่อตัวขึ้น
เยี่ยนซีอู่ไม่ได้กินข้าวเย็น นางกินเพียงหมั่นโถวเนื้อหยาบสองก้อนและอาหารหน้าตาดูไม่น่ารับประทานไปไม่เท่าไร เพราะแค่มองนางก็ไม่อยากกินแล้ว ดังนั้นจึงมุดตัวหลับอยู่ในผ้าห่ม
แต่ตอนนี้ความหนาวเย็นปลุกนางให้ลืมตาตื่น อีกทั้งท้องยังร้องไม่หยุด หิวจนไม่อาจหลับลงได้ ตอนนี้ก็มานึกเสียใจ อย่างน้อยเมื่อตอนเย็นนางน่าจะกินอะไรไว้บ้าง แต่แม้ตอนนี้อยากได้หมั่นโถวสักก้อนก็คงกัดไม่เข้าแล้วกระมัง
ชิงอวี่ไม่ได้หลับ นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงครวญเบา ๆ เคล้าเสียงถอนหายใจจากเยี่ยนซีอู่จึงลืมตาขึ้นถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยนซีอู่ไม่คิดว่าชิงอวี่จะพูดขึ้นมา สะดุ้งตัวโยน จากนั้นเอ่ยเสียงอาย ๆ ว่า “ข้า ข้าหิวนิดหน่อยน่ะ”
ชิงอวี่โยนผลผิงกั่ว[1]สีแดงให้นาง “กินนี่เสีย”
เยี่ยนซีโหรวรับมันมา เอ่ยถามเสียงฉงน “เจ้าไปเอามาจากไหนกัน?”
“เถ้าแก่มอบให้ข้า หากเจ้าหิว ข้ายังมีอีก”
เยี่ยนซีอู่มองไป เห็นจานใส่ผลผิงกั่วตั้งอยู่บนโต๊ะ ทั้งผลใหญ่และสีแดงจัด ข้าง ๆ ยังมีจานขนมอีกด้วย
เห็นแล้วก็ประหลาดใจ “เถ้าแก่ดูท่าทางรักเงินยิ่งชีพ แต่นางกลับเตรียมของเหล่านี้ไว้ให้ทุกห้อง คงคิดเป็นเงินมากอยู่กระมัง!”
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น “มีแค่ในห้องเราต่างหาก”
เยี่ยนซีอู่ยิ่งฉงนสงสัยกว่าเดิม “เจ้ารู้จักนางดีหรือ?”
ชิงอวี่ส่ายหัว “เงินคือทุกอย่าง นางรับแก่นผลึกจากอสูรวิญญาณระดับ 6 จากข้าไป ย่อมต้องดูแลเราเป็นอย่างดี”
เยี่ยนซีอู่กัดผลผิงกั่วดังกร้วมแล้วเคี้ยว “เจ้า กร้วม ๆ ฉลาดไม่น้อยเลย”
ชิงอวี่เพียงยิ้ม ไม่ตอบอะไรอีก หลังจากเยี่ยนซีอู่กัดผลผิงกั่วไปครึ่งลูกแล้ว เยี่ยนซีอู่ก็หยุด แล้วเรียกนางขึ้น “ชิงอวี่”
ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองนางอีก “หืม?”
เยี่ยนซีอู่กัดผลไม้ในมืออีกคำ เคี้ยวเสียงกร้วม ๆ แล้วกลืนลงไปแล้วครุ่นคิดว่าจะเอ่ยออกมาอย่างไรดี นานทีเดียวกว่านางจะพูดขึ้นว่า “แต่ก่อนข้าอาจไม่ได้ดีกับเจ้านัก เจ้าก็รู้นิสัยข้าดี เอาแต่ใจไร้เหตุผล แต่ใจจริงข้าก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร”
ชิงอวี่ไม่คิดว่าจู่ ๆ นางจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา จึงทำเพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบ “อืม”
“แต่ก่อนข้ารังแกเจ้ากับเสี่ยวเป่ย เพราะเยี่ยนหนิงลั่วรังแกข้ากับพี่รองตลอด ใช้ฐานะคุณหนูใหญ่และฐานะองค์หญิงของนางมารังแกพวกข้า แม้จะไม่ได้รังแกถึงขั้นทำร้ายด้วยวาจาหรือร่างกาย แต่นางมักจะข่มเหง ทำให้พวกข้าอับอายอยู่ตลอด เพื่อให้นางดูมีภาพลักษณ์ที่เหนือและสูงส่งกว่า” เยี่ยนซีอู่กัดผลผิงกั่วอย่างแรงเพื่อระบายความโกรธภายในใจ
“ข้ารู้สึกโง่เง่านักจึงไปแกล้งพวกเจ้าต่อ ข้ารู้ล่ะว่ามันผิด แต่ข้าก็มีนิสัยเช่นนั้น ที่อารมณ์ร้อน อีกทั้งยังไม่ฉลาดมีไหวพริบ”
เยี่ยนซีอู่หยุดไปพักหนึ่ง ก่อนสายตาจะมีประกาย “แม้ใคร ๆ จะบอกว่าเยี่ยนหนิงลั่วเป็นสตรียอดอัจฉริยะของชิงหลาน ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าต่างหากที่เก่งกว่านาง อีกทั้งเจ้ายังสวยกว่า ถึงบางครั้งเจ้าจะไม่น่ารักอยู่บ้างก็ตาม ชอบแกล้งให้ข้าตกใจให้ข้าทำตัวน่าขัน แต่จริง ๆ ก็ไม่เคยทำร้ายข้าเลย อีกทั้งเจ้ายังฉลาด หากเจ้าคิดลงมือกับข้า ข้าคงตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วกระมัง เจ้าไม่ใช่สตรีเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายอย่างเยี่ยนหนิงลั่วที่เห็นตนเองเหนือกว่าคนอื่น เพื่อปิดยังไม่ให้ผู้คนรู้ว่าตนเองมีจิตใจชั่วร้ายเพียงไหน”
“บางครั้งจ้าก็คิดว่าเจ้าเป็นคนดีอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยยามข้าหิว เจ้าก็หาอะไรให้ข้ากิน อืม ข้าตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไปจะเชื่อฟังเจ้า ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าอีก”
พูดจบนางก็ก้มหัวลงอยากเคอะเขิน กลัวว่าชิงอวี่จะหัวเราะเยาะนาง
แต่ผ่านไปนานยังไร้เสียงตอบกลับ นางจึงขมวดคิ้ว หมายจะพูดบางอย่าง ชิงอวี่ก็พลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือแววขำ
“ตอนนี้เจ้าก็ทำตัวฉลาดแล้วไม่ใช่หรือไร? ข้าก็นึกว่าเจ้าจะใจดำ ไม่เห็นความดีข้าแล้วเสียอีก”
เยี่ยนซีอู่เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เจ้า…. ข้าแกล้งข้ามาตลอด แต่เจ้าไม่โกรธข้าเลยหรือ?”
ชิงอวี่ตอบกลับเสียงกลั้วหัวเราะ “อย่างเจ้าว่า หากข้าคิดลงมือกับเจ้า เจ้าก็คงตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
เยี่ยนซีอู่หน้าแดงเล็กน้อย แต่ซึ้งใจกับคำของชิงอวี่มากกว่า กระมิดกระเมี้ยนอยู่นานก่อนจะถามขึ้นมาได้ “เช่นนั้น….. เหตุใดจึงไม่ลงมือกับข้าเล่า? เป็นเพราะ….. เจ้าเองก็รู้สึกว่าข้าไม่ได้ใจดำขนาดนั้นใช่หรือไม่?”
ชิงอวี่เลิกคิ้วแล้วคลี่ยิ้มอ่านไม่ออก “จริง ๆ แล้วบางครั้งข้าก็เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนะ”
“แล้วเหตุใด…..”
นัยน์ตาหงส์แฉลบขึ้นของนางฉายแววขัน “ที่ไม่โกรธเจ้าเป็นเพราะข้ารู้สึกว่าลงมือกับคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ก็เหมือนรังแกเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งน่ะสิ”
“…..”
อย่างที่คิดเลย ความรู้สึกดี ๆ ที่รู้สึกจากเด็กสาวตรงหน้ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนี่เอง
เชิงอรรถ
ผิงกั่ว คือ แอปเปิล