นางคงจะหิวมาก เยี่ยนซีอู่กินผลผิงกั่วไปถึงสองลูกเต็ม ๆ จนรู้สึกอิ่มแล้วจึงกลับไปนอน
ทางฝั่งพวกนางเวลาดำเนินไปอย่างสงบสุขไร้เภทภัย ทว่าคนอื่น ๆ ที่พักในโรงเตี๊ยมเดียวกันนี้เพื่อมาเข้ารับการประลอง ไม่รู้ว่าเห็นภาพหลอนไปเองหรือไร แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าสภาพอากาศหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ
เดิมทีทุกคนต่างก็นอนบนเตียงตนเอง ไม่นานเตียงหนึ่งก็มีคนสองสามคนนอนเบียดกัน ผ้าห่มซ้อนหนาหลายชั้นบนร่างพวกเขา แต่ก็ยังสั่นสะท้านด้วยความหนาว กระทั่งยามรวมพลังวิญญาณในร่างก็ยังไม่ช่วย พวกเขาหนาวเย็นจนหน้าซีดไปหมด
“อีอี….. เหตุใดข้าจึงรู้สึก….. หนาวจัง…..” เด็กสาวคนหนึ่งฟันกระทบกันกึก ๆ เอ่ยถามเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่นั่งซุกอยู่กับนางเสียงสั่น
เด็กสาวนามอีอีเองก็ตัวสั่นสะท้าน เงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง “หรือหิมะจะเริ่มโปรยแล้ว…..”
ว่าแล้วนางก็คลานออกจากผ้าห่มด้วยความลำบาก ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างดู สุดท้ายก็เผลอปัดกาน้ำชาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ น้ำชาที่เหลือครึ่งกาจึงหกกระจายเต็มพื้น
พริบตานั้นเอง น้ำชาบนพื้นก็แข็งตัว จากนั้นก็มีไอเย็นกำจายออกมา
เด็กสาวทั้งสองเบิกตากว้าง ร้องเฮือกด้วยความกลัว
เด็กสาวบนเตียงร้องไห้เสียงเบาออกมา ทั้งเศร้าทั้งหวาดกลัว “ฮือ ๆ….. นี่มันสถานที่น่ากลัวอะไรกัน….. เราต้องตายอยู่ที่นี่แน่เลย…… ฮือ ๆ….. ข้าอยากกลับบ้าน…..”
“หยุดนะ หยุดร้องไห้เถอะ” อีอีเตือนเสียงเบา โบกมือคราหนึ่งก็จุดเทียนไขขึ้น ส่องสว่างอยู่ส่วนหนึ่งของห้อง แต่แสงเทียนกระพือไปมาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ดูราวกับมันสามารถดับไปได้ทุกเมื่อ
เด็กสาวหยุดเสียงสะอื้นไห้ นัยน์ตาแดงก่ำหันมองเด็กสาวอีกคน “แล้วเราจะทำอย่างไรดี?”
อีอีขมวดคิ้ว กำลังจะอ้าปากพูดก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นมาจากห้องด้านข้าง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบ จากนั้นก็มีเสียงเด็กสาวกรีดร้องขึ้นอีก “กรี๊ดดด! มีคนตาย!”
เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้ทุกคนจึงพากันตื่นตระหนก ด้วยอากาศที่หนาวเย็นเกินไปทำให้นอนไม่หลับเป็นทุนเดิม ตอนนี้มีคนถูกสังหาร เหงื่อเย็น ๆ พลันหลั่งเต็มแผ่นหลัง
เยี่ยนซีอู่เพิ่งตื่น ยังสะลึมสะลืออยู่บ้าง เห็นชิงอวี่และคนอื่น ๆ ตื่นกันหมดแล้ว นางขยี้ตาตนก่อนลุกขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือ? เหตุใดจึงเสียงดังนัก?”
“เหมือนจะมีคนตาย”
เยี่ยนซีโหรวสูดลมหายใจเข้าลึก อีกฝ่ายจะไม่คิดอะไรมากเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นคนเดียวที่ยังนอนหลับลง
“ว่าไงนะ?” เยี่ยนซีอู่เบิกตากว้าง เดิมทีนางยังรู้สึกง่วงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางตื่นเต็มตาแล้ว รีบพลิกผ้าห่มเปิดแล้วปีนลงจากเตียงทันที “เหตุใดจึงมีคนตายกะทันหันเช่นนี้? พวกเราไปดูดีหรือไม่?”
“อืม พวกเรากำลังจะปลุกเจ้าอยู่พอดี” ชิงอวี่เอ่ย เหลือบมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย
เยี่ยนซีอู่เห็นแล้วก็ลูบจมูกตนเอง เขินอายอยู่เล็กน้อย
เหตุการณ์เกิดขึ้นในห้องในสุดของชั้นสอง ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นั่น ที่หน้าห้องมีคนออกันเต็ม มีเสียงถกเถียงเกรี้ยวกราดดังมาจากภายใน
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เมื่อครู่นี้ยังสบายดีอยู่ แล้วจู่ ๆ จะตายได้อย่างไรกัน!”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า? ข้าหนาว ว่าจะไปต้มชาสักหน่อย พอจุดเทียนก็เห็นเขานั่งจ้องข้าอยู่บนเตียง ทั่วเตียงมีเลือดโชกเต็มไปหมดแล้ว”
“เจ้ามองข้าเช่นนั้นทำไม? อย่าบอกนะว่าเจ้าสงสัยว่าเจ้าสังหารเขา? พวกเราไร้ความแค้นต่อกัน เหตุใดข้าต้องสังหารเขาด้วย!?”
“ก็วันนี้พวกเจ้าสองคนยังทะเลาะถกเถียงกันอยู่เลย หากไม่ใช่เพราะทุกคนดึงตัวพวกเจ้าไว้ก็คงกระโดดไปตีกันแล้ว!”
“ล้อกันเล่นหรือไร! เจ้าหมอนี่อารมณ์ร้ายนัก สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาล่วงเกินใครไปบ้างระหว่างเดินทางมาที่นี่ เหตุใดจึงมาสงสัยข้าเล่า? เขาเองก็ทะเลาะกับเถ้าแก่หญิงของโรงเตี๊ยมนี้เลยไม่ใช่หรือไร เหตุใดเจ้าไม่บอกว่านางแค้นแล้วออกมาสังหารเขายามดึกบ้างเล่า?!”
เมื่อได้ยินเสียงถกเถียงดังลั่นเข้า คนอื่น ๆ จึงรู้ทันทีว่าคนตายคือชายหนุ่มอารมณ์ร้อนร่างกายบึกบึนผู้นั้นที่พวกเขาได้เห็นเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง
ฝูงคนแหวกทางเล็กน้อย เผยให้เห็นภาพด้านใน เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง ช่วงร้องมีรูขนาดใหญ่ ทั่วเตียงชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ทั้งยังกระเซ็นเลอะถึงพื้น เป็นภาพน่ากลัวนัก
คนในฝูงชนเอ่ยเสียงกระซิบขึ้น “น่าสงสารจริง แค้นเคืองอะไรกันมากมายหนอ…..”
“เฮ้อ น่าแปลกใจนัก เขาอารมณ์ร้อนเช่นนี้ ไม่ยั้งคำพูดแม้แต่นิด อาจจะบาดหมางกับใครมาก่อนเข้าไม่ทันรู้ตัว ตอนนี้จึงโดนกรรมสนองเข้าเช่นนี้”
“แต่มันก็โหดร้ายเกินไปแล้ว! บาดแผลที่หน้าท้องดูไม่เล็กเลย อีกทั้งยังตายตาไม่หลับ ตอนสิ้นใจคงทรมานมาก”
“ประสบภัยเพราะปากจริง ๆ!”
ได้ยินคนอื่น ๆ พูดกันเช่นนี้ ดูท่าต่างคนต่างตัดสินไปแล้วว่าฆาตกรคือเด็กหนุ่มที่ยืนโต้เถียงเสียงดังอยู่ในห้องนั้น
ชิงอวี่ยืนอยู่ด้านหลังทุกคน เหลือบมองเด็กหนุ่มที่ตายตาไม่หลับ นัยน์ตาทะมึนลงเมื่อเห็นว่าบาดแผลนั้นผิดปกติ ขอบแผลไม่เรียบ ดูเหมือนจะเกิดจากอาวุธแหลมคม
ราวกับว่า….. มีบางอย่างทะลวงช่องท้องเขาและกัดทะลุร่างออกมา
“เจ้า….. พวกเจ้าจะกล่าวหาเลื่อนลอยเช่นนี้ไม่ได้!”
นัยน์ตาเด็กหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรแดงก่ำ หลายคนชี้นิ้วตราหน้าเขาเช่นนี้ แม้เขาจะกลัว แต่ก็ยังกัดฟันสู้ ไม่ยอมก้มหัวโดยง่าย
“หลานอวี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?” พลันมีเสียงอ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น ด้านหลังนางมีขนจิ้งจอกขาวพาดอยู่ จากนั้นร่างบางของนางก็เดินเข้ามา
เด็กสาวงดงามนัก ดวงหน้าเล็กเกือบเท่าหนึ่งมือเย้ายวนมีเสน่ห์ ดูอ่อนแอเปราะบาง
เด็กหนุ่มราวกับได้เห็นผู้ช่วยชีวิต น้ำเสียงสะอื้นขึ้นคอ “อีอี ข้าไม่ได้สังหารใครนะ”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ได้ทำ” อีอีเอ่ยปลอบ ตวัดสายตาไปมองคนที่กล่าวหาหลานอวี่ “เจ้ามีหลักฐานอะไรจึงกล่าวหาว่าหลานอวี่สังหารเขา?”
“เมื่อก่อนหน้านี้เขาเกือบทะเลาะกับเฉิงฮุย คนอื่นก็เห็น ไม่นับว่าเป็นหลักฐานที่แน่นหนาพอหรือ?” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
“หากไม่ได้เห็นกับตาก็อย่ากล่าวหาผู้อื่นตามใจชอบ” อีอียังคงมีสีหน้าเย็นชา นางเป็นสาวน้อยเปราะบางดูอ่อนโยน แต่ยามมีใบหน้านิ่งเฉยเย็นชาแล้วกลับน่าข่มขวัญไม่น้อย
เด็กหนุ่มได้ยินแล้วก็โกรธ เอ่ยขึ้นเสียงท้าทาย “เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าหมอนั่นรึไง? ผู้หญิงอย่างเจ้า อย่ามาสอดเรื่องของบุรุษเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นเชิญปัญหาเข้าตัวเสียเปล่า ๆ”
“หลานอวี่เป็นสหายของข้า ข้ารู้จักเขาดี แม้เขาจะหุนหันไปบ้าง แต่ก็มีจิตใจดี ไม่มีทางสังหารคนเพราะคำพูดไม่ดีเพียงไม่กี่คำแน่นอน แต่คุณชายท่านนี้แตกต่างกัน พวกท่านทุกคนเห็นแล้วว่าเขาพยายามบีบให้หลานอวี่เป็นฆาตกรให้ได้ ชักจูงทุกท่านไปอย่างผิด ๆ พยายามทำให้ทุกท่านคิดว่าหลานอวี่เป็นคนสังหาร”
“สตรีนางนี้จะไร้เหตุผลไปแล้ว เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น?” อีกฝ่ายโต้กลับด้วยโทสะ
อีอีคลี่ยิ้ม “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหลานอวี่เล่า?” จากนั้นก็ตวัดสายตามองคนรอบตัว “ทุกท่านต้องอย่าลืมว่าเรามาพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้หนึ่งวันหนึ่งคืน หากมีคนก่อปัญหาขึ้นก็จะไม่อาจเข้ารับการทดสอบสำนักละอองหมอกได้ ข้าเองถ้าสามารถกำจัดคู่แข่งออกไปได้สักคนก็คงจะดีมากนัก”
จากนั้นนางก็หันไปหาเด็กหนุ่มที่ยังหน้าซีดอยู่เล็กน้อยก่อนกล่าว “หลานอวี่ มากับข้า ที่ห้องเรามีเตียงว่างหลังหนึ่ง เจ้าไปนอนที่นั่นก็ได้”
เมื่อจากบ้านจากเรือนมาแล้ว พวกเขาไม่อาจเคร่งครัดขนบธรรมเนียมมากนัก ดังนั้นบุรุษสตรีนอนใต้หลังคาเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกตา
แต่มีคนตายเชียว พวกนางจะทำราวกับไม่มีเรื่องอะไรเลยงั้นหรือ?
“พวกเจ้าหยุดก่อน!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง “แล้วเจ้าไม่คิดจะอธิบายเรื่องราวให้คนอื่น ๆ ฟังหน่อยหรือ?”
อีอีชะงักฝีเท้า จากนั้นค่อย ๆ กันมา สายตานางเรียบเรื่อยไร้อารมณ์ “หลานอวี่ไม่ได้สังหารเขา ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร อีกทั้งคนตายไม่ใช่พี่น้องหรือพ่อแม่เจ้า ดังนั้นก็ไม่มีใครต้องอธิบายอะไรให้เจ้าฟังเช่นกัน”
ทุกคนอึ้งพูดไม่ออก เพราะมันก็อย่างที่นางว่าจริง พวกเขาไม่อาจหาจุดเถียงได้เลย
อีกฝ่ายทำท่าอยากเถียงต่อ หากแต่อีอีหันกลับไปมองเขาสายตาทะมึน “แม้หลังจากเข้าสำนักแล้ว ฐานะหรือตำแหน่งใดจะไม่มีค่าอีก ทว่า….. ตระกูลหมิงแห่งชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าทั้งหลายจะรังแกได้ตามใจชอบ”
เมื่อนางกล่าวคำออกมา ทุกคนก็พากันตื่นตะลึง
มิน่า เด็กสาวที่ดูอ่อนแอแบบบางเช่นนางจึงมีกลิ่นอายน่าสนใจ ที่ไม่อาจมองเมินไปได้ เป็นเพราะนางมาจากชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณอันลึกลับนี่เอง
เพราะคนจากชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณจะฝึกฝนวิชาวิญญาณเป็นหลัก ดังนั้นจึงมีพลังจิตแข็งกล้ามาก ได้ยินว่าคนในเผ่านี้มีสองสาย ยิ่งจิตเข้มแข็งร่างกายยิ่งเปราะบาง แต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน ยังมีคนจำนวนน้อยที่ไม่ว่าจิตจะแข็งเพียงไร ร่างกายก็ไม่ได้รับผลกระทบ
แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวคนนี้สุขภาพไม่ได้แข็งแรงมากนัก สีหน้านางติดจะซีดไปสักหน่อย
จนกระทั่งนางเดินไปไกล คนทั้งหลายจึงเริ่มส่งเสียงอื้ออึง ส่วนเด็กหนุ่มที่ตายก็ไม่มีใครใส่ใจสาเหตุการตายอีก อย่างไรก็ไม่ใช่คนสำคัญ ทั้งยังล่วงเกินผู้อื่น ดังนั้นตายไปก็ไม่มีใครเสียอะไร ในใต้หล้านี้มีคนตายทุกวัน คนไร้ความสามารถเช่นเขาตายไปก็นับว่าสมควร
ชิงอวี่หันไปมองทิศที่เด็กสาวเดินจากไปด้วยความสนใจ ชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ ได้พบกันเช่นนี้ก็กระตุ้นต่อมสงสัยนางได้แล้ว
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่หลังจากกลับมาในห้องครานี้ ต่างก็ไม่รู้สึกหนาวเย็นอีกต่อไปแล้ว คนทั้งหลายต่างซุกตัวลงในผ้าห่ม ความอบอุ่นเริ่มกลับคืนมา ทำให้หนุ่มสาวทั้งหลายที่นอนไม่หลับรู้สึกดีนัก ในที่สุดก็ได้นอนอย่างไม่ต้องกลัวว่าจะหนาวตายเสียที
เมื่อกลับมาถึงห้อง ชิงอวี่เดินรั้งท้ายกลุ่มคน พลันได้ยินเสียงว่าเด็กสาวผู้นั้นพักอยู่ห้องตรงกันข้ามกับพวกนางพอดี จึงได้ยินเสียงพูดคุยของนางดังมาจากในห้อง
“อีอี ดีใจจริง ๆ ที่เจ้ามา ไม่เช่นนั้นข้าก็คงถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรไปแล้ว” เป็นเสียงหลานอวี่
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก จำไว้เป็นบทเรียนก็แล้วกัน อย่าได้หุนหันพลันแล่นอีก ไม่เช่นนั้นหากถูกหลอกใช้อีกข้าจะไม่ช่วยเจ้าแล้ว” อีอีเอ่ยด้วยเสียงเพลียใจอยู่เล็กน้อย
หลานอวี่หัวเราะซื่อ ๆ ออกมา “ก็ใครใช้ให้เจ้าฉลาดนัก เวลาอยู่กับเจ้าข้าแทบไม่ได้ใช้สมองเลยเล่า? แต่ว่านะอีอี เจ้านี่เก่งจริง ๆ เจ้าเป็นเด็กสาวอายุน้อยกว่าข้า แต่มีท่าทางน่าเกรงขามเช่นนั้น คนพวกนั้นคงเกรงกลัวเจ้าไม่น้อย”
“คนจากชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณต้องไม่ถูกคนอื่นรังแกโดยง่าย เจ้าต้องจำไว้ให้ดี” อีอีเอ่ยเสียงมุ่งมั่น จากนั้นก็พลันส่งเสียงไออู้อี้ออกมา ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจหนักหน่วงอยู่นานกว่าจะเงียบเสียงลง
“อีอี เป็นอะไรหรือไม่? ไม่สบายตรงไหนหรือ? เชียนอวิ๋น ไปเอายามาเร็ว…..”
“แค่ก ๆ….. ไม่….. ไม่มีประโยชน์หรอก เดี๋ยวข้าก็ดีขึ้นเอง” อย่างนางว่าไว้ ชั่วอึดใจหนึ่ง ทั้งเสียงไอและเสียงหอบหายใจก็หยุดลงในที่สุด