นที่ 49 การแทรกซึมภายในนครศักดิ์สิทธิ์

ขณะที่ฟาร์มากับเอเลนกำลังสังเกตโบสถ์อยู่ด้านนอก ก็มีคนเดินออกมา

เธอนั้นถือเป็นหนึ่งในผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดผู้หนึ่ง โดยจะสามารถเห็นเธอได้เป็นประจำ ทั้งสองจึงเรียกเธอมาหา

“อ้า ท่านเจ้าของร้านขายยาต่างโลก ท่านบอนฟัวก็ด้วย”

หญิงชราผู้นั้นเป็นลูกค้าประจำของทางร้านเธอจะจำหน้าฟาร์มาได้ก็ไม่แปลก

แน่นอนว่าเอเลนก็เช่นกัน

“สวัสดีครับ ว่าแต่หัวหน้านักบวชคนก่อนหายไปไหนแล้วครับเนี่ย?”

“อ๋อ เขาเปลี่ยนกันเมื่อตอนสัปดาห์ก่อนน่ะ”

“เพราะอะไรเหรอครับ?”

“จากที่ฉันได้ยินมาก็คือหัวหน้านักบวชคนก่อนเค้าโดนจับไว้ที่นครศักดิ์สิทธิ์ในข้อหากบฏน่ะ…ลือกันว่าตอนนี้อยู่ในคุกของที่นั่นด้วย หลังจากนั้นหัวหน้านักบวชคนใหม่ก็ถูกส่งมาแทนจากทางมหาวิหารโดยตรงเลย”

แต่ก็อย่าลืมนะ นั่นเป็นแค่ข่าวลือ หญิงชราเตือนพวกเขาด้วยเสียงต่ำๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมา

น่าละอายจริงๆ ที่ตัวฉันมองว่าหัวหน้านักบวชคนก่อนเป็นคนดี

“แล้วข้อหานี่คืออะไรเหรอครับ?”

ฟาร์มาถามต่อ

“คือ…ถ้าเรื่องนั้นละก็…”

แต่ดูท่าตัวเธอก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน

“ถ้าพูดถึงการกบฏ แล้วย่อมเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าการทรยศอีกนะ เรียกว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงเลยก็ว่าได้ การลงโทษคงจะไม่พ้นการประหารชีวิต แล้วก็ปิดชีพจรแห่งเทพอีกด้วย”

เป็นเรื่องที่หนักหนามาก เอเลนพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง

“ผมคิดว่า…บางทีอาจจะเป็นเพราะผมก็ได้นะ”

ฟาร์มาพูดออกมาด้วยความลังเลกับความรู้สึกในใจตน

ชื่อเสียงของเขานั้นดังไปทั่วจักรวรรดิ ไม่น่าแปลกใจเลยหากข้อมูลเหล่านี้จะไปเข้าหูของนครศักดิ์สิทธิ์เข้า

เอเลนนั้นรู้ว่าซาโลม่อนเป็นคนที่คอยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลไปได้ แต่ข่าวลือนั้นยังไงก็มิอาจห้ามได้ และด้วยเหตุนี้คงจะถึงเวลาที่เขาไม่สามารถปิดต่อไปได้แล้ว

“ตั้งแต่ช่วงที่มีคำสั่งเกี่ยวกับกรณีของ เด็กชายผู้ไร้เงานั่น”

“ไม่ทันจะรู้สึกตัวเลยนะ…”

เอเลนคิดว่านั่นเป็นแค่เพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นที่นครศักดิ์สิทธิ์จะเจอตัวฟาร์มา แต่เธอคิดว่าเรื่องของซาโลม่อนอาจจะไม่ได้มาจากเหตุนั้นก็ได้

“ถึงจะบอกเป็นโทษประหารแต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในจุดนั้นด้วยไม่ใช่หรือไง? พวกเขาเป็นองค์กรทางศาสนาไม่ใช่หรือไง?”

ฟาร์มาคิดว่าแบบนั้นมันโหดร้ายเกินไปหน่อย

“นครศักดิ์สิทธิ์มีการแบ่งสังคมเป็นชนชั้น หากเกิดการทรยศเช่นนี้ขึ้น ยิ่งเป็นนักบวชที่สามารถควบคุมการเปิดปิดของชีพจรแห่งเทพด้วยแล้ว โทษที่ตามมาคงหนักกว่าเดิม”

พอได้ยินแบบนั้น ฟาร์มาก็เอามือไปจับคทาแห่งเทพโอสถที่อยู่บริเวณสะโพกของเขา

“บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นสาเหตุของการได้รับโทษก็ได้นะ….การทำสมบัติลับแสนล้ำค่าหายถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงด้วย”

จนจะใช้คำว่าเป็นกบฏก็ได้เช่นกัน

สิ่งที่อยู่ในมือของเขานั้นคือคทาแห่งเทพโอสถซึ่งกุมพลังแห่งเทพเอาไว้ ไม่เพียงแค่เป็นตัวผ่านพลังของฟาร์มาแต่ยังเสริมประสิทธิภาพให้อีกด้วย เป็นหนึ่งเดียวไม่มีอะไรมาแทนได้จากการทนพลังของเขาได้ ดังนั้นแล้ว หากฟาร์มาจะบอกว่าไม่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเรื่องโกหก

ถึงจะเป็นเช่นนั้น ฟาร์มาก็ยังคงสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพโดยไม่มีคทาได้อยู่ดี ดังนั้นหากมันช่วยให้ซาโลม่อนถูกปล่อยตัว ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่านั้นอีกแล้ว

ฟาร์มาเลิกที่จะคิดอะไรให้มากความแล้ว

“ผมจะเอาคทานี้ไปคืนให้กับทางโบสถ์ คุณซาโลม่อนให้ผมยืมมาก็จริง แต่นั่นอาจจะทำให้เขาถูกตั้งข้อหาว่าทำหายก็ได้”

“แต่นายก็ไม่สามารถใช้คทาเล่มอื่นได้เลยนะจะดีเหรอ ไม่น่าเสียดายออกเหรอ จากนี้จะได้ใช้แบบฟรีๆ ไปเลยนะ?”

เอเลนแอบเกิดลังเลว่าควรจะคืนมันไปดีไหม

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น การจะปฏิเสธว่าตนไม่ได้ขโมยของมาจากนครศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เป็นเรื่องยาก

“ที่ผมมีมันได้ก็เพราะความใจดีของคุณซาโลม่อน แต่เพราะผมไม่รู้ว่านครศักดิ์สิทธิ์คิดยังไง จึงบอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่ควรไหมสำหรับการที่ผมถือคทานี้อยู่ ดังนั้นผมจะนำมันไปคืนแลกกับการปล่อยตัวคุณซาโลม่อน

ฟาร์มาคิดจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปข้างในโบสถ์นั้น

บรรยากาศภายในนั้นช่างแตกต่างกับตอนที่ซาโลม่อนอยู่

“ความรู้สึกที่ไม่ควรเข้าไปข้างในคนเดียวนี่มัน…”

เอเลนพูดออกมาตอนตามฟาร์มาเข้าไป

เมื่อฟาร์มาเหยียบลงบนพื้นโบสถ์ พื้นก็ได้ส่องแสงสีขาวอมน้ำเงินออกมา

เมื่อใดก็ตามที่โบสถ์ตรวจพบพลังของฟาร์มาเขตแดนของมันนั้นก็จะกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทันที

“เอ๋-?”

เอเลนตกใจจนพูดไม่ออกเพราะไม่คิดว่าโบสถ์จะตอบสนองต่อพลังของ

ฟาร์มาได้

“โบสถ์ตอนนี้มันสุดยอดขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย?”

“นั่นสินะ หากเป็นแบบนี้ไม่ว่าจะซ่อนยังไงก็คงไม่ไหวอยู่ดี.…”

เอเลนที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ครั้งแรก เธอจึงตกใจกับท่าทีของฟาร์มา

ไม่ได้สนใจในปฏิกิริยาของเธอ ฟาร์มาได้มองไปรอบๆ เพื่อหาหัวหน้านักบวช พอได้ยินว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ฟาร์มาก็เลยเดินตรงไปยังห้องทำงานโดยมีเอเลนคอยเดินตามไป

แสงไฟลอดออกมาจากประตูในห้องทำงาน

ดูเหมือนหัวหน้านักบวชจะอยู่ข้างในนั้น

แล้วฟาร์มาก็รวบรวมเสียงเรียกเขาออก

“สายัณห์สวัสดิ์ครับ ขอโทษที่มารบกวนตอนทำงานนะครับ แต่ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยน่ะครับ?”

“มีอะไรกันนะ?”

หัวหน้านักบวชคนใหม่เดินออกมาจากประตู พร้อมกับคทาห้อยอยู่ที่หลังของเขา

ฟาร์มามีความระวังตัวยิ่งขึ้นจากบรรยากาศของโบสถ์

เปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นจากศาสตร์แห่งเทพนั้นก็ได้ลุกโชนอยู่ข้างๆ ประตูนั้น

ตัวหัวหน้านักบวชพอออกมาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะหลังจากที่เขาเห็นฟาร์มากับคทาเล่มนั้น รวมไปถึงแสงสว่างที่พื้นโบสถ์แล้ว เขาก็ยิ้มกว้างออกมา

“ที่แท้ก็ท่านนี่เอง เช่นนั้นผมจะขอกล่าวอะไรสักหน่อยนะครับ เป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้พบกับท่าน”

หัวหน้านักบวชคนใหม่นั้นเป็นชายวัยกลางคนสวมแว่นดำ

“ยินดีที่ได้พบครับ ผมชื่อคอมพ์ เป็นหัวหน้านักบวชคนใหม่ เป็นเกียรติที่ได้รับใช้ท่านเทพโอสถ”

“ผมชื่อ ฟาร์มา เดอ เมดิซิสครับ ไม่ใช่เทพโอสถ เพราะผมคิดว่าพวกคุณอาจจะกำลังหาตัวผมอยู่หรือเปล่า ผมก็เลยมาที่นี่ เพื่อขอโทษสำหรับการนำสิ่งนี้ออกไปเสียนานเลยครับ”

เขาได้คืนคทาให้กับคอมพ์ด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ดูเหมือนคอมพ์จะไม่ได้รับมันไว้

ก่อนเขาจะพูดขึ้นมาว่า

“ต้องขออภัย แต่ท่านช่วยนำมันไปส่งคืนให้กับทางมหาวิหารโดยตรงได้หรือไม่ เพราะพวกเราคงไม่สามารถรับมันไว้ได้”

คำพูดของคอมพ์ทำให้ฟาร์มารู้สึกแปลกๆ

“ขอโทษนะคะ มหาวิหารนี่หมายถึงที่นครศักดิ์สิทธิ์น่ะเหรอ?”

เอเลนถามกับคอมพ์ เพราะมันคงจะไม่สะดวกกับฟาร์มาที่ไม่สามารถออกจากเมืองหลวงนี้ได้ง่ายๆ แน่

“คือคุณอาจจะไม่สามารถถือมันได้ก็จริงแต่ถ้าเรามีฝักคลุมให้กับมันไม่ว่าใครก็สามารถถือได้ครับ ดังนั้นจะคืนที่นี่เลยไม่ได้เหรอครับ?

เพราะดูเหมือนคทานี้จะมีความสามารถแทรกซึมสารอินทรีย์ ผู้คนจึงไม่สามารถใช้หรือจับมันได้โดยตรง แต่ฟาร์มารู้ว่าหากนำใส่กล่องอนินทรีย์หรืออย่างอื่นไว้ ก็ไม่มีปัญหาเหมือนตอนที่ซาโลม่อนนำมันใส่กล่องมาให้เขา แถมแน่นอนว่าฟาร์มาก็ไม่ได้ถือมันไว้เสมอบางทีก็ห้อยไว้ที่เอว บางทีเขาก็เอาไปไว้บนหิน ไม่ก็พิงไว้ข้างเตียงก็ยังมี

“ถึงจะเป็นเช่นนั้น ผมก็อยากจะให้ท่านเดินทางโดยตรงไปยังนครศักดิ์สิทธิ์เพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับมหาวิหารครับ”

ฟาร์มารู้สึกไม่ดีกับคำว่า มหาวิหาร เพราะซาโลม่อนเคยบอกไว้ว่าเขาอาจจะถูกคุมตัวไปเลยก็ได้ หากรู้ว่าฟาร์มาเป็นเทพโอสถ นอกเหนือจากเรื่องกรณีเทพโอสถ หากเขาเดินทางไปที่นั่นอาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากหลายๆ อย่างขึ้น เป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะไปนัก

“ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะที่จะให้เขาไปนครศักดิ์สิทธิ์ทั้งแบบนั้นเลย ไหนจะเรื่องงานอีก……”

เอเลนที่คิดว่ามันน่าสงสัยเกินไป ก็พยายามปฏิเสธให้

“จะว่าไปผมอยากจะเจอกับคุณซาโลม่อนด้วยครับ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ ผมเจอกับเขาที่นี่ได้หรือเปล่า?”

ฟาร์มาเลือกใช้คำพูดของเขาอย่างระมัดระวัง

พวกเขาต้องหาข้อมูลและรู้ให้ได้ว่าซาโลม่อนถูกคุมตัวไว้ที่ไหน

“นั่นสินะ ฉันก็ด้วย”

“เขาเป็นยังไงแล้วบ้างครับ?”

ฟาร์มาไม่พลาดที่จะจับจ้องไปยังคอมพ์แม้แต่วินาทีเดียว แล้วฟาร์มาก็บุกต่อทันที

“เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ?”

“แน่นอนครับ แต่ผมคิดว่าเขาคงถูกปิดชีพจรแห่งเทพ เพื่อแสดงความรับผิดชอบไปแล้ว”

“ทำไม….ถึงขั้นต้องปิดชีพจรแห่งเทพแบบนั้นล่ะ?”

เอเลนรู้สึกเห็นใจซาโลม่อน เพราะหากตัวเขาสูญเสียศาสตร์แห่งเทพไปแถมยังถูกขับไล่จากโบสถ์อีกก็ไม่ต่างอะไรกับสามัญชนและต้องเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายแน่ๆ แล้วฟาร์มาก็พูดกับคอมพ์ต่อ

“ได้โปรดส่งนกพิราบไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ด้วยครับ บอกกับทางนั้นว่าเราจะส่งคืนคทาให้และไปยังนครศักดิ์สิทธิ์เพื่อพบกับคุณซาโลม่อน ถ้าหากผมไปพบกับคุณซาโลม่อนไม่ได้ ผมก็จะไม่ไปที่นั่นครับ”

แม้ว่าบทลงโทษอาจจะยังไม่ถูกตัดสินในทันที แต่ตอนนี้ซาโลม่อนก็เหมือนได้กลายเป็นตัวประกันไปแล้ว สำหรับฟาร์มานั้นเข้าใจในความปรารถนาดีของซาโลม่อนที่คอยปกป้องเขาได้เป็นอย่างดี

“ได้สิครับ งั้นเดี๋ยวเราจะจัดการเรื่องการเดินทางให้เอง”

คอมพ์นั้นต้องการให้ฟาร์มาไปยังนครศักดิ์สิทธิ์โดยเร็วที่สุด

“มันก็ได้แหละแต่ว่านะ….นายจะไปนานหรือเปล่าล่ะ เพราะถ้านายไม่ได้ทำหน้าที่แพทย์โอสถจะไปซักอาทิตย์ฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะแต่….การจะไปกลับนั้นมันต้องใช้เวลาอีก”

เอเลนกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ใจเธอก็แอบอยากตามไปด้วย

ฟาร์มาขอบคุณเอเลน สำหรับความเป็นห่วงก่อนจะถามคอมพ์ออกไป

“ถ้าเช่นนั้นขอเวลาให้ผมสักพักก่อนละกันนะครับ เนื่องจากผมเป็นแพทย์โอสถ ยังมีคนไข้ที่ต้องดูแลให้เสร็จ เพราะพวกเขาอาจจะเสียชีวิตขึ้นมาได้ตอนที่ผมไม่อยู่”

ผู้ป่วยบางรายยังอยู่ในช่วงเคมีบำบัด ปาลเล่อาจจะพอใช้ยาเองได้บ้างแต่ ถ้าไม่ฟาร์มาเขาก็ต้องเสี่ยงกับอาการติดเชื้อหลายๆ อย่างโอกาสเสี่ยงก็สูงขึ้นด้วย

ชีวิตของซาโลม่อนก็สำคัญแต่ปาลเล่นั้นก็ไม่แพ้กัน

“งั้นสัก 1 อาทิตย์ข้างหน้าเป็นยังไงครับ”

คอมพ์ทำการต่อรอง ดูท่าพวกเขาจะพอยืดหยุ่นในเรื่องนี้ได้

“ครับ งั้นก็เอาแบบนั้น แล้วก็ต้องขอโทษที่ผมนำสมบัติลับของพวกคุณออกไปใช้ด้วยนะครับ”

“ทำไมล่ะครับ ผมไม่เห็นจะต้องรู้สึกอะไรเลย เพราะนั่นมันก็ความผิดของซาโลม่อนเขา”

คอมพ์พูดอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่นานหลังจากคำพูดของฟาร์มาที่จะกล่าวออกมาก็ทำให้เขาถึงกับตัวแข็ง

“แต่นั่นก็ต้องเป็นหลังจากที่ผมบอกเรื่องนี้กับองค์จักรพรรดินีเอลิซาเบทแล้วด้วยนะครับ”

“ดะ-เดี๋ยว ทำถึงมีฝ่าบาทมาเกี่ยวข้องด้วยล่ะครับ ไม่เห็นว่าองค์จักรพรรดินีจะมีส่วนอะไรด้วยเลย?”

สีหน้าที่เปี่ยมสุขของเขาได้เปลี่ยนไปเป็นสับสนและซีดเผือดทันที

“คุณอาจจะไม่รู้ แต่ผมนั้นเป็นแพทย์โอสถหลวงและเจ้าของร้านขายยา ดังนั้นสิทธิ์ในการออกนอกประเทศของผมนั้นจำเป็นต้องได้รับการอนุญาต จากพระองค์ก่อนครับ”

“นะ-นั่นมัน…!”

จักรวรรดิแซงต์เฟลิฟถือเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกนี้และจักรพรรดินีก็ถือเป็นผู้คุ้มกฎเกณฑ์ของพลังนั้นเช่นกัน

ไม่มีประเทศใดๆ บนโลกนี้ที่จะสามารถทำการสงครามโดยตรงกับจักรวรรดิได้ ไม่เว้นแม้แต่นครศักดิ์สิทธิ์ ที่ผูกขาดความลับทางศาสตร์แห่งเทพและพลังที่ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ไว้ ถึงแม้เหล่านักบวชจะปิดชีพจรแห่งเทพของเหล่าชนชั้นสูงแซงต์เฟลิฟ แต่จักรวรรดิก็ยังสามารถเอาชนะนครศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยกำลังทหารได้อยู่ดี การจะบดขยี้ประเทศเล็กอย่างนครศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับพลังที่ล้นเหลือนี้

หากมีใครไปบอกกับจักรพรรดินีว่าเขาจะออกไปจากประเทศแล้วพวกเขาก็คงต้องคืนฟาร์มากลับมาอย่างปลอดภัย เพราะเขาไม่ใช่แค่ “แพทย์โอสถธรรมดา” ที่จะสามารถหายไปจากโลกนี้เฉยๆ ได้ด้วยอำนาจของศาสนจักร

ก่อนเอเลนจะเสริมเข้าไปอีก

“และในเวลาเดียวกันเขาก็เป็น โอสถแพทย์หลวงส่วนพระองค์ชั้นแนวหน้าด้วย นั่นหมายความว่าเขาคงจะออกไปไหนไม่ได้นานๆ แน่”

แพทย์โอสถหลวงนั้นถือเป็นตำแหน่งที่มีความน่าเชื่อถือต้นๆ ของประเทศนี้เลยก็ว่าได้

จักรพรรดินีที่ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ร้อนง่ายสุดๆ คนนั้น จะทำอย่างไรกันหากรู้ว่าแพทย์โอสถหลวงของเธอหายไปที่นครศักดิ์สิทธิ์?

“นะ-น้อมรับคำขอนั้นครับ”

ใบหน้าของคอมพ์เริ่มกระตุกไปมา เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินชื่อของจักรพรรดินี แม้ว่าเขาจะดีใจที่ฟาร์มาจะมายังมหาวิหารด้วยตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนมันจะไม่ใช่การมาคนเดียวโดดๆ เป็นแน่แท้

ตำแหน่งภายในจักรวรรดิของเขานั้นถือว่าแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้

“งั้น…เดี๋ยวผมจะไปบอกแล้วรอคำตัดสินจากทางศาสนจักรอีกทีนะครับ”

สรุปในตอนนี้การเดินทางไปมหาวิหารของฟาร์มานั้นถูกหยุดไว้ก่อน และรอจนกว่าฟาร์มาจะได้รับอนุญาต รวมไปถึงกำหนดการของทางนั้นอีกทีด้วย

“คุณซาโลม่อน คนนั้นน่ะนะถูกปิดชีพจรแห่งเทพ”

ระหว่างทางกลับบ้านจากโบสถ์ ฟาร์มาก็คุยกับเอเลน

“ฉันคิดว่าจากนี้คงเป็นเรื่องที่โหดร้ายสำหรับหัวหน้านักบวชคนนั้นยิ่งกว่าความตายอีกนะ”

เป็นการจัดการตรงไปตรงมา และมันก็ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยศาสตร์แห่งเทพอีกด้วย

“ว่าแต่ชีพจรแห่งเทพนี่มันถูกเปิดปิดได้ด้วยเหรอ?”

“ได้สิ แต่ฉันคิดว่ามันก็น่าจะมีวิธีกลับมาเปิดอีกครั้งอยู่แหละนะ แล้วก็เรื่องเมื่อกี้ด้วย ฉันก็ได้แต่แอบหวังว่าระเบิดที่นายหย่อนลงไปจะไปทำให้เขาฆ่าตัวตายไปซะก่อนนะ”

เอเลนส่ายหัวไปมาเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรที่คิดสั้นไปไหม

คืนนั้น หลังจากที่ฟาร์มากลับมาถึงคฤหาสน์ เขาก็นอนไม่หลับ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยรักษาซาโลม่อนได้อย่างไร เพราะถูกยึดตำแหน่งแถมยังโดนปิดชีพจรแห่งเทพไปอีก

เราควรจะทำยังไงต่อดี นี่มันเป็นความรับผิดชอบที่เรามีต่อเขา

“ถ้าเราเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ สงสัยจังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีก”

เรายังจำเรื่องที่ซาโลม่อนบอกได้เป็นอย่างดี

เขาบอกว่าเขาเคยเข้าไปในห้องลับเพื่อดูสมบัติลับในนั้น เขาสังเกตเห็นว่าช่วงกลางคืนนั้นเวรยามจะเริ่มเบาบาง สำหรับฟาร์มานั้นมหาวิหารถือว่าเปิดจุดเผยตัวฟาร์มาได้ดีเยี่ยม แต่การตอบสนองต่อพลังนั้นต้องมีการสัมผัสกับพื้นโดยตรง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากไม่วางเท้าที่พื้นก็ไม่น่ามีปัญหา

ถึงจะมีการส่งนกพิราบไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่ามันจะถึงโดยทันที บางทีอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับซาโลม่อนก่อนนั้นก็ได้ ฟาร์มาจึงไม่อาจนอนหลับได้ลง

แล้วเขาก็ลุกจากเตียงก่อนจะหยิบคทาแล้วเปิดหน้าต่างออก

“เราควรจะไปดีหรือเปล่านะ?”

ฟาร์มาแค่อยากจะยืนยันความปลอดภัยของซาโลม่อน

ไม่ว่าซาโลม่อนจะอยู่ที่ไหน แต่เขาก็มั่นใจได้ว่าต้องหาตัวเจอเมื่อถึงนครศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ โดยการใช้พลังของเขา

สืบเนื่องมาจากซาโลม่อนนั้นมีความผิดปกติมาแต่กำเนิด เขาจึงสามารถมองเห็นได้ด้วย ดวงตาวินิจฉัย แต่มันก็ใช่จะไปกระทบกับวิถีชีวิตประจำวันจึงไม่ได้ถูกนำมาใส่ใจ ก็แค่เคสที่จะเกิดขึ้นในทุกๆ 7000 คน

หากรวบรวมจำนวนนักบวชทั้งหมดใน นครศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาต้องเป็นเพียงคนๆ เดียวที่เป็นเช่นนั้นแน่ๆ

“คุณซาโลม่อนครับ”

ในช่วงกลางดึก ณ ห้องขังห้องหนึ่งในเรือนจำ ณ นครศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกหิมะปกคลุมจนทั่ว ซาโลม่อนได้นั่งตัวสั่นจากความหนาวเย็น ก่อนจะได้ยินเสียงเล็กๆ เล็ดลอดเข้ามาจากหน้าต่าง

“นั่นใครกัน..?

“ฟาร์มาเองครับ”

พอมองออกไป เขาก็ได้เห็นเด็กชายกำลังลอยอยู่บนไม้คทา ท่ามกลางความมืด ก่อนเขาจะลอยเข้ามาใกล้ๆ หน้าต่าง

“โอ้ นี่ท่านเองหรือ…ท่านฟาร์มา??”

ซาโลม่อนรู้สึกตกใจกับการปรากฏตัวของฟาร์มา

เพราะมันเป็นเรื่องยากมากกว่าเขาจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้และเขาคงต้องรู้แล้วเป็นแน่ว่าตนเข้ามาในนี้ได้เช่นไร

“คือผมพอจะรู้สถานการณ์ในตอนนี้แล้วนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าทั้งหมดจะเป็นเพราะผม…”

ระยะห่างจากจักรวรรดิมาถึงที่นี่เทียบเป็นระยะทางแล้วถือว่าห่างไกลยิ่งนัก

ฟาร์มาได้ใช้คทาของเขาบินมา โดยไม่ลืมจะสวมเสื้อผ้าหนาเพื่อฝ่าความหนาวมา โดยไม่เกรงกลัว

“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรกันว่าเป็นที่นี่?”

“พอดีได้ตัวช่วยบางอย่างครับ ผมรู้สึกกังวลมากเลยนะครับ แล้วก็ดีใจที่ยังเห็นคุณปลอดภัยดี”

ฟาร์มารู้สึกผิดแล้วก็ยินดีที่เขายังปลอดภัย อย่างที่คิดว่าไว้มีเพียงคนเดียวในที่นี้เท่านั้นที่อวัยวะสลับข้างกัน

“เหตุใดกัน ท่านถึงต้องมารู้สึกเช่นนี้ ผมช่างเป็นคนเขลายิ่งนัก”

ความรู้สึกของซาโลม่อนตอนนี้ก็มีทั้งความยินดีและเสียใจ

“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากที่ผ่านมานะครับ คุณซาโลม่อน มันไม่มีอะไรตกหล่นไปเลย”

“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ. . . . .”

ซาโลม่อนทำท่าเหมือนกับนั่นจะเป็นคำพูดสุดท้ายในชีวิตมากเกินไปไหมนะ

“ถ้าเราเข้าไปในห้องนี้ เราจะโดนดักจับด้วยศาสตร์แห่งเทพอะไรหรือเปล่านะ?”

“ไม่สิ ห้องแบบนี้คงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากศาสตร์แห่งเทพหรือสสารอะไรแบบนั้นแน่”

ฟาร์มาได้ทำการลบเส้นเหล็กด้วยพลังของเขาก่อนจะผ่านเขามาทางช่องหน้าต่างเล็กๆ นั้น

แล้วจากนั้นเขาก็ลบกุญแจมือกับเท้าให้ซาโลม่อน

“นี่มันอะไรกัน?”

ซาโลม่อนตกใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องปิดบังเขาอีก เพราะเขาคนนี้เป็นคนที่เชื่อใจได้

“แต่ถึงจะทำแบบนั้น ผมในตอนนี้ก็ไม่อาจจะใช้ศาสตร์แห่งเทพใดๆ ได้แล้วครับ ขนาดสัมผัสของพลังแห่งเทพก็ยังทำไม่ได้เลย”

“หากคุณถูกปิดไป เราจะไม่สามารถเปิดมันใหม่ได้เลยเหรอครับ?”

ฟาร์มารู้สึกถึงของคิดของซาโลม่อนได้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดชีพจรได้สำเร็จ

“เพราะกรณีนี้มันจะขึ้นอยู่กับการถูกปิดชีพจรว่าใช้วิธีใดครับ สำหรับกรณีผมหากเกินสามวันไปแล้วก็จะไม่สามารถฟื้นฟูชีพจรแห่งเทพได้อีก”

ซาโลม่อนถึงกับคอตก เพราะนี่มันก็ล่วงเลยมากว่าห้าวันแล้วตั้งแต่เขาถูกตัดชีพจรแห่งเทพไป

“งั้นช่วยบอกวิธีการเปิดให้ผมหน่อยได้หรือเปล่าครับ ผมอยากจะลองทำดู”

ฟาร์มารู้สึกอยากจะลองพยายามทำอะไรสักอย่างดู

หากมันเลยช่วงเวลาที่บอกไปแล้วมันจะไม่สามารถฟื้นฟูวงจรได้แล้วจริงหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่เขาอยากทดสอบดู

“ส่วนตัวผมคิดว่าคงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่าน แต่ว่าเรื่องนี้….”

“ให้ผมได้ลองดูสักครั้งเถอะครับ”

หลังจากนั้นฟาร์มาได้ก็ท่องบทสวดตามที่ซาโลม่อนบอก ก่อนจะเข้าสู่ท่อนจบของบทสวด

[จงตื่นขึ้นเสียบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย]

ส่วนปลายของคทาได้ชี้ตรงไปยังอกของซาโลม่อนก่อนฟาร์มาจะส่งภาพของการฟื้นคืนพลังไปยังเขา ว่ากันว่าการเปิดปิดชีพจรแห่งเทพนั้นสามารถทำได้ดีหากเป็นที่หัว หรือ หัวใจ ว่าแล้วฟาร์มาก็เลือกบริเวณหัวใจ

“…จะสำเร็จหรือเปล่า….นะ?”

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาเปิดวงจรพลังใหม่เช่นนี้ เพราะมันได้ถูกปิดตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“แน่นอนสิครับ…ผมจะดันคทาเข้าไปแล้วนะครับ”

แล้วฟาร์มาก็ได้กดคทาแทงลงไปที่หัวใจของซาโลม่อน

แน่นอนว่าจุดดังกล่าวต้องเป็นบริเวณอกด้านขวา เพราะตัวซาโลม่อนนั้นพิเศษ

“อึก–”

ฟาร์มารู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นการแทงแบบไหนก็ไม่สามารถจะเลี่ยงไม่ให้ร่างกายของซาโลม่อนได้รับบาดเจ็บได้ แต่เขาก็คิดว่าการเลือกหัวใจนั้นจะเป็นการส่งผ่านพลังได้ดีที่สุด

แล้วแสงสีขาวอ่อนก็ได้ประกายออกมาขณะที่ฟาร์มากำลังท่องบทสวด

“หือ!? โอ้ว!”

ตอนนี้สถานการณ์มันได้เปลี่ยนไปแล้ว จากการที่ฟาร์มาได้ทำการเปิดชีพจรแห่งเทพของซาโลมน่อนขึ้นมาใหม่ พลังแห่งเทพเริ่มไหลเวียนในร่างเขาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเริ่มสัมผัสได้ถึงส่วนหนึ่งของพลังที่มากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

“นี่มันปาฏิหาริย์—ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ”

ซาโลม่อนไม่อาจจะปกปิดอารมณ์ของตนได้ต่อไป เพราะในตอนนี้พลังของเขากลับมาแล้วตามที่ตนปรารถนา แถมมันยังมากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ถึงเขาไม่อาจจะใช้พลังของเขาได้หากปราศจากคทาแห่งเทพ แต่เขาก็รู้สึกได้ชัดว่ามันมีมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

“น่ายินดีจริงๆ ครับที่ผมสามารถฟื้นคืนพลังกลับมาได้ แต่ขอให้ท่านรู้เอาไว้ว่ามันคงจะไม่สามารถถูกปิดได้อีก จากการฝืนบังคับให้เปิดเช่นนี้”

ก็แอบกลัวอยู่เหมือนกันว่า มันจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ไหม แต่ดูท่าเราคงไม่ต้องกังวลแล้วสินะ

“มันเป็นพิธีกรรมที่ต้องผ่านบทสวดของตัวผู้ทำพิธี ดังนั้นการจะปิดมันอีกครั้งโดยไม่รู้ถึงบทสวดนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ครับ”

บทสวดประสานการเปิดปิดชีพจรแห่งเทพนั้นเป็นหนึ่งในพิธีกรรมที่จะเลือกบทสวดขึ้นมาเพื่อเป็นกุญแจในการเปิดและปิดวงจร แต่เนื่องจากบทสวดดังกล่าวนั้นมีเพียงฟาร์มาที่รู้ จึงทำให้ไม่มีใครนอกจากเขาสามารถปิดมันได้อีก

“งั้นก็รีบหนีออกไปกันก่อนจะเช้าเถอะครับ”

——–

Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913