นที่ 48 โรคโรคพาร์กินสันและสถานการณ์ภายในโบสถ์เมืองหลวงจักรวรรดิ

“นายเนี่ยนะเป็นแพทย์โอสถหลวง?! แล้วทำไมถึงไม่บอกเรื่องนี้กับพี่กัน!”

“คือผมก็ไม่ได้อยากจะปกปิดอะไรหรอกครับ เพียงแค่ลืมนึกถึงเรื่องนั้นไปเท่านั้นเอง”

ในขณะกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านกัน สองพี่น้องเมดิซิสก็ได้มีการเถียงกันเล็กน้อยขณะอยู่ในห้องรับรอง

นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้วตั้งแต่ที่ฟาร์มาได้กลายมาเป็นแพทย์โอสถหลวงและเขาก็รู้สึกผิดกับปาลเล่เล็กน้อยในเรื่องของผลงานที่ตนทำได้ตอนอายุเพียง 10 ปี

“ถูกน้องชายตัวเองก้าวข้ามไปแบบนี้แล้ว รู้สึกแย่จริงๆ แฮะ!”

ปาลเล่ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดี ฟาร์มาจึงได้ขอโทษเขาอย่างจริงจัง

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ เป็นความผิดของผมเอง”

(ว่าแต่ ไหงเราต้องมาขอโทษด้วยนะ?)

ระหว่างนั้นปาลเล่ก็ดูเหมือนจะทำท่าล้มลงไปได้ทุกเมื่อ จากอาการหายใจแรงขึ้น ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่พอผ่านไปสักพักเขาก็ล้มตัวลงอยู่ดี

“เอาเถอะ เดี๋ยวอีกสัก 5 ปี พี่ก็ตามนายทันเองแหละ!”

“ต้องใช้เวลาถึง 5 ปีเลยเหรอครับ? ท่านพี่ตอนนี้ก็เขียนตำราได้แล้วเชียวนะครับ ดังนั้นควรจะไปสอบเข้าแพทย์โอสถหลวงเลยไม่ใช่หรือไงกัน”

แม้จะมีข้อกำหนดมากมายยิบย่อยในการเข้ามาเป็นแพทย์โอสถหลวง แต่การผ่านการสอบนั้นก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง

แม้ตัวฟาร์มาจะถูกบังคับให้เข้ามาเป็นโดยแพทย์โอสถหลวงคนอื่นก็ตาม แต่ตัวเขาก็คิดว่าการสอบนั้นไม่ได้ยากนัก

“มันไม่ใช่จะผ่านกันง่ายๆ นะเห้ย! ขนาดท่านพ่อยังต้องใช้เวลาตั้ง15ปีเลยนะ! เพราะหากนายทำอะไรผิดพลาดแค่เพียงจุดเดียว นายจะไม่มีสิทธิ์ในการสอบไปอีกสามปีเลยนะ แล้วแบบนี้นายจะยังให้ฉันทำตัวสบายๆ เข้าไปสอบอีกหรือไง?!”

“แบบนั้นเองเหรอครับ….ผมคิดว่ามันคงจะง่ายสำหรับท่านพี่ที่จะผ่านเสียอีก”

“อ่ะ-คิดงั้นเองเหรอ? ฉันว่านายนี่มันต้องเป็นนักเสียดสีตัวยงเลยแน่ๆ”

“อ่ะ ขอโทษด้วยนะครับ ขอโทษจริงๆ”

ฟาร์มาคิดว่าความรู้ของปาลเล่น่าจะเพียงพอในการสอบแพทย์โอสถหลวงแล้วหลังจากเรียนรู้ฝึกฝนมาเป็นเวลา 1 ปี

ถึงแม้อาจจะดูไม่ดีไปบ้างที่บ้าน เดอ เมดิซิสได้ผูกขาดตำแหน่งของแพทย์โอสถหลวงเอาไว้ แต่ฝีมือของปาลเล่ก็ไม่ได้ด้อยเลยแต่อย่างใด

แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจตรงจุดนั้น

“จริงๆ เลยนะ นายเนี่ย…”

ขณะกำลังเดินเถียงกันไปมาอยู่ หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ระหว่างทางเดินก็ได้ล้มลง

“ว้าย-!”

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

ฟาร์มาตะโกนเรียนออกไปตามสัญชาตญาณ ท่าทางของเธอเหมือนสาวใช้

อายุราวๆ 30 ปี เหมือนจะมีหน้าที่ในการดูแลเหล่าชนชั้นสูงในราชสำนัก

ฟาร์มาจำหน้าของเธอไม่ได้ เนื่องจากเธอก้มหัวลงเล็กน้อยอยู่

“ไม่นะ น่าละอายจริงๆ ตัวฉัน พอดีฉันพึ่งจะได้เข้าวังมาเมื่อวานนี้เองค่ะ ก็เลยรู้สึกประหม่าอยู่นิดหน่อย”

“จากนี้ก็เดินระวังๆ ด้วยนะครับ”

ปาลเล่ที่กำลังดูร่างของเธอค่อยๆ ลุกถอยกลับไปอย่างช้าๆ

“งั้นก็กลับกับเถอะครับ ท่านพี่”

“น่าแปลกนะ คนปกติเขาไม่ก้าวเดินกันแบบนั้นนี่นา”

“บางที่อาจจะเป็นเพราะเธอไม่คุ้นกับชุดก็ได้นะครับ เลยอาจจะไปเหยียบแล้วล้มเอา”

“ได้โปรดรอเดี๋ยว!”

ปาลเล่ได้เรียกหยุดหญิงสาวคนนั้นไว้

ในขณะที่เขามองอยู่นั้นเธอก็ได้สะดุดล้มลงอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาปาลเล่ที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอใกล้ๆ เพื่อตรวจสอบ

“คะ-คือมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

หญิงสาวคนนั้นรู้สึกกังวลขึ้นมาว่าเธอนั้นได้ทำอะไรหยาบคายหรือผิดแผกไปหรือเปล่า เพราะปาลเล่นั้นได้จ้องเธอด้วยสายตาที่คมเฉียบและระมัดระวังมากเลยทีเดียว

แต่ดูทางฝั่งของปาลเล่จะไม่ได้สนใจตรงจุดนั้นเลย ก่อนที่เขาจะมองไปยังทั่วร่างของหญิงสาวที่ยังสับสนอยู่ ถึงจะไม่ใช่ชายหนุ่มแต่เป็นหญิงสาวจ้องมองกันเอง การมองแบบนี้ก็แอบดูหยาบคายพอสมควร

นิ้วของเธอเริ่มสั่นเทาขึ้นมาทีละน้อย

“มีอะไรผิดปกติไปเหรอครับ ท่านพี่ ขอความกรุณาให้เราตรวจอาการด้วยนะครับ คุณผู้หญิง”

ปาลเล่ไม่ได้สนใจฟาร์มาก่อนจะถามกับหญิงสาวคนนั้น

“ต้องขออภัยด้วย คุณผู้หญิง อาการสั่นเหล่านี้เป็นมานานแล้วหรือยัง แล้วก็เรื่องที่มักจะสะดุดเช่นนี้ด้วย??”

ปาลเล่เริ่มสอบถามข้อมูลทางการแพทย์ ในฐานะแพทย์โอสถขั้นหนึ่งนั้น เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะตรวจอาการของจักรพรรดินีและเชื้อพระวงศ์ แต่กับเหล่าข้าราชการคนอื่นแล้วก็ถือว่าไม่มีปัญหา

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไม่มีปัญหาที่จะดูแลเธอ

“ค่ะ…ก็สักพักหนึ่ง”

“ท่านพี่กำลังหาอะไรอยู่เหรอครับ?”

ฟาร์มาเหมือนจะสนใจในสิ่งที่ปาลเล่พูดออกมา

จากนั้นฟาร์มาก็ทำการสังเกตอาการของเธออีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกตัวได้ว่าปาลเล่ก็พบบางอย่างเช่นเดียวกัน

“ดูเหมือนจะเป็นซีนิวคลีน แต่ความเป็นไปได้ของโรคหลอดเลือดสมองกับภาวะน้ำคั่งในสมองก็ตัดออกไปไม่ได้ด้วยสิ”

แล้วท้ายที่สุดฟาร์มากับปาลเล่ก็ดูเหมือนจะได้ข้อสรุปแบบเดียวกัน

“โรคพาร์กินสัน”

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากใช้ดวงตาวินิจฉัยของเขาดูฟาร์มาก็สามารถตัดความเป็นไปได้ของโรคอื่นๆ ออกไปทันที

โรคพาร์คินสันและซีนิวคลีนถ้าจากการอ้างอิงถือว่าเป็นโรคเดียวกัน

เมื่อฟาร์มาบอกถึงชื่อโรคใหม่ๆ ในตำราของเขานั้น เขามักจะใส่ชื่ออื่นที่แตกต่างกันออกไปด้วย โดยอ้างอิงจากโลกเดิมของเขา

โดยเฉพาะโรคที่ได้รับการตั้งชื่อจากเหล่าผู้คนอย่างไม่เป็นทางการในหลายๆ ภูมิภาค ก่อนจะเปลี่ยนชื่อพวกมันให้เข้ากับพยาธิสภาพและสาเหตุของมัน

ยกตัวอย่างเช่นโรคพาร์กินสันที่มีความเกี่ยวข้องกับการสะสมของไซโทพลาสซึมที่อยู่ภายในกันภายในเซลล์ประสาทโดปามีนโดยเราเรียกมันว่า ลิววี่บอดี้ ที่แสดงถึงมวลรวมของแอลฟา-ซีนิวคลีน

ด้วยเหตุนี้ฟาร์มาจึงใช้ชื่อสามัญว่า โรคซีนิวคลีน

โรคพาร์กินสันอาจทำให้เกิดอาการสั่นและการเสียสมดุล สามารถทุเลาได้จากการพัก และมันยังส่งผลให้กล้ามเนื้อมีการเคลื่อนไหวที่ช้าลง

แม้จะมีความเป็นไปได้ในโรคอื่นๆ แต่สำหรับปาลเล่แล้วเขาไม่ได้พลาดในส่วนสำคัญนี้ไปเลย

“แล้วมันเป็นโรคร้ายแรงหรือเปล่าคะ ตายแล้ว… นี่ฉันควรจะทำยังไงต่อไปดี?”

ทันใดนั้นอาการสั่นของเธอก็เริ่มจะแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะความเครียดนั้นจะทำให้อาการของโรคลุกลามได้เร็วขึ้น

“เป็นเช่นนั้นครับ เพราะถือว่าเป็นโรคที่รู้จักกันในชื่อของ ซีนิวคลีน ดังนั้นเราควรเริ่มรักษามันโดยเร็วที่สุดจะเป็นการดี”

เมื่อปาลเล่เสร็จการอธิบาย ฟาร์มาก็ได้เข้ามาเสริมต่อทันที

“ที่จริงมันก็ไม่ใช่โรคที่จะถึงชีวิตได้หรอกครับ แต่จากนี้ช่วยตอบคำถามเพิ่มเติมจากผมด้วยนะครับ แล้วก็ได้โปรดมายังร้านขายยาต่างโลกในวันพรุ่งนี้ด้วย เพราะผมจะทำการทดสอบบางอย่างและจ่ายยาให้ครับ ตัวผมชื่อฟาร์มา เป็นเจ้าของร้านดังกล่าวครับ แล้วก็นี่เป็นส่วนของเอกสารที่ขอให้คุณนำไปมอบให้กับท่านหัวหน้าแพทย์หลวงครับ ทีนี้เป็นคำถามนะครับ ผมจะถามเกี่ยวกับอายุ ที่อยู่บ้านเกิด แล้วก็ประวัติการรักษาของคนในครอบครัว และอีกหลายๆ อย่าง ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาหรือเปล่าครับ?”

ฟาร์มาได้พาเธอไปยังห้องรับรองก่อนที่ทำการสอบถามต่อ

จากนั้นเขาก็เขียนใบรับรองแพทย์และใบสั่งยาให้กับเธอ โดยมีคล็อดเป็นคนเซ็นชื่อกำกับไว้

หากมีแพทย์หลวงและแพทย์โอสถหลวงรับรอง พวกเขาก็จะสามารถนำตัวเธอไปรักษานอกวังได้นั่นเอง

เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจร่างกายของเธออย่างเต็มรูปแบบภายในห้องนี้ ฟาร์มาจึงได้เชิญเธอไปยังร้านขายยาแทน

“ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับ พวกเราจะทำการรักษาคุณในทุกๆ ส่วนให้เอง”

ปาลเล่ได้กล่าวคำปลอบโลมหญิงสาวที่เป็นกังวลอยู่

“ขอบคุณท่านพี่มากนะครับ ที่ทำให้เราได้พบผู้ป่วยใหม่แบบนี้!!”

ฟาร์มาแสดงความขอบคุณต่อปาลเล่

ตอนนี้เขาต้องกลับไปยังร้านแล้วสร้างสูตรยาตัวใหม่สำหรับเธอ

ขณะที่ฟาร์มากำลังพยายามจะตรวจสอบเหล่าข้าราชการทั้งหลายในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้ บางที่เขาก็ไม่ได้ใช้ดวงตาวินิจฉัย จึงทำให้เขาอาจจะมองผู้ป่วยใหม่ๆ พลาดไป

“ยาที่จะใช้ก็ควรมีส่วนช่วยในการจัดความผิดปกติของโดปามีนที่เกิดมาจากการสะสมของไซโทพลาสซึม หรือไม่ก็ยาที่ใช้ยับยั้งการสร้างตัวของซีนิวคลีน แต่จะให้ดีก็ต้องทั้งคู่เลยสินะ”

ดูเหมือนว่าปาลเล่ซึ่งเป็นคนช่วยเขียนตำราจะไม่ได้ลืมการรักษาที่ถูกต้องของโรคนี้ไปเลยแต่อย่างใด

“เพราะยังเป็นแค่อาการช่วงแรกของโรคดังนั้นเราควรใช้ l-DOPA หรือไม่ก็สารกระตุ้นโดปามีนไปก่อนน่าจะดีนะครับ”

“l-DOPA? โดปามีนไม่สามารถเข้าไปทำงานของมันเองได้งั้นเหรอ?”

“แม้ว่าจะได้รับไปโดยตรงแต่โดปามันก็ไม่สามารถส่งตรงไปยังสมองได้ทันทีครับ เนื่องจากระบบสมองนั้นมีกำแพงกั้นที่เรียกว่าตัวกั้นระหว่างเลือดกับสมอง (the blood-brain barrier) อยู่ที่จะป้องกันพวกโมเลกุลผ่านเข้าไปครับ l-DOPA (L-3,4-dihydroxyphenylalanine) นั้นจะเป็นเหมือนตัวยาสกัดของดาโปมีน ซึ่งคำสั่งประมวลผลของสมองจะให้พวกมันผ่านเข้าไปได้เองครับ นั่นสินะครับจากผลที่เราเห็นนี้ บางทีเราน่าจะต้องไปตรวจสอบสมาชิกภายในครอบครัวของเธอด้วยก็น่าจะดีนะครับ เพราะเราไม่มีข้อมูลในส่วนนั้นเลย”

“งั้นเหรอ….ก็แปลว่ายารักษาโรคนี้ ก็คงจะต้องสร้างเอาจากศาสตร์แห่งเทพโอสถใช่ไหม?”

ปาลเล่กล่าวเช่นนั้น

“อ่าาาา ก็แบบนั้นแหละครับ…”

(รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ที่ต้องพูดแบบนั้นแฮะ)

แต่ถึงจะแบบนั้นปาลเล่ก็ยังคงเหลือข้อสงสัยอยู่บ้าง

“แล้วทำไมเราถึงไม่ใช้ยาที่มีส่วนในการกำจัดซีนิวคลีนส่วนเกินนั้นล่ะ สาเหตุของมันมาจากตรงนั้นไม่ใช่เหรอ ฉันไม่คิดว่าการรักษาโดยไม่อิงจากสาเหตุอาการจะเหมาะสมกับการรักษาที่สุดนะ”

“ดีจังเลยนะครับที่ท่านพี่สังเกตจุดนี้ออก”

(มุมมองของเขาถือว่าอิงหลักเหตุและผลมากเลยนะเนี่ย)

ฟาร์มารู้สึกตื่นเต้นกับการพัฒนาในทางที่ดีนี้

ที่จริงวิธีใกล้เคียงกันแล้วเป็นทางเลือกการรักษาก็มีการใช้เครื่องฉีดสเต็มเซลล์อย่างพวก iPS เข้าไปยังสมองเพื่อผลิตปาโดมีนได้เลย

แต่เพราะมันทำไม่ได้ในโลกนี้…และก็ไม่ได้แก้ไขต้นตอของปัญหาด้วย

“ถูกต้องแล้วครับ ตำราของผมนั้นก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบแต่อย่างใด แล้วก็นั่นแหละครับอย่างที่เรารู้กันว่าโรคบางโรคก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้”

ความรู้ของฟาร์มาที่มีนั้นก็มาถึงแค่ตรง ศตวรรษที่ 21ในโลกเดิมของเขา ดังนั้นเพื่อการพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไป คนบนโลกนี้จะต้องช่วยกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อความรู้ใหม่ๆ

“ตัวเราที่เชื่อมั่นในเทพโอสถอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ ตัวของท่านย่อมรู้ทุกสิ่งในศาสตร์แห่งการรักษา แต่เหตุใดกันท่านถึงไม่ประทานความรู้มาให้กับเราทั้งหมด หรือนั่นคือการทดสอบบทถัดไปกันหนอ…?”

ดูเหมือนปาลเล่จะกังวลถึงเจตนาที่แท้จริงของเทพโอสถ

“แต่ก็นั่นแหละนะ ความประสงค์ของเหล่าทวยเทพไม่มีผู้ใดจะรู้ได้”

ปาลเล่กล่าวออกมาเบาๆ

“งั้น เดี๋ยวผมขอตรงไปที่ร้านเพื่อเตรียมยาให้กับผู้ป่วยก่อนนะครับ”

ระหว่างทางกลับบ้านนั้นฟาร์มาได้หยุดที่ร้านขายยา ซึ่งมีแกรนดยุกเมโลดี้รอเขาอยู่

ทุกๆ 5 วันเธอจะมาที่ร้านขายยาเพื่อรักษา หูดของเธอ ก่อนจะทักทายฟาร์มาอย่างร่าเริง

“ยินดีต้อนรับกลับมานะคะ ท่านฟาร์มา”

“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องรอนะครับ”

“ไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ ระหว่างนั้นฉันได้ก็คุยกับคุณลอตเต้ไปด้วย ค่อนข้างจะสนุกเลยทีเดียวค่ะ”

ดูท่าลอตเต้จะได้กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีของเมโลดี้ไปเสียแล้ว

“คุยเหรอครับ?”

ฟาร์มามองดูพวกเขาอย่างสงสัย

“เอ่ะ แฮะๆ ฉันคุยกับท่านเมโลดี้ไปเยอะเลยค่ะ!”

ทางลอตเต้ก็ดูจะอารมณ์ดีเลยทีเดียว

เมโลดี้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ของศิลป์อีกทั้งยังเป็นช่างทำงานศิลป์แก้วอีกด้วย

ระหว่างคุยกันเรื่องงานแก้วอยู่ เรียกได้ว่าเคมีทั้งสองเข้ากันได้ดีเลย

พวกเขายังคุยกันไปถึงเรื่องการออกแบบและร่วมมือกันสร้างงานแก้วในอนาคตอีกด้วย

พอมองไปรอบๆ ดีๆ แล้วก็จะเห็นดีไซน์การออกแบบพวกงานเครื่องแก้วเช่น เข็มกลัดแก้ว แจกันแก้วกระจายเต็มไปหมด

นี่มันแสดงได้ชัดเจนเลยว่าจะจัดนิทรรศการร่วมกันไปถึงการขายผลงานพวกนั้นด้วย

(ตอนที่เราไม่อยู่ก็คงจะพูดเรื่องประมาณนี้กันเยอะเลยสินะ?)

“หวังว่าเราจะได้จัดนิทรรศการร่วมกันนะคะ”

ความสัมพันธ์ที่ดีของผู้อุปถัมภ์และพนักงานของเขาสำหรับฟาร์มาถือเป็นเรื่องน่ายินดี

“ถ้างั้นผมจะทำการแช่แข็ง หูดอีกรอบนะครับ”

ฟาร์มาทำการรักษาหูดด้วยไนโตรเจนเหลวอย่างรวดเร็ว

“เหลืออีกแค่นิดหน่อยเองนะครับ ผมคิดว่าถ้ามาอีกสักรอบก็น่าจะหายดีแล้วนะครับ”

“ขอบคุณมากนะคะ การรักษาที่รวดเร็วแบบนี้ถือว่าช่วยได้เยอะเลยจริงๆ”

“นั่นสินะครับ ถ้าปล่อยให้มันโตกว่านั้นคงลำบากมากกว่านี้แน่ๆ เลย”

“แล้วก็ยาชานี่ช่วยให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกด้วย ดีจริงๆ เลยค่ะ”

การรักษาด้วยไนโตรเจนเหลวนั้นถือว่าเป็นการรักษาที่สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมากเพราะโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีการใช้ยาชาแต่ฟาร์มานั้นได้เลือกจะใช้ยาชาเฉพาะส่วนเพื่อลดความเจ็บปวดของผู้ป่วยลง

อีกทั้งเขายังควบคุมปริมาณของไนโตรเจนเหลวได้เป็นอย่างดี

แม้จะทำให้ผู้ป่วยของกัดฟันทนอยู่มาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ถือเป็นที่น่าพอใจ

นอกจากนี้เมโลดี้ยังได้จิบชาลูกเดือยซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการรักษาได้อีกด้วย

“นั่นเป็นผู้ป่วยคนสุดท้ายของวันนี้แล้วสินะ?”

เอเลนที่ทำงานเสร็จก็ได้ออกมายืดเส้นยืดสาย ลอตเต้พลางก็นวดไหล่ให้เธอระหว่างผ่อนคลาย

“เหนื่อยกันหน่อยนะคะ ผู้ป่วยวันนี้ก็เยอะสุดๆ ไปเลยนี่เนอะ”

“อะ-ตรงนั้นแหละ รู้สึกดีสุดๆ ไปเลย ขอบใจมากนะลอตเต้จัง ไหล่ของเธอก็ดูแข็งๆ เหมือนกันหรือเปล่า??”

“อ๋อฉันไม่เป็นไรค่ะ”

ขณะที่ฟาร์มาไม่อยู่ร้านนั้นเอเลนก็ได้ทำงานอย่างช่ำชอง แถมเหล่าพนักงานพาทไทม์ที่จ้างมายังทำงานภายใต้การนำของเธอได้เป็นอย่างดี

“จะว่าไปแล้ว วันนี้คุณซาโลม่อนได้มาที่ร้านของเราหรือยังนะครับ?”

อยู่ดีๆ ฟาร์มาก็นึกขึ้นไปได้และถามเซดริก ก่อนที่เขาจะวางปากกาลงและหยุดทำงาน

“ไม่นะครับ วันนี้ผมไม่เห็นเขาเลย”

“สงสัยจังเลยนะคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือจะเป็นหวัดกันนะ?”

ลอตเต้ก็คิดเช่นนั้น เพราะครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเขานั้นก็คือสัปดาห์ที่แล้ว

ซาโลม่อนนั้นมักจะมาที่นี่เสมอไม่ว่าจะเป็นวันที่ฝนกระหน่ำลมพายุแรง ดังนั้นฟาร์มาจึงคิดว่าเขาต้องมีเหตุผลสำคัญแน่ๆ ถึงไม่สามารถมาที่นี่ได้

ถึงฟาร์มาจะไม่ได้มาที่ร้านในช่วงการรักษาพี่ชายของเขาก็ตาม

แต่พอเขากลับมาก็ยังคงเห็นซาโลม่อนมาที่ร้านอยู่ตลอด

“หื้มมม ผมไม่คิดว่าจะเป็นเพราะหวัดนะครับ”

ซาโลม่อนที่มายังร้านขายยาเป็นประจำนั้น มีโอกาสน้อยมากที่เขาจะเป็นหวัดได้

นอกจากนั้นถึงจะเป็น ระยะเวลามันก็นานเกินไป

ถึงมันจะแอบทำให้ฟาร์มารู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่ ซาโลม่อนมักจะมาด้อมๆ มองๆ เขา แต่พอเขาหายไปแบบนี้ก็แอบรู้สึกเหงาๆ

“บางทีท่านหัวหน้านักบวชอาจจะไม่ว่างก็ได้นะขอรับ”

เซดริกไม่ได้คิดมากอะไรในจุดนี้

“ผมว่าเดี๋ยวผมไปที่โบสถ์ระหว่างทางกลับบ้านแล้วกันนะครับ”

“ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นก็ไปเถอะ นั่นสิฉันก็ไม่ได้ไปที่โบสถ์มาสักพักแล้ว เดี๋ยวฉันออกไปด้วยเลยแล้วกัน แล้วทางลอตเต้จังล่ะ?”

“ฉันมีนัดกับท่านเมโลดี้เรื่องงานแก้วอยู่ค่ะ…”

ดูเหมือนลอตเต้จะได้รับคำเชิญมื้อค่ำที่คฤหาสน์ของเมโลดี้ ท่าทางของเธอนั้นตื่นเต้นมากว่าอาหารที่เสิร์ฟจะเป็นอะไร

“งั้นเหรอ เอาเถอะ ไปกันเลยไหมฟาร์มาคุง”

หลังจากปิดร้านเสร็จก็เป็นช่วงเย็นแล้ว ฟาร์มาและเอเลนก็ได้ตรงไปทางโบสถ์ด้วยกัน

สิ่งแรกที่ฟาร์มาสังเกตได้นั่นคือ นักบวชทั้งหมดภายในนั้นเป็นคนใหม่ทั้งหมด

ฟาร์มาได้หยุดเท้า เนื่องจากความรู้สึกแปลกๆ ที่สัมผัสได้ภายใน

เอเลนที่ไม่ได้มาโบสถ์บ่อยนัก ไม่ได้รู้สึกตัวถึงเรื่องนี้

“นักบวชทุกคนเปลี่ยนไปหมดเลยงั้นเหรอ?”

“ว่าไงนะฟาร์มาคุง”

เอเลนที่ได้เข้าใจในคำถามของฟาร์มานั้นได้หันกลับมาจับแขนเสื้อแล้วคุยกับเขา

“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?”

“ก็นักบวชทั้งหมดไม่ใช่คนที่ผมคุ้นหน้าเลย กระทั่งหัวหน้านักบวชก็ด้วย”

เพราะหัวหน้านักบวชนั้นจะมีหมวกพิเศษเฉพาะใส่อยู่แล้วจึงสังเกตได้ไม่ยาก

ซึ่งตอนนี้หมวกใบนั้นกลับถูกสวมโดยคนที่ฟาร์มาไม่รู้จัก

“หลวงพ่อซาโลม่อนนั้นพึ่งจะได้รับการแต่งตั้งไม่นานมานี้ คงจะไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ จะมีคนใหม่มาแทนที่หรอก แถมหากมีจริงพวกเขาก็ต้องไปทักทายองค์จักรพรรดินีก่อนสิ….ยิ่งไปกว่านั้นฉันคิดว่าเขาคงจะไม่ไปโดยไม่ร่ำลานายหรอกนะ”

จากคำพูดของเอเลนฟาร์มาถึงกับรู้สึกตัวแข็งขึ้นมา

“ดูท่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นแล้วสินะเนี่ย”

Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913