นที่ 47 การเคลื่อนไหวของนครศักดิ์สิทธิ์
วันหนึ่งในห้องทำงานของจักรพรรดินี ณ ราชวังจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
เอลิซาเบทที่สองกำลังพลิกตำราเรียนหนาๆ ที่หน้าปกเขียนไว้ว่า พื้นฐานชีววิทยาแผนใหม่โดยเดอ เมดิซิส เธอค่อยๆ พลิกไปแต่ละหน้า ขณะที่สายลมอ่อนๆ ก็ได้พัดไหวให้ผมของเธอนั้นสยายออกมา
แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเล่มนั้นก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความประทับใจ
“แบบนี้นี่เอง…”
ปึก! จักรพรรดินีได้ปิดตำราเรียนลง
ฟาร์มาและปาลเล่
พวกเขาทั้งสองคือผู้เขียนหลักและรองของหนังสือที่เธอถืออยู่
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักกะนิด”
(ถึงจะน่าเสียดายไปบ้าง แต่ก็เหมือนที่คาดไว้สินะ)
ฟาร์มาคิดกับตัวเอง
“นี่คือตำราการแพทย์และการรักษาที่ถูกจัดทำขึ้นมาจากเครื่องอัดสำเนาสินะ นั่นแหละคือทั้งหมดที่เราเข้าใจ ณ ตอนนี้”
“เราคิดว่าตำราเรียนนี้คงจะถูกเพิ่มไปยังในรายการของสิ่งประดิษฐ์ใหม่ด้วยสินะ?”
จักรพรรดินีได้ถามถึงตำราเล่มดังกล่าวที่ทั้งสองได้เอามานำเสนอ
ปาลเล่ที่ก่อนหน้านี้เอาแต่โวยวายอย่างเป็นกังวลว่า
“ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มาเสนออะไรต่อองค์จักรพรรดินีในชีวิตนี้อีกหรือเปล่า ดังนั้นเอาพี่ไปด้วยสิ!”
เพราะในวังตอนนี้ได้มีไข้หวัดใหญ่แพร่ระบาดอยู่ ปาลเล่จึงกังวลว่าตัวเขาอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าซึ่งมันเป็นความเสี่ยงระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัดอยู่
แต่ด้วยเขตแดนของฟาร์มาแล้วจึงทำให้เขาปลอดภัยหากอยู่ใกล้ๆ กัน ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงสามารถเข้าเฝ้าได้
ปาลเล่ที่รู้สึกกดดันกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ส่งผลให้ฟาร์มารู้สึกประหม่าไปด้วย
“เดอ เมดิซิสทั้งสอง นี่ช่างเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมยิ่งนัก”
“ฮ่ะ ฮ่ะ-”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฟาร์มาและปาลเล่ต่างยอมรับการยกย่องและคำนับอย่างนอบน้อม
(เดี๋ยวๆ แย่แล้วๆ วิกนั่นจะหลุดแล้ว!!)
แม้ว่าจะพยายามแล้วแต่ฟาร์มาก็ไม่อาจจะช่วยพี่เขาได้ทัน จึงทำได้แต่จ้องที่หัวของปาลเล่ขณะโค้งคำนับ
ถึงแบบนั้นดูเหมือนว่าบทเรียนจากตอนที่อยู่โบสถ์ทำให้ปาลเล่นั้นได้ติดวิกผมไว้กับหัวเป็นอย่างดีแล้ว ฟาร์มาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
“คล็อด”
“ฮ่ะ”
จักรพรรดินีได้เรียกหัวหน้าแพทย์หลวงเข้ามาก่อนจะยื่นตำราเรียนนั้นให้กับเขา และเหมือนดังเช่นเคยตัวเขาสวมเสื้อคลุมสีดำมีปก
“ในฐานะหัวหน้าแพทย์หลวงช่วยประเมินค่าตำราเล่มนี้ให้เราหน่อยสิ”
“น้อมรับบัญชา กระหม่อมจะทำการอ่านเดี๋ยวนี้”
คล็อดได้ทำการตรวจสอบตำราเรียนด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เนื่องจากเขาต้องตรวจสอบว่ามันนั้นตรงตามหลักวิทยาศาสตร์หรือเป็นเรื่องไร้สาระกันแน่
“พวกท่านทั้งสอง เชิญทางนี้ครับ”
พ่อบ้านได้พาทั้งสองนั้นไปนั่งยังเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ตรงมุมห้องทำงาน
ขณะที่คล็อดกำลังอ่านตำราอยู่นั้น จักรพรรดินีก็ได้เรียกรัฐมนตรีต่างประเทศเข้ามาก่อนจะเริ่มทำงานกันต่ออย่างรวดเร็ว
การตรวจสอบตำราของคล็อดนั้นต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง ในขณะนั้นเอง ฟาร์มาก็นั่งอยู่นิ่งๆ อย่างใจเย็น ต่างกันปาลเล่ที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานออกจากเก้าอี้ได้ตลอดเวลา
เนื่องจากเรื่องนี้ถือว่ามีความกดดันเป็นอย่างมากเพราะผู้ที่เป็นถึงหัวหน้าแพทย์หลวงกำลังมาตรวจด้วยตัวเอง
ฟาร์มาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรจึงได้แต่ส่งเสียงกระซิบไป
“ท่านพี่ดูเหมือนจะยังป่วยอยู่นะครับ ไม่เป็นไรแน่เหรอ?”
“อ่าาาา นี่นายยังนิ่งแบบนี้อยู่ได้ยังไงกัน จิตใจนายทำมาจากเหล็กหรือไงกัน”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยครับ”
“งั้นท่าทางแบบนั้นมันอะไรกัน?”
“ผมก็แค่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเฉยๆ เอง”
อะแฮ่ม คล็อดได้ทำการกระแอมล้างลำคอของเขา ฟาร์มากับปาลเล่ที่ได้ยินแบบนั้นก็เงียบลง
การกระซิบกระซาบต่อหน้าจักรพรรดินีถือเป็นเรื่องต้องห้าม
หลังจากเสร็จงานส่วนของรัฐมนตรีต่างประเทศ จักรพรรดินีก็ได้นั่งดื่มชาด้วยท่าทางที่งดงามบนโต๊ะของเธอ จากนั้นก็มองดูที่ท้องของตน
“เที่ยงแล้วสินะ เราเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วสิ พวกเจ้าก็เหมือนกันสินะ งั้นทำไมไม่ไปทานพร้อมกันกับเราเลยล่ะ?”
ฟาร์มา ปาลเล่ ต่างก็ได้รับเชิญให้ไปทานมื้อกลางวันด้วยกัน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ปาลเล่ได้รับอนุญาตให้นั่งทานข้างจักรพรรดินี ถือเป็นหนึ่งในเกียรติยศสูงสุดที่เขาเคยรับมาและนั่นมันสามารถเอาไปคุยโม้ได้ทั้งชีวิตที่เหลือของเขาเลย กลับกันทางฟาร์มาที่ได้ทานข้าวกับจักรพรรดินีเป็นประจำจึงตัดสินใจปิดปากไม่พูดอะไรอีก
แล้วอาหารของก็ได้ถูกนำเข้ามาที่โต๊ะกลม
แม้จะไม่ใช่มื้อที่เป็นทางการนัก แต่ก็ยังคงความหรูหราเอาไว้
จักรพรรดินีได้นั่งอยู่บริเวณใกล้กับหน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้
หลังจากที่จักรพรรดินีนั่งไปแล้ว ฟาร์มาและปาลเล่ก็ต่างนั่งลงตาม
หลังจากนั้นจึงได้นำผ้ามาเช็ดทำความสะอาดมือ หลังจากที่ฟาร์มากับพิลลูจก็ต่างใช้ศาสตร์แห่งเทพในการชะล้างมือลงไปถังน้ำ
ในขณะที่ทางจักรพรรดินีซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเพลิงนั้นก็ได้มีข้ารับใช้ที่เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีมาช่วยแทน
แน่นอนว่าก็มีเหล่าข้าราชบริพาร รายล้อมจักรพรรดินีเอาไว้อยู่ระหว่างทานอาหาร สายตาของผู้คนก็ย่อมจับจ้องมายังพวกเขา ซึ่งฟาร์มาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เพราะมันก็คล้ายกับการทานอาหารในวังของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส
“ฟาร์มา อยู่นี่นี่เอง! นายมาตรวจแม่ของเรางั้นเหรอ?”
องค์ชายได้ออกมาต้อนรับฟาร์มา
“ไว้มาล่ากระต่ายกับเราหน่อยสิ”
“ไม่พบกันนานเลยนะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย เรื่องล่ากระต่ายนั่นไว้โอกาสหน้าเถิด จะว่าไปแล้วให้กระหม่อมตรวจองค์ชายด้วยเลยก็น่าจะดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
นายไปรู้จักองค์ชายได้ยังไงเนี่ย? ปาลเล่ส่งสายตาถามมาแบบนั้น
ทำไมคนที่ไม่มีคุณสมบัติอะไรเลยแบบนายถึงได้มีสิทธิ์มาตรวจคนในราชวงศ์แบบนี้ได้ล่ะ
(คงปิดไว้ไม่ได้แล้วสินะ)
ฟาร์มาจึงได้ถอดเสื้อโค้ตของเขาออก ซึ่งภายใต้เสื้อคลุมนั้น มันถูกปักตราสัญลักษณ์รูปมงกุฎซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแพทย์โอสถหลวง
แน่นอนว่ามันเป็นตราของแพทย์โอสถชั้นสูงที่ใช้ทั้งทั่วราชอาณาจักร
“ชะ-!”
พอปาลเล่เห็นตราดังกล่าว ขากรรไกรของเขาถึงกับค้างลงไป และนั่นเองก็คือครั้งแรกที่ปาลเล่ได้รู้ถึงตำแหน่งและความสำเร็จของฟาร์มา
ตัวฟาร์มาเองก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องพูดอะไรกับปาลเล่ต่อดี
“เป็นอะไรไปเหรอ อาหารไม่ถูกปากงั้นหรือ?”
จักรพรรดินีได้ถามปาลเล่ เมื่อเขาส่งเสียงแปลกๆ ออกมา ก่อนที่เขาจะดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
“มะ-ไม่พ่ะย่ะค่ะ! อาหารอร่อยมากเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ได้ยินแบบนั้นเราก็โล่งใจหน่อย”
ปาลเล่นั้นได้รู้ซึ้งถึงตำแหน่งของฟาร์มารวมไปถึงความสัมพันธ์ของเขากับราชวงศ์ในทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไรออกมา
อยากจะกลับบ้านจังเลย เราไม่น่าเข้าวังมาเลยวันนี้ ระหว่างที่เขาคิดแบบนั้นก็ได้ทำการจัดการ อาหารเรียกน้ำย่อยไป 10 จาน จานเนื้อ 3 จาน จานปลา 2 จานและ ของหวานปิดท้ายอีก 4 จาน
ซึ่งของเหล่านี้ถูกจัดวางมาด้วยเครื่องเงินชั้นสูงซึ่งได้ถูกตีตราไว้เรียบร้อยแล้วว่าผ่านการทดสอบพิษ
โดยอาหารดังกล่าวนั้นหรูหรายิ่งกว่ามื้ออาหารของบ้านเดอ เมดิซิสเสียอีก
ถือว่าสมกับที่เรียกว่าอาหารของราชวงศ์ ฟาร์มากับปาลเล่ ได้คุยกับองค์ชายและจักรพรรดินีอย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะค่อยๆ ทานอาหารกันต่อเรื่อยๆ จนกระทั่งทางด้านของคล็อดที่ได้ขอไปตรวจสอบหนังสือต่อเล่มดังกล่าวที่ห้องข้างๆ นั้นกลับมา
“เหนื่อยหน่อยนะ ไหนๆ แล้วก็ไม่มาร่วมทานข้าวกับพวกเราเลยล่ะ?”
“ของพระคุณในความเมตตาพ่ะย่ะค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นหลังจากที่ผมได้อ่านตำราเล่มนี้แล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะถาม ท่านฟาร์มาไปนำความรู้เหล่านี้มาจากที่ใดกัน?”
ฟาร์มากับคล็อดต่างจ้องกันและกัน แต่ฟาร์มาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“… ไม่สามารถบอกได้งั้นหรือ?”
สายตาของเขานั้นเปลี่ยนไปราวกับมองว่าฟาร์มากำลังดูถูกตนอยู่ พอเห็นเช่นนั้นจักรพรรดินีจึงได้กระโดดเข้ามาแทรกเพื่อช่วยฟาร์มาไว้
“นี่ คล็อด อย่าไปรบกวนพวกเด็กๆ เขาแบบนั้นสิ”
“ความจริงแล้วนั่นยังไม่อาจเรียกว่าตำราเรียนได้ครับ เพราะตอนนี้มันยังเป็นเพียงแค่การนำแนวคิดส่วนตัวของผมมาเขียนลงไปเท่านั้น”
ฟาร์มาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคล็อดทันที
“ดะ-เดี๋ยวเถอะ ฟาร์มา?!”
นี่นายพูดอะไรออกมากันเนี่ย? ปาลเล่คิดเช่นนั้น ก่อนจะพยายามตำหนิฟาร์มา แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นฟาร์มาก็ยังคงพูดต่อไป
“แต่หากกรณีที่เราสามารถรวบรวมเหล่านักวิจัยและแพทย์โอสถในการใช้เทคนิคการรักษาภายใต้พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถเก็บข้อมูลสถิติต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น และหากเทคนิคภายในตำราถูกทดสอบว่าได้ผลดี เราก็จะสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ต่อไปได้อีกมากมายครับ”
ก่อนที่ฟาร์มาจะหันมายังจักรพรรดินี
“ดังนั้นนี่จึงถือว่าเป็นตำราที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้นเล่มแรกพ่ะย่ะค่ะ”
“โห….”
จักรพรรดินีรู้สึกสับสนขึ้นมาจากคำของฟาร์มา
“อ่ะ! ในส่วนของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น ผมสามารถยืนยันมันได้ด้วยตัวเองว่าจริงจากร่างกายของตัวผมเองครับ”
ปาลเล่ก็ได้เข้ามาช่วยพูดให้กับฟาร์มา
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้ว รอยยิ้มจางๆ ก็ได้เกิดขึ้นบนริมฝีปากของคล็อด
เขานำตำรานั้นคืนให้กับจักรพรรดินี จากนั้นฟาร์มาก็นึกอะไรออก
“ทางผมได้เตรียมอีกเล่มไว้ให้กับท่านหัวแพทย์หลวงด้วยนะครับ หวังว่าท่านจะรับมันไว้”
“ขอรับไว้ด้วยความยินดี ขอบคุณมาก”
คล็อดแสดงความขอบคุณออกมาขณะรับตำราเล่มนั้นมา
“จากนี้ผมคงต้องใช้เวลากับตำราเล่มนี้อีกสักหน่อยนะครับ แน่นอนว่ารวมไปถึงการตรวจสอบเพิ่มเติมภายในเล่มด้วย แต่นี่ก็ถือว่าเป็นคลังความรู้ทางการแพทย์ที่ล้ำค่าเช่นเดียวกัน หากที่กล่าวมาในนี้ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงไม่ถูกแต่งเติมแล้วละก็มันจะถือว่าเป็นการปฏิวัติประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ที่ผ่านมาทั้งหมดเลยก็เป็นได้ เหล่ายาแผนโบราณและโอสถศาสตร์จะไม่มีคุณค่าใดๆ อีกต่อไป”
พอกล่าวเช่นนั้นจบ คล็อดก็ได้ถอยออกไปอย่างเงียบๆ แล้วก็นำแว่นไปเสียบไว้ที่ชุดคลุมของเขา
“แต่การจะยืนยันทั้งหมดนั้นได้ก็คงต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีไม่ก็สองร้อยปีเลยก็เป็นได้”
สัญชาตญาณของเขานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ฟาร์มาก็เห็นด้วยเพราะด้วยเทคโนโลยีในตอนนี้นั้นไม่มาทางที่เหล่าเทคนิคพวกนี้จะกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้เลย
ฟาร์มารู้สึกชื่นชมในความคิดของคล็อดที่ไม่กลัวจะเผชิญหน้าเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ
จักรพรรดินีที่ได้ฟังคำกล่าวของคล็อด ก็กลับมาไตร่ตรองอะไรเล็กน้อย
“ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเรื่องการตรวจสอบตำราต่างๆ เรายกให้เจ้ากับท่านหัวหน้าแพทย์หลวงจัดการก็แล้วกัน จงจัดลำดับความสำคัญและความถูกต้องให้เป็นอย่างดี ความผิดพลาดภายในนั้นจำเป็นต้องถูกแก้ไขโดยทันที หากการตรวจสอบนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปี ก็จงรีบเริ่มมันเสียตอนนี้”
“ตามพระบัญชาเพราะไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมก็ไม่อาจจะปล่อยตำราเล่มนี้ไปได้อยู่แล้ว”
จากนั้นคล็อดก็ได้ขยิบตาให้กับฟาร์มาทีหนึ่ง
โดยที่ฟาร์มากับปาลเล่นั้นไม่ได้เข้าใจเลยว่าเขาขยิบตาให้ทำไม
“ที่จริงพ่อของท่านได้เชิญผมเข้ามาเป็นคณบดีคนใหม่ของทางภาควิชาแพทยศาสตร์ครับ”
(เป็นงั้นหรอกเหรอ? ไม่ทันจะรู้สึกตัวเลย…)
ดูเหมือนว่าบรูโนจะคอยเคลื่อนไหวและจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้วอยู่เบื้องหลัง
ไม่นานทีนี้ดูเหมือนเขาก็มัวแต่วุ่นอยู่ในวิทยาลัยและมักจะไม่กลับบ้านอยู่บ่อยๆ
แม้คล็อดและบรูโนจะมีการแข่งขันกันในเรื่องของการรักษาที่มีหัวหน้าแพทย์หลวงและโอสถแพทย์หลวงค้ำคออยู่ ก็ไม่ได้ส่งผลในการร่วมมือกันในการจัดการงานวิทยาลัยนี้เลย
การร่วมมือกันของแพทย์ทั้งสองสาขา นั่นคือภาควิชาโอสถวิทยาและภาควิชาแพทยศาสตร์ ถือว่าทรงพลังเป็นอย่างมาก
“การตอบรับของท่านนั้น ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ”
“จะว่าไปท่านก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นคณบดีของภาควิชาวิจัยยาไม่ใช่หรือแถมยังต้องเป็นอาจารย์สอนด้วย”
หลังจากได้ยินคำนั้น ดวงตาของปาลเล่ก็ถึงกับเบิกกว้างออกมาด้วยความตกใจ เพราะตัวเขาก็รู้มาถึงขั้นนี้แล้ว จึงไม่คิดมีอะไรที่จะถูกปิดบังไปมากกว่านี้
“น่าอิจฉาชะมัด….”
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเราก็มาคุยกันตอนนี้เลยดีกว่าครับ หากจะต้องทำงานร่วมกันที่วิทยาลัยแล้ว ผมก็อยากจะให้คุณได้ฟังถึงสิ่งที่จะต้องคุยกับเหล่านักเรียน”
หากพูดถึงคล็อดแล้วจากคำอ้างอิงของพ่อเขาและแพทย์คนอื่นๆ ในวัง เขาถือว่ามีฝีมือในการผ่าตัดที่สูงพอสมควร
เพราะการผ่าตัดบนโลกนี้จะกระทำโดยใช้มือเปล่า (ไม่ใส่ถุงมือ) นั่นสิ่งผลทำให้มีอัตราการเสียชีวิตหลังผ่าตัดสูงมากเนื่องจาก อาการติดเชื้อ ส่วนทางด้านคล็อดที่มีฝีมือในการเย็บเส้นเลือดบางๆ เข้าด้วยกันเพื่อไม่ให้เลือดของผู้ป่วยไหลออกมาได้มากนั้น ประกอบกับการใช้ศาสตร์แห่งเทพในการผ่าตัดด้วยแล้ว อัตราความสำเร็จในการผ่าตัดของเขาถือว่าสูงกว่าคนอื่นๆ มากนัก
หากจะมีปัญหาก็อยู่แค่ตรงที่ด้านสุขอนามัยและการสนับสนุนจากการใช้ยาปฏิชีวนะหลังการผ่าตัด เพื่อช่วยเหลืองานของเขาให้มีโอกาสสำเร็จเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเท่านั้น
แล้วเขาก็จะกลายเป็นแพทย์ที่สมบูรณ์แบบ
“พ่อของท่านนั้นอยากจะเปลี่ยนวิทยาลัยยาแซงต์เฟลิฟของเราให้กลายเป็นสถาบันชั้นนำของโลก ช่างเป็นเรื่องที่แสนวิเศษและดูทะเยอทะยานเสียจริง..…”
น่าสนใจดีใช่ไหมล่ะ?
คล็อดถามด้วยรอยยิ้มที่กล้าหาญ
พอได้ยินเช่นนั้นจักรพรรดินีก็ได้เช็ดริมฝีปากด้วยผ้าก่อนจะถามกลับไป
“คล็อดเจ้าจะช่วยสนับสนุนฟาร์มาใช่หรือไม่?”
“ตัวกระหม่อมนั้นคือแพทย์ ผู้รักษาด้วยหลักวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง ย่อมยอมรับในทฤษฎีที่ถูกต้องเสมอ”
กระหม่อมไม่ใช่ผู้ที่จะจมอยู่แต่กับอดีต ท่าทางของเขาแสดงออกมาเช่นนั้น
“ถ้าวิทยาศาสตร์แผนใหม่นั้นมันสามารถรักษาได้กระทั่งฝีในท้องและกาฬมรณะแล้ว กระหม่อมก็ควรจะยอมรับมันเพื่อเหล่าผู้ป่วยเช่นเดียวกัน”
“เช่นนั้นเองสินะ”
จักรพรรดินีผู้ถูกฟาร์มาช่วยชีวิตเอาไว้ก็พยักหน้าเห็นด้วย
เพราะถ้าไม่ใช่เขา เวลาบนโลกใบนี้ของเธอคงถูกหยุดลงไปแล้ว
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากจะขอคำอนุญาตจากท่านในเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากทุกคนทานข้าวกันเสร็จแล้ว คล็อดก็ได้เสนอบางสิ่งให้กับจักรพรรดินี
“อยากจะให้พระองค์ช่วยอนุญาตให้วิจัยเหล่านักโทษประหารของจักรวรรดิได้หรือไม่?”
จนกระทั่งตอนนี้เหล่านักเรียนที่หวังจะเรียนด้านกายวิภาคนั้นต่างก็ทำได้เพียงแค่ดูเหล่าอาจารย์ของพวกเขาผ่าตัดให้ดูไม่ก็ทดลองผ่ากับพวกสัตว์ด้วยตนเอง
เพราะเป็นแบบนั้นคล็อดเลยคิดว่ามันอาจจะส่งผลให้เกิดความเข้าใจไม่เต็มร้อยในองค์ประกอบของกายวิภาค
“นักศึกษาแพทย์ทุกคนนั้นก็มีความคิดว่าอยากจะลองผ่าสำรวจร่างกายดู ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากการอ่านตำราของท่านฟาร์มาแล้ว ทำให้รู้ได้เลยว่าหลักกายวิภาคที่เราเข้าใจกันมาก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้องเลย เช่นนั้นแล้ว เราจึงจำเป็นต้องมีหนังสือเรียนเล่มใหม่สำหรับเหล่าอาจารย์และนักเรียนเพื่อเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ลงไปครับ”
“ท่านหัวหน้าแพทย์หลวง…”
ฟาร์มารู้สึกประทับใจอย่างคาดไม่ถึงเนื่องจากได้รับการสนับสนุนแบบนี้ เขาแอบเป็นห่วงว่าบรูโนที่มีส่วนร่วมในการปรับโครงสร้างวิทยาลัยขนาดนี้
คล็อดอาจจะมองเป็นปฏิปักษ์และไม่ให้ความร่วมมือเสียอีก
“หื้มมม ได้สิ เราอนุญาต”
แล้วเขายังขอให้เหล่านั้นโทษประหารนั้นถูกแขวนคอแทนการถูกยิงอีกด้วย
เพื่อให้ได้ร่างกายที่สมบูรณ์ที่สุดในการเรียนการสอน
“ต้องขอขอบพระคุณมากจริงๆ นะครับ ท่านแพทย์หลวง”
ฟาร์มาถึงกับโค้งคำนับ
——
ช่วงปลายของเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1147 เป็นช่วงที่มีลมหนาวรุนแรง
มหาวิหารที่ถูกตั้งอยู่ไกลจากจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ได้มีเสียงหนึ่งของนักบวชดังขึ้นมาภายในโบสถ์ของนครจักรศักดิ์สิทธิ์ เหล่านักบวช และ นักบวชฝึกหัดชายหญิง ต่างก็ได้รีบรุดหน้าไปยังจัตุรัสกลาง
หิมะได้ตกลงมาหน้าจนปกคลุมวิหารและรูปปั้นตลอดทางเดินที่เต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง
เหล่าพาลาดินและยามเฝ้าระวังต่างรักษาระยะห่างกันอย่างพอดี
สถานที่สำคัญของทางวิหารนั้นไม่ใช่บนพื้นดินแต่อย่างใด แต่กลับเป็นใต้พื้นนั้นต่างหาก
สถาปัตยกรรมอันงดงามเหนือพื้นดินนั้นส่วนใหญ่มีไว้เพียงแค่ให้เหล่านักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาเข้าชมเท่านั้น
แต่ข้างใต้นั้นกลับเป็นเขาวงกตที่ถูกปกป้องไว้ด้วยเขตแดนต่อต้านปีศาจที่ทรงพลังจนสามารถป้องกันการโจมตีจากเหล่าปีศาจทั่วโลกเอาไว้ได้
แต่ตอนนี้ การประชุมประจำปีดังกล่าวนั้นได้ถูกจัดขึ้นเหนือห้องพื้นดิน
การประชุมครั้งนี้มีสันตะปาปาซึ่งเป็นผู้นำของนครศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วม
รวมไปถึงเหล่า คาร์ดินัลทั้ง 10 ที่มาจากแหล่งสำคัญต่างๆ ทั่วโลก
นอกจากนั้นก็เป็นเหล่านักบวชกว่า 100 คนจากทั่วโลก
ห้องประชุมดังกล่าวนั้นเป็นเหมือนกับชามใบใหญ่โดยตรงศูนย์กลางนั้นเป็นที่นั่งของนักบวชชั้นสูงและเหล่าคาร์ดินัลรวมไปถึงแท่นบูชาที่ถูกจัดตั้งไว้
หลังจากการทักทายและสวดภาวนากับสันตะปาปาปิอุสเสร็จสิ้น เหล่าคาร์ดินัลก็ได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ของแต่ละประเทศที่ตนสังกัดและรวมไปถึงพวกปีศาจร้ายด้วย
“มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะให้ท่านทราบครับ”
ในช่วงที่การประชุมเริ่มได้สักพัก หนึ่งในคาร์ดินัลที่ได้รับหน้าที่เป็นประธานถึงกับต้องประกาศบางสิ่งออกมาด้วยความตกใจ
“ในขณะนี้ อาจจะถึงช่วงเวลาที่เทพผู้พิทักษ์นั้นจะได้สืบเชื้อสายและส่งคนผู้นั้นมายังบนโลกของพวกเราแล้วก็เป็นได้”
“น่ะ- …นั่นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”
เป็นไปตามคาด เหล่านักบวชทั้งหลายต่างเริ่มส่งเสียงดังกันออกมา
“แล้วเป็นผู้พิทักษ์องค์ใดกันล่ะ?”
“เรื่องนั้นไม่อาจทราบได้ครับ”
ในขณะที่เหล่านักบวชต่างพูดคุยกันอยู่นั้น ซาโลม่อนหัวหน้านักบวชจากจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ เป็นเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนอย่างเงียบๆ เพราะตัวตนของผู้พิทักษ์ที่จุติมายังบนโลกใบนี้นั้น มีเพียงแค่ตัวเขาคนเดียวในนี้ที่ทราบถึง
ตัวเขาไม่ได้ขยับอะไรแม้เพียงน้อยและปล่อยให้ตนสงบนิ่งไปทั้งอย่างนั้น
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น จากมุมมองของเขา เขาก็พบว่าคาร์ดินัลนั้นกำลังได้ชี้ไปยังจุดหนึ่งบนโลกนี้ด้วยไม้เท้า
“ด้วยความเคารพ ตัวผมมีความเชื่อว่าเทพผู้พิทักษ์องค์นั้นได้จุติลงยังจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟครับ เนื่องจากข้อมูลตลอดสองปีที่ผ่านมานั้น ไม่พบถึงกิจกรรมของพวกปีศาจร้ายและสัญญาณใดๆ เลยแม้แต่น้อยกระทั่งการพบเห็น”
เหล่าปีศาจร้ายนั้นต่างกระจายไปยังที่ต่างๆ บนโลกในสัดส่วนที่ไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะหายไปเลยจากดินแดนใดดินแดนหนึ่ง
เพราะแบบนั้นจากการสังเกต พวกปีศาจทั่วโลกแล้วแบบนี้มันเป็นเรื่องที่แปลกเกินไป
ราวกับว่าพวกมันหลีกเลี่ยงจะไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิแล้วเลือกหนีไปแถบชายแดนไม่ก็ประเทศใกล้เคียงแทน
นอกจากนี้ยังมีรายงานเกี่ยวกับการที่เมืองหลวงของจักรวรรดิสามารถจัดการควบคุมกาฬมรณะได้เสียอยู่หมัด
เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการปกป้องด้วยพรศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือคำอธิบายจากคาร์ดินัลคนนั้น
“หัวหน้านักบวชซาโลม่อน โปรดก้าวออกมาข้างหน้า”
“ฮ่ะ”
ซาโลม่อนได้ลุกจากโต๊ะพร้อมกับขานรับ ขณะนั้นเขาก็คิดว่าจะตอบอย่างไรดีเมื่อเดินไปถึงกลางห้อง
สายตาทุกดวงต่างจดจ้องไปยังเขา ซาโลม่อนได้เตรียมใจก่อนจะคุกเข่าต่อหน้าพระสันตะปาปา
“ไม่มีสัญญาณของพวกเหล่าปีศาจหรือแม้แต่การพบเห็นในจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ในฐานะผู้ปกป้องดินแดนแห่งนั้น เจ้าย่อมรู้ดีสินะว่าเกิดอะไรขึ้นซาโลม่อน”
พระสันตะปาปาปิอุสกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่กลับทรงพลังเป็นอย่างมาก
เพราะตัวเขานั้นกล่าวได้ว่าเป็นราชาของทุกประเทศบนโลกนี้แม้กระทั่งการปลดฐานะเหล่าจักรพรรดิก็ยังทำได้ง่ายดาย
เพราะเขาคือผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางศาสนจักรแล้วนั่นเอง
แม้กระทั่งซาโลม่อนผู้คนเป็นอดีตสมาชิกของคณะผู้ไต่สวนก็ไม่อาจจะต้านทานความกดดันนี้ได้
เพราะเบื้องหลังของคำพูดเหล่านั้นมันคือวาจาสิทธิ์
“เรื่องนั้น ผมก็ยังไม่ค่อยทราบเกี่ยวกับมันเท่าใดนัก….”
“สาบานต่อองค์เทพผู้พิทักษ์เสียสิ ตัวเจ้านั้นกล้าสาบานต่อคำพูดดังกล่าวนั้นหรือไม่”
ซาโลม่อนได้ถูกบังคับให้สาบานตนต่อหน้าพระคัมภีร์
ความศรัทธาในตัวของเขานั้นในตอนนี้ถูกรอการพิสูจน์จากเหล่านักบวชทั่วโลก นั่นถือเป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุด จนทำให้เขาตัวแข็งขึ้นมา เพราะผู้ที่โกหกต่อคำสาบานนั้นจะต้องได้รับโทษจากสวรรค์
“เป็นอะไรไปเล่า ไม่สามารถทำได้งั้นหรือ คำสาบานนั้น”
พระสันตะปาปากล่าวออกมาด้วยความเคร่งขรึม ซาโลม่อนนั้นกำลังต่อสู้กับความศรัทธาภายในใจของตน หากตัวเขายังเงียบอยู่แบบนี้จะเป็นเช่นไร ก่อนที่แสงในดวงตาของปิอุสจะคมชัดยิ่งขึ้น
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า…เป็นเมืองใดกันในจักรวรรดิที่เทพผู้พิทักษ์ได้ลงมาจุติ?”
“คงจะไม่ดีเป็นแน่หากยังชักช้าเพราะตัวท่านอาจจะกลับไปยังสรวงสวรรค์ก่อนก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเราควรเชิญท่านให้มาที่นี่โดยเร็ว”
คาร์ดินัลได้แสดงความต้องการเชื้อเชิญเทพผู้พิทักษ์ออกมา
นั่นก็เป็นเรื่องจริง…ซาโลม่อนยอมรับอยู่ในใจ
ก่อนที่เขาจะตอบกลับออกไปด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ถึงแม้พระองค์จะจุติมายังเมืองหลวงของจักรวรรดิ แต่ผมเชื่อว่าการที่ไม่ไปแทรกแซงพระองค์ท่านจะเป็นการดีที่สุดครับ เพราะจะมีสิ่งใดที่มหาวิหารจะสามารถทำเพื่อพระองค์ได้นอกเหนือจากนี้กัน”
“นี่เจ้าพูดอะไรออกมา?! มันเป็นหน้าที่ของเหล่านักบวชอยู่แล้วที่จะเชื้อเชิญท่านเข้ามายังแดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะท่านไม่สมควรที่จะไปอาศัยอยู่ในโลกภายนอกที่โสมมเช่นนั้น ดังนั้นเราจึงต้องได้ตัวท่านมายังที่แห่งนี้ให้ได้”
คาร์ดินัลแสดงความรู้สึกไม่พอใจออกมา
แต่นั่นมันก็เป็นเพียงคำพูดให้สวยหรู
เพราะตั้งแต่โบราณกาล เมื่อใดก็ตามที่เหล่าเทพได้จุติลงมานั้นพวกเขาก็มักจะถูกควบคุมตัวไปในเวลาไม่นาน
พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาจะถูกดึกออกมาเพื่อนำไปใช้ในพิธีกรรมลับ
พวกเขาต่างกลบความเลวร้ายเหล่านั้นภายใต้นามของความศรัทธา เพื่อนำพาให้มหาวิหารนั้นมีพลังและอำนาจเหนือใครบนโลกใบนี้
เป็นผลทำให้ความอดทนของเหล่าเทพผู้พิทักษ์ที่มีต่อมนุษย์หมดลงและกลับไปยังสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เป็นเช่นนั้น ทางมหาวิหารไม่เคยเรียนรู้ใดๆ เลย
ซาโลม่อนถอนหายใจอย่างเงียบๆ
“ผมทราบดีว่าตัวพระองค์นั้นชอบจะอยู่ในที่ใด และที่แห่งนั้นก็เป็นหนึ่งในสถานที่โปรดของผมด้วย ตัวของพระองค์มีเหตุผลในการจะอยู่ที่ตรงนั้น และผมเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าเหล่าเทพเจ้าควรจะอยู่ที่ใด”
ในปัจจุบันนั้นมีเพียงเทพผู้พิทักษ์องค์เดียวเท่านั้นที่จุติลงมาบนโลกนี้
นั่นคือเทพโอสถ ซึ่งสถิตอยู่ในร่างกายของฟาร์มา เดอ เมดิซิส
ซึ่งไม่เหมือนกับเทพพิทักษ์องค์อื่นๆ ฟาร์มาไม่ได้เดินทางเผยแพร่ความศรัทธาไปทั่วโลกเช่นเทพองค์อื่น เขาเพียงอาศัยอยู่ในจักรวรรดิและเปิดร้านขายยา มีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปมาได้สองปีแล้ว
ซึ่งมันเป็นระยะเวลาที่ผิดปกติกับการคงอยู่ของเทพผู้พิทักษ์ที่ผ่านมา
เมื่อเร็วๆ นี้เขาก็ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับฟาร์มาไว้ด้วย แถมสิ่งที่เขาทำนั้นก็เหมือนเป็นการอวยพรให้กับเหล่ามนุษยชาติทั้งหมดแล้ว นั่นคือสิ่งที่ซาโลม่อนคิด แต่มิอาจจะเอ่ยเช่นนั้นออกมาให้กับมหาวิหารฟังได้
สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้จริงๆ ก็แค่ปล่อยให้ฟาร์มาทำที่ใจอยาก ทั้งงานของเขา ทรัพย์สมบัติ และความสะดวกสบาย รวมไปถึงปกป้องสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่
เพื่อจะทำให้ตัวเขานั้นสามารถอยู่บนโลกนี้ได้นานขึ้นอีกหน่อย
แน่นอนว่าพระสันตะปาปาคงไม่อาจจะเข้าใจในเหตุผลดังกล่าวได้เป็นแน่
เขาก็เพียงมองฟาร์มาเป็นแหล่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย
“แล้ว เจ้าจะไม่สารภาพงั้นหรือ?”
น้ำเสียงของปิอุสเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“เช่นนั้นถือว่าเป็นการทรยศ”
เหล่าคาร์ดินัลได้ทำการล้อมซาโลม่อนเอาไว้
ผู้ที่ปกปิดข้อมูลจากมหาวิหารถือว่าเป็นผู้ทรยศและการที่ปฏิเสธต่อคำสาบานต่อหน้าพระคัมภีร์ รวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับฟาร์มาด้วย นั่นก็เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่าเขาต้องถูกนำตัวไปทรมานและสอบสวนโดยคณะผู้ไต่สวน
ตัวเขาอาจจะถูกปิดวงจรพลังแห่งเทพไปเลยก็เป็นได้
“จากความคืบหน้าในการสืบสวนแล้ว เราทราบมาว่าได้มีการแลกเปลี่ยนสถานที่จัดตั้ง คทาแห่งเทพโอสถกับดาบแห่งเทพจันทราระหว่างโบสถ์กันเอง เป็นไปได้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันในกลุ่ม รวมไปถึงเรื่องสมบัติลับชิ้นอื่นๆ จากมหาวิหารด้วย จากหลักฐานดังกล่าวมันได้เชื่อมโยงไปถึงรายงานการปฏิวัติทางการแพทย์รวมไปถึงสาขาที่ใกล้เคียงของทางจักรวรรดิ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะต้องเป็นเทพโอสถลงมาจุติยังเมืองหลวงของจักรวรรดิเป็นแน่”
“น่ะ-นั่นมัน…”
ซาโลม่อนได้หันหน้ามาเจอกับสายตาของปิอุสก่อนจะพบว่าตัวเองไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้อีก
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”
ปิอุสได้ข้อสรุป
“งั้นที่เราต้องทำก็เพียงการค้นหาแพทย์โอสถที่เพิ่งปรากฏตัวในเมืองหลวงของจักรวรรดิไม่นานมานี้ เอาล่ะทีนี้ก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องถามตัวเจ้าอีกแล้ว”
ในช่วงสองปีที่ผ่านมานอกจากฟาร์มาแล้วก็คงไม่มีแพทย์โอสถคนใดจะปรากฏตัวและโดดเด่นไปกว่าตัวเขาอีกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเกินหนึ่งวันในการค้นหาเสียด้วยซ้ำ
“ต้องเป็นคนเดียวกับแพทย์โอสถที่จัดการกับกาฬมรณะได้เป็นแน่ จงหาตัวเขาให้พบเสีย”
――ดูเหมือนความโดดเด่นของฟาร์มาจะไปต้องตาของอันตรายเอาเสียแล้ว
——–
Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913