บทที่ 97 เจ้าเคยฟังเรื่องเล่าของข้าด้วยเหรอ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 97 เจ้าเคยฟังเรื่องเล่าของข้าด้วยเหรอ?

อวี๋จือพยักหน้า “เราสามคนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนก็มีอาจารย์ท่านเดียวกันช่วยชี้แนะ คอยกระตุ้นกันและกัน ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ดีมาก”

ต้องซื่อบื้อขนาดไหนกัน? หากผู้อื่นไม่หลอกลวงเขาก็ต้องโทษเขาที่คิดว่าคนบนโลกล้วนมีจิตใจที่ดีเกินไปต่างหาก

เหยาซูมองเขาด้วยสีหน้าอับจนคำพูด “ความสัมพันธ์ที่ดีงั้นหรือ? หากเป็นความสัมพันธ์ที่ดี แล้วเหตุใดพี่ชายทั้งสองของเจ้าถึงไม่เป็นกังวลเรื่องที่เจ้าต้องออกไปข้างนอกเพียงลำพังเลยเล่า?”

ไม่ทันที่อวี๋จือจะโต้แย้ง เหยาซูก็ถามขึ้นอีกว่า “แล้วความรู้ของเจ้าล่ะ? เปรียบเทียบกับพี่ชายทั้งสองแล้ว เป็นอย่างไร?”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างนอบน้อม “ชนะพี่ชายทั้งสองหนึ่งต่อ”

เหยาซูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หากนางแต่งงานกับบัณฑิตหยุมหยิมเช่นนี้ เกรงว่าคงได้ถูกทรมานด้วยการกินข้าวน้อยลงสองชามเป็นแน่

นางหันไปพูดกับหลินเหราประโยคหนึ่งว่า “ท่านเป็นคนไร้การศึกษาน่ะดีแล้ว ต่อไปก็อย่าเลียนแบบความอวดเก่งของบัณฑิตจากพี่รองอีกล่ะ!”

หลินเหราคิดว่าถึงแม้ตัวเองจะเป็นคนหยาบช้า กลับได้อ่านตำรามากมาย แต่อวี๋จือรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น

เขาขมวดคิ้วพลางถามว่า “ฮูหยินหลิน พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

เหยาซูเบิกตาโพลง คิ้วคู่งามขมวดเข้าหากันแต่ยังดูงดงาม “เรียกข้าว่าแม่นางเหยาเถอะ!”

บางทีคนสวยก็อาจเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่ใคร ๆ ก็โกรธไม่ลง เมื่อครู่อวี๋จือยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่เลย เมื่อเห็นความไม่พอใจของหญิงงามตรงหน้าผู้นี้ ก็ทำได้เพียงแค่ให้อภัย “ก็ได้ ๆ แม่นางเหยา”

ทันใดนั้นก็ได้ยินหลินเหรากล่าวด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “เรียกเจ้าว่าฮูหยินหลินแล้วอย่างไรเล่า? เจ้าไม่ใช่ฮูหยินของข้าหรือ?”

อวี๋จือเบิกตามองไปยังเหยาซูที่ยังโกรธอยู่เมื่อครู่ บัดนี้แก้มทั้งสองที่ขาวราวกับหยกเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว พร้อมกับหยิกแขนของชายหนุ่มเล็กน้อย “ข้ายังเยาว์วัยแค่เพียงนี้ ยังไม่อยากถูกเรียกว่าฮูหยิน!”

ร่องรอยความเย็นชาบนใบหน้าของหลินเหราอ่อนลงในพริบตา จากนั้นก็หยิบขนมบนโต๊ะวางลงตรงหน้าของนาง และกล่าวว่า “ก็ได้ ๆ เจ้าคือแม่นางเหยา แม่นางเหยากินขนมหรือไม่?”

เวลานี้ อวี๋จือไม่เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความสำคัญจากเหยาซูแล้ว ทั้งยังถูกสองสามีภรรยาอย่างพวกเขามองข้ามอย่างเปิดเผยด้วย

เหยาซูชำเลืองตามองไปยังสีหน้าที่ชายหนุ่มแปลกหน้าแสดงออกมา ก่อนจะส่งเสียงกระแอมไอด้วยความรู้สึกเกรงใจ

นางยกชาขึ้นจิบปกปิดความอึดอัดใจ “พี่อวี๋… ข้าไม่ได้พูดว่าเจ้าไม่ดีนะ เพียงแต่ไม่ค่อยชินกับคำพูดของเจ้า แน่นอน คำพูดของเจ้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

อวี๋จือรู้สึกหดหู่อยู่ในใจ ที่เขาขึ้นมาชั้นบนเดิมทีเพราะอยากให้ทั้งสองคนยืนยันว่าระหว่างทางเข้าเมืองนั้นไม่ราบรื่นใช่หรือไม่ คาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบในทางตรงกันข้ามยังไม่พอ ทั้งยังต้องมาเห็นสามีภรรยาพลอดรักกันต่อหน้าอีกด้วย

แต่ก็ช่างเถอะ… แม่นางที่งดงามและละเอียดอ่อนตรงหน้าผู้นี้ไม่เพียงแต่จะแต่งงานออกเรือนแล้ว ทั้งยังดูไม่ชอบเขาอีกด้วย ช่างโชคร้ายยิ่งนัก

บางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าของชายหนุ่มที่ดูน่าสงสารจับใจ เหยาซูจึงอยากช่วยให้เขาเห็นความจริงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยการถามเขาต่อ “อย่าหดหู่ใจไปเลย ลองถามอาจารย์ที่สั่งสอนพวกเจ้าดูสิ ว่าประเมินความรู้ของพี่น้องทั้งสามอย่างพวกเจ้าอย่างไร?”

เวลานี้อวี๋จือไม่มีความเกรงใจใด ๆ อีก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “อาจารย์บอกว่า ความรู้ของพี่ชายทั้งสองไม่ได้ดีไปกว่าข้า”

เหยาซูพยักหน้าพร้อมกับแสดงสีหน้า ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ ออกมา

นางเห็นว่าอวี๋จือไม่สังเกตเห็นถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำถามของตัวเอง จึงทำได้แค่พูดออกไปตรง ๆ “พ่อหนุ่ม เจ้าเสียรู้พี่ชายทั้งสองเสียแล้วละ”

อวี๋จือขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นเหยาซูสงสัยในตัวพี่ชายที่เติบโตมาพร้อมกับเขาตั้งแต่เด็กจึงยืนยันหัวชนฝาว่า “เป็นไปไม่ได้!”

เมื่อเห็นสีหน้าระแวดระวังที่เขาแสดงออกมา เหยาซูจึงขบขันเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดกับหลินเหราว่า “เจ้าดูเด็กโง่เขลาผู้นี้สิ! คนนอกเตือนเขาด้วยความหวังดี เขากลับโทษกล่าวคนหวังดีเสียอย่างนั้น! ข้าไม่สนใจแล้วนะ! เมืองหลวงเขาคงไม่ต้องไปแล้ว เตรียมตัวสอบสามปีหลังจากนี้อย่างเชื่อฟังไปเถิด!”

หลินเหราเห็นสีหน้าไม่ได้ดั่งใจของนาง จึงอดขำไม่ได้

ดูท่าสิ่งที่พี่รองพูดไว้คงถูกต้อง อาซูเป็นคนที่ปากอย่างใจอย่างจริง ๆ

นางมีน้ำใจ จริงใจ ซื่อตรงและใจดีอย่างชัดเจน ทว่าหลังจากถูกเข้าใจผิดจึงแสดงท่าทางดื้อรั้นจนต้องสวมบทบาทเป็นจอมวายร้าย ช่างน่ารักยิ่งนัก

หลินเหราเดิมทีไม่อยากพูดสิ่งใดแล้ว กลับทนไม่ได้ที่เจตนาดีของเหยาซูต้องเสียเปล่า จึงวิเคราะห์ให้อวี๋จือฟัง “เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนหรอก ท่าทางการสนทนาพาทีของเจ้าไม่เหมือนกับคนธรรดาทั่วไป คิดว่าน่าจะเป็นลูกหลานในตระกูลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและบารมี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนในตระกูลนั้นซับซ้อนนัก ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองในตระกูลได้เข้าเรียนพร้อมเจ้า ไม่เพียงแต่คิดกับเจ้าเป็นพี่น้อง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสัมพันธ์ที่แข่งขันกันอีกด้วย เจ้าลองคิดเรื่องนี้ดูสิ ถ้าหากปีนี้เจ้าสอบไม่ได้ แต่พวกเขาทั้งสองกลับได้สูงกว่านั้น จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในบ้านเล่า?”

โดยทั่วไปแล้วในตระกูลแบบนี้ แม้แต่พี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันก็ยังทะเลาะเบาะแว้งกันได้ไม่รู้จบเพื่อทรัพยากรเพียงเล็กน้อยและทรัพย์สินในตระกูล นับประสาอะไรกับลูกพี่ลูกน้อง

อวี๋จืออดคิดตามความคิดของหลินเหราไม่ได้ หากปีนี้เขาสอบเข้าไม่ได้ แต่พี่ชายทั้งสองสอบได้ระดับท้องถิ่น เกรงว่าในตระกูลคงจะโวยวายเป็นแน่

แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามพี่น้องนั้นดีมาก มักจะพูดได้ว่า พวกเขาสามคนไม่มีทางขัดแย้งกันเองเหมือนครอบครัวอื่น ๆ โดยเด็ดขาด เช่นนั้นพี่ชายทั้งสองคนจะมาทำร้ายเขาด้วยเหตุใดกัน?

เมื่อเห็นสีหน้าลังเลที่อวี๋จือแสดงออกมาหลินเหราจึงกล่าวต่อว่า “ส่วนหลักฐานนั้น ก็คือเรื่องที่เจ้าเจอกับขบวนรถหลังจากที่ออกจากบ้านได้ไม่นาน หลอกให้เจ้าร่วมเดินทางด้วย แต่กลับพาเจ้าอ้อมไปยังซีเป่ย เมื่อเห็นเจ้าจับคำหลอกลวงของขบวนรถได้ จึงแยกทางกับพวกเขา เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ของก็มาหายในยามวิกาล บนโลกใบนี้ไฉนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้? นับประสาอะไรกับขบวนรถที่เดินทางไปซีจิง ในเมื่อไม่ได้รู้จักกัน เหตุใดต้องพาเจ้าอ้อมไปด้วย?”

อวี๋จือโง่เขลาไปชั่วขณะ ชายหนุ่มมองมายังหลินเหราแล้วค่อยมองไปยังเหยาซู โดยไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงมองไปยังเหยาซูอีกครั้งและกล่าวอย่างลังเลว่า “แล้ว…ที่ข้าคิดว่าตัวเองโชคไม่ดีมาตลอด…แต่ แต่ว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันนะ เป็นไปไม่ได้กระมัง?”

เหยาซูกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มองข้าทำไม ใช้สมองของเจ้าที่เอาแต่อ่านตำราคิดดูสิ ว่าใครกันแน่ที่เสียรู้ ทำไมถึงต้องเสียรู้! เจ้าเป็นนักเล่าเรื่องในร้านน้ำชา ยังเล่าเกี่ยวกับชีวประวัติของกษัตริย์และขุนนางที่มียศถาบรรดาศักดิ์อะไรนั่นอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ในตำราไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าความคิดลวงโลกของคนเหล่านั้น เหมือนกับกฎเกณฑ์ที่ว่าชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร? เกี่ยวเนื่องไปถึงผลประโยชน์ ใครบอกว่ามิตรภาพระหว่างพี่น้องกับเจ้า…”

ความรั้นของนาง แม้แต่คนที่อืดอาดเชื่องช้าอย่างอวี๋จือก็ยังดูออก

ท่าทางโกรธเกรี้ยวดวงตาเบิกกว้างของแม่นางผู้งดงามตรงหน้า ช่างน่ารักจนทำให้ผู้คนไม่อาจคิดลบใด ๆ ได้เลย

อวี๋จือยังหน้าแดงระเรื่อ ความคิดล่องลอยออกไป ก่อนจะถามอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่า “แม่… แม่นางเหยารู้ว่าข้ากำลังเล่าชีวประวัติได้อย่างไร? เจ้าเคยได้ยินข้าเล่าเรื่องแล้วหรือ?”

หลินเหราขมวดคิ้ว งอนิ้วชี้เคาะโต๊ะอย่างหนักหน่วงสองครั้ง “นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ”

เมื่อครู่ชายหนุ่มยังแสดงนิสัยที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พริบตาเดียวก็เปลี่ยนไปทำให้คนไม่กล้ามอง อวี๋จือหนาวสั่นโดยไม่รู้ตัว อยากยืนให้ห่างออกไปในทันที

เมื่อเหยาซูเห็นหลินเหราไม่พอใจ ก็นึกถึงสาเหตุที่เขามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาได้ ในใจจึงรู้สึกหวานล้ำไม่น้อย

หญิงสาวกระแอมไอเบา ๆ ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อปลอบประโลมอารมณ์ไม่ดีของหลินเหรา และกล่าวกับอวี๋จือว่า “เรื่องที่เจ้าเล่าเรายังไม่มีโอกาสได้ฟัง… เด็กในร้านบอกมาว่าเจ้าเล่าชีวประวัติของกษัตริย์และขุนนางที่สูงส่ง”

‘ชี่’ เปลวไฟดวงเล็ก ๆ ที่ไม่สมควรสว่างขึ้นในใจของอวี๋จือก็พลันดับมอดลง

เขาพูดอย่างกระดากอายว่า “ใช่ ใช่เลย เรื่องที่ข้าเล่า ดูสิคุณชายหลินและแม่นางเหยาคนแบบนี้ก็ยังไม่ได้ฟัง”

เหยาซูรู้ว่าอวี๋จืออยากชื่นชมพวกเขา ทว่าเหตุใดคำพูดคำจาถึงดูไม่เหมือนชมเลยสักนิด นางส่ายหน้า ปล่อยวางความคาดหวังในด้านสติปัญญาของบัณฑิตโง่เขลาผู้นี้

หญิงสาวทอดถอนใจ “เอาล่ะ เจ้าผู้ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียนที่ดี มีอนาคตที่สดใส ไม่จำเป็นต้องมาลำบากเล่าเรื่องอยู่ในร้านน้ำชาแห่งนี้… ตอนนี้คงจะรวบรวมค่าเดินทางได้พอสมควรแล้วกระมัง รีบคิดว่าจะเข้าเมืองอย่างไรจะดีกว่า”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้อวี๋จือก็กลัดกลุ้มทันใด เขารวบรวมค่าเดินทางได้บางส่วนแล้ว แต่ถ้ายังต้องมาติดอยู่ในเมืองชิงถง ค่าใช้จ่ายทั้งกินทั้งอาศัยในทุกวันไม่ต้องเอ่ย หากพลาดการสอบ…

เห็นได้ชัดว่าต้องลำบากเป็นแน่ ทว่าอวี๋จือกลับไม่ได้ขอร้องหรือขอความช่วยเหลือจากทั้งสองคน เหยาซูมองไปทางเขาตรง ๆ รู้ว่าความทรนงและความตรงไปตรงมาบนตัวของชายหนุ่มผู้นี้ยังมีอยู่ไม่น้อย

นางขยิบตาให้กับหลินเหรา แต่เมื่อเห็นเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองจึงกล่าวกับอวี๋จือว่า “พี่อวี๋ หากเจ้าไม่รังเกียจ เรามีที่อยู่แห่งหนึ่ง เจ้าไปพักค้างอ้างแรมได้ ถือว่าแก้ไขเรื่องที่ด่วนไปได้ชั่วคราว”

ดวงตาคู่นั้นของอวี๋จือเปล่งประกาย แต่กลับข่มความบุ่มบ่ามในการรีบพยักหน้าของเขาไว้ ตรงกันข้ามก็ได้กล่าวอย่างลังเลว่า “แม่…แม่นางเหยา คุณชายหลิน เราไม่ใช่ญาติกัน ถ้าหากเอาเปรียบพวกท่านสองคนโดยเปล่าประโยชน์ ในใจข้าน้อยคงยากจะสงบลงได้จริง ๆ…”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เสียรู้ญาติแล้วล่ะพ่อบัณฑิตหนุ่ม โดนกลั่นแกล้งให้ไปสอบไม่ทันเสียแล้ว

เป็นความทรมานของคนโสดเหลือเกินที่ต้องมาดูสามีภรรยาคู่นี้หวานใส่กัน

ไหหม่า(海馬)