เหยาซูยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่เคยจากบ้านเกิดเมืองนอนมาก่อน ต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ทั้งยังถูกหลอกจนตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้… หากเป็นผู้อื่นถ้าช่วยได้ ก็คงอยากช่วยเจ้าเช่นกัน”
ในใจของอวี๋จือซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ตั้งใจฟังเหยาซูและหลินเหราปรึกษาหารือกัน “บ้านของพี่รองหลังนั้นตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ ไม่สู้ให้พี่อวี๋ไปพักสักสองสามวัน จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายที่เขาต้องใช้ในโรงเตี๊ยมทุกวันด้วย”
หลินเหราพยักหน้า “วันนี้ข้าจะไปถามพี่รองให้”
เหยาซูกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จากนิสัยของพี่รองแล้ว เขาจะต้องบอกว่าแล้วแต่เราเป็นแน่ ท่านยังไม่รู้จักเขาอีกหรือ?”
เหยาเฉามีจิตใจกว้างขวางและยังใจดีมีคุณธรรม เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ดูท่าคงไม่เป็นปัญหาอะไร
อวี๋จือยกมือขึ้นประสานโค้งคำนับและกล่าวขอบคุณทั้งสอง “นับแต่นี้ไป อวี๋จือขอจดจำการช่วยเหลือที่โอบอ้อมอารีของพวกท่านทั้งสองในวันนี้ไว้! แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นดั่งที่คาดหวัง แต่ก็ไม่มีทางลืมความช่วยเหลือของแม่นางเหยาและคุณชายหลินโดยเด็ดขาด วันข้างหน้าข้าจะกลับมาตอบแทนอย่างแน่นอน…”
เหยาซูรีบยื่นมือออกมาห้ามปราม “หยุดก่อน ๆ! พอแล้ว ไม่ต้องเกรงใจแล้ว! เหตุใดยังไม่จบเสียที! ยืมที่พักอ้างแรมแค่สองวันเท่านั้น ไฉนเลยต้องทำถึงเพียงนี้!”
อวี๋จือมีประสบการณ์การเสียรู้จากลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนมาแล้ว เมื่อเห็นเหยาซูที่มีความซื่อสัตย์จริงใจเช่นนี้ จึงหลั่งน้ำตาออกมาสองหยด พร้อมกับมองไปยังหลินเหราอย่างทอดถอนใจ “แม่นางเหยาเป็นสตรีที่เพียบพร้อมมากจริง ๆ…”
หลินเหรากระตุกมุมปากราวกับจะบอกว่า ‘แล้วอย่างไร นางเป็นของข้า ‘
อวี๋จือกลับไม่เชิงว่ามีใจให้แก่เหยาซู เพียงแต่ใครก็ตามที่เจอะเจอกับหญิงสาวที่มีหน้าตาคล้ายกับที่ตัวเองปรารถนา ทั้งยังใจดีเช่นนี้ ก็ต่างอดใจอยากเข้าไปสัมผัสไม่ไหว
ช่วยไม่ได้ในเมื่อแม่นางเหยาแต่งงานกับคุณชายหลินไปแล้ว…
แม่นางเหยาและคุณชายหลินช่วยเหลือเขา ชายหนุ่มจึงคิดว่าทั้งสองคือสหาย
สุภาพบุรุษไม่แย่งคนรักของผู้อื่น แล้วนับประสาอะไรกับการอยากได้ภรรยาของมิตรสหาย เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ทำโดยเด็ดขาด!
อวี๋จือพยักหน้าไปทางหลินเหราด้วยสีหน้าจริงจัง พลางคิดในใจว่า ‘คุณชายหลิน ท่านวางใจเถอะ! ข้าเพียงแต่ชื่นชมแม่นางเหยาอย่างบริสุทธิ์ใจ วันข้างหน้าไม่มีทางคิดอะไรเกินเลยโดยเด็ดขาด!’
หลินเหรากลับมองไปทางอวี๋จืออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไร
เหยาซูเห็นท่าทางที่ฟ้องออกมาทางสีหน้าของทั้งสองคน จึงเผลอหลุดยิ้มก่อนกล่าวว่า “เวลาแค่ไม่นาน พวกท่านสองคนก็เริ่มยักคิ้วหลิ่วตาใส่กันแล้วหรือ? ข้าพลาดอะไรไปเนี่ย?”
ทั้งสองคนอยู่พูดคุยกันอีกไม่กี่คำ เมื่อเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสี เหยาซูจึงกล่าวลาอวี๋จือ
“พวกเรายังมีเรื่องต้องทำ สู้เราค่อยมาเจอกันในร้านน้ำชาตอนเที่ยงวันดีกว่า ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปพักในบ้านของพี่รอง เช่นนั้นเป็นอย่างไร?”
อวี๋จือพยักหน้าหงึกหงัก “แน่นอน ๆ ทั้งสองท่านไปจัดการธุระเสียก่อนเถอะ เราเจอกันตอนเที่ยงวันก็ได้”
เหยาซูยิ้ม “งั้นหากเราถึงแล้ว ก็ให้ถามเด็กในร้านหรือ?”
รอยยิ้มอันสดใส ดวงตาที่เปล่งประกาย ฟันที่ขาวผ่องของนาง ยังงดงามยิ่งกว่าเนื้อหาที่ว่า ‘สุกสกาวประดุจแสงรุ่งอรุณของดวงอาทิตย์ สดใสดุจดอกบัวที่ชูช่ออยู่ในแม่น้ำ’ ในหนังสือเสียอีก
อวี๋จือพลันรู้สึกว่าคำพูดหรือวลีที่พรรณนาถึงความงดงามของสตรีในบทกวีที่เคยอ่านในอดีต ดูเป็นรูปธรรมขึ้นมาในทันที
อวี๋จือแย้มมุมปากเล็กน้อย “อ่า… อ่อ ขอรับ!”
เมื่อเห็นเขานิ่งอึ้ง เอ่ยคำพูดคำจาตะกุกตะกัก เหยาซูก็อดขบขันไม่ได้ หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมกับดึงตัวของหลินเหราเดินไป
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันอยู่บนถนน เหยาซูยังดึงแขนเสื้อของหลินเหราเอาไว้ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ส่วนปากก็ยังพึมพำกับเขาว่า “ข้าให้อวี๋จือไปอาศัยอยู่ในบ้านของพี่รอง ก็เพื่อจะเห็นเขาอยู่ในสายตา อย่าให้บัณฑิตที่โง่เขลาผู้นั้นเดินทางไปยังเมืองหลวงเองเลย ถึงตอนนั้นหากเจอกับโจรภูเขาขึ้นมา ชีวิตนี้คง…”
ในขณะที่พูดนั้น นางก็ได้แต่ทอดถอนใจยาว “อย่าว่าแต่ความพากเพียรหลายปีของเขาต้องสูญเปล่าเลย ชายหนุ่มที่แสนดีเช่นนี้ ใครเล่าจะทนดูเขาตายได้?”
หลินเหราไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจเหมือนกับเหยาซู
สำหรับเขาแล้ว อวี๋จือเป็นแค่คนผ่านทางที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ในเมื่อตอนนี้เขารู้จักชื่อของเขาแล้ว ฟังเรื่องราวของเขาแล้ว หากคนผู้นี้ตายไปสักวันจริง ๆ เกรงว่าในใจของหลินเหราก็คงไม่ได้รับผลกระทบมากมายเท่าไหร่นัก
เขาไม่มีทางพูดเรื่องในใจเหล่านี้กับเหยาซูโดยเด็ดขาด ชายหนุ่มทำได้แค่พยักหน้าให้นาง “เจ้าคิดให้รอบคอบแล้วกัน”
เหยาซูทอดถอนใจอีกครั้งและกล่าวว่า “เห็นท่าทางของเขาแล้วก็รู้ทันทีว่าถูกเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางคิดร้ายกับผู้อื่นแม้แต่น้อย”
นางยังเป็นกังวลเรื่องที่อวี๋จือตอบตกลงจะเข้าพักในบ้านที่พวกเขาจัดให้โดยไม่ไถ่ถามให้มากความ ทว่ากลับได้ยินเสียงอันหดหู่ใจของผู้เป็นสามีดังขึ้น “อาซู เขาดูสนใจเจ้านะ”
เหยาซูหัวเราะ พลางส่ายหน้าทันที “เด็กโง่ผู้นั้นดู ๆ แล้วอายุก็ยังไม่มากนัก จะไปเข้าใจอะไร!”
หลินเหรากลับไม่ละความพยายามในเรื่องนี้ เมื่อนึกถึงสายตาชื่นชมที่อวี๋จือมองมายังเหยาซู จึงดื้อดึงกล่าวต่อ “ในตอนที่ข้าอายุเท่าเขา ก็ได้เป็นพ่อของอาจื้อแล้วนะ”
เหยาซูตัวแข็งทื่อเพราะคำพูดของเขา อวี๋จือยังดูเด็กอยู่เลย ทว่าในสายตาของคนเก่าคนแก่ ก็คือวัยที่สามารถแต่งงานมีลูกได้แล้ว…
นางทำได้แค่ปลอบใจหลินเหรา “ท่านวางใจเถอะ มีท่านอยู่เขาไม่กล้าคิดเกินเลยหรอก ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้สนใจเขาด้วย อาเหรา ข้าคิดว่าหากข้ามีน้องชาย บางทีอาจจะมีลักษณะท่าทางเช่นอวี๋จือก็เป็นได้…”
วินาทีที่เจอกับอวี๋จือ เหยาซูนึกถึงน้องชายที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่เติบโตมาพร้อมกับนางในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นมาทันที
สายตาของเขาก็เหมือนกับอวี๋จือ ไร้เดียงสาจนอยากจะใช้นิ้วชี้ดีดหน้าผากเขาพร้อมด่าว่าโง่เง่า
เหยาซูแย้มยิ้มก่อนจะกล่าวกับหลินเหราว่า “คิดเสียว่าเขาเป็นน้องชายสักคนแล้วกัน เราดูแลเขา หาทางให้เขาไปสอบในเมืองโดยราบรื่น วันข้างหน้าจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของนางอ่อนโยนลง รอยยิ้มก็โอนอ่อนเหมือนกับกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวไปตามลม ตรึงตาตรึงใจยิ่งนัก
หลินเหรารู้ว่าเหยาซูเกิดมาพร้อมกับความงดงาม แม้ว่าจะอยู่บนถนนใหญ่ ก็ยังไม่วายกลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจที่สุด เขาหมดปัญญาจัดการกับสายตาและความคิดของคนภายนอก
ชายหนุ่มทำได้แค่กล่าวอย่างหดหู่ใจว่า “อาซู ข้าอยากซ่อนเจ้าไว้จริง ๆ”
เหยาซูให้อภัยความหึงหวงกะทันหันของเขา ทำได้แค่ยิ้มและถือโอกาสถามหลินเหรา “ซ่อนข้าไว้เหรอ? จะซ่อนที่ใดเล่า?”
หลินเหราส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ขอแค่ซ่อนเจ้าไว้ในสถานที่ที่ไม่มีใครเห็นก็พอ”
แม้ว่าจะคลี่คลายปมในหัวใจแล้ว อีกทั้งความรู้สึกที่เหยาซูมีต่อหลินเหราเพิ่งจะอยู่ในขั้นตอนเริ่มแตกหน่อก็ตาม แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขา ในใจของนางก็ยังปีติดีใจไม่น้อย
ทว่าปากของนางกลับกล่าวว่า “เอาสิ หลินเหรา ท่านคิดจะใช้โซ่มาล่ามข้าอีกใช่หรือไม่?”
หลินเหราครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ไม่เอาล่ะ แบบนั้นเจ้าก็ลำบากแย่สิ …. ข้าคิดว่า ฝังสาวสวยไว้ในห้องทองคำ[1]ก็พอ”
เหยาซูประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านรู้จักคำว่า ‘ฝังสาวสวยไว้ในห้องทองคำ’ ด้วยหรือ? งั้นเจ้าก็รู้เรื่องราวของสำนวนนี้นะสิ?”
ที่หลินเหรายังคิดอยู่ตลอดว่าเหยาซูนั้นกล่าวหาว่าตัวเองเป็น ‘ชายหยาบช้า’ บางทีอาจเป็นเพราะนิสัยของพวกผู้ชายที่ชอบพิสูจน์ตัวเองก็ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะอธิบายว่า “รู้แน่นอน เป็นห้องทองคำที่จักรพรรดิอู่ฮั่นสร้างขึ้นเพื่อเฉินอาเจียว อาซู ข้าก็อ่านหนังสือมามากพอสมควรนะ”
ครานี้ถึงตาที่เหยาซูจะตะลึงงันบ้างแล้ว
นางคิดว่าหลินเหราไม่รู้หนังสือมาโดยตลอด ทันทีที่ได้ยินเขาพูดว่าตัวเองอ่านหนังสือมามากมาย ไม่รู้ว่าควรจะไปต่ออย่างไรดี
เขารู้หนังสือก่อนลงสู่สนามรบงั้นหรือ? เช่นนั้นนางก็น่าจะรู้ว่าเขาเคยอ่านหนังสือมาบ้างสิ?
เหยาซูไม่กล้าเอ่ยปาก กลัวว่าจะปล่อยไก่โดยไม่ทันระวัง หลินเหรากลับเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเพื่อเปิดทางให้นางเอง “เมื่อครั้งอยู่ชายแดน เวลาว่างนอกจากการฝึกฝนแล้ว ในค่ายทหารยังมีบัณฑิตซิ่วไฉที่รู้หนังสืออยู่ผู้หนึ่ง มักจะท่องกวีแต่งกาพย์กลอนอยู่เสมอ ทั้งยังสอนหนังสือพวกทหารอีกด้วย”
เหยาซูพยักหน้า ครุ่นคิดในใจ ‘หากเป็นแบบนี้ เกรงว่าหลินเหราก็คงไม่รู้หนังสือมากมายเท่าไหร่’
ทว่ากลับได้ยินเขาพูดว่า “ต่อมาข้าก็รู้จักหนังสือทั้งหมด ท่านแม่ทัพอนุญาตให้ข้าเข้าไปอ่านหนังสือในห้องหนังสือของเขาได้ ท่านแม่ทัพยังชมข้าอยู่บ่อย ๆ ว่ามีพรสวรรค์ในการอ่านหนังสืออีกด้วย”
ใบหน้าที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของเขา บัดนี้ได้แสดงสีหน้าคาดหวังออกมาเลือนราง
เหยาซูชื่นชมเขาอย่างเข้าใจ “ท่านเก่งมาก!”
หลินเหรากระตุกมุมปาก
เหยาซูหมดปัญญา หลินเหราเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ มีอำนาจควบคุมผู้อื่น แต่กลับหลอกง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ!
ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือไม่ สมแล้วที่เป็นพระเอกแม้แต่รัศมีก็ยังเจิดจรัสเพียงนี้ ระยะเวลาแค่หนึ่งปี ได้ติดตามบัณฑิตซิ่วไฉผู้ไร้นามผู้หนึ่ง เรียนรู้จนตัวเองรู้หนังสือ อีกทั้งยังได้เข้าไปอ่านหนังสือที่เจ้าตัวซ่อนไว้ในห้อง…
นี่คงเป็นพรสวรรค์ในฐานะพระเอกจริง ๆ สินะ
เหยาซูครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่งพร้อมถามออกไปอีกว่า “หลินเหรา ท่านบอกว่าหากท่านไปสอบ แม้แต่บัณฑิตจอหงวนท่านก็เป็นได้งั้นสิ?”
ขอแค่เป็นเรื่องที่พระเอกอยากทำ ก็คงไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้สินะ?
ชายหนุ่มเงียบไป
ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงได้เอ่ยปากว่า “อาซู จอหงวนไม่ได้สอบง่ายถึงเพียงนั้น…ยิ่งไปกว่านั้น ข้าในฐานะทหาร วันข้างหน้ายังเลือกเส้นทางประลองวิทยายุทธ์เองได้”
เหยาซูคิดว่านางจะต้องดึงตัวหลินเหรามาทำการทดสอบนี้ให้จงได้ นางอยากเห็นว่า โชคชะตาจะเข้าข้างหลินเหรามากเพียงใด
นางยิ้มพลางกล่าวว่า “เอาไว้วันว่าง ๆ ท่านก็ลองไปอ่านหนังสือหรือไม่ก็สอบขุนนางดูสิ! เป็นตัวอย่างให้แก่ลูก ๆ จะได้พูดได้ว่าพ่อของตัวเองเก่งทั้งบู๊และบุ๋น มีชื่อเสียงทั้งบู๊และบุ๋น จะประลองวิทยายุทธ์หรือสอบจอหงวน ก็ล้วนเก่งกาจทั้งสิ้น!”
เหยาซูยิ้มอย่างเบิกบานใจ นัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนแววตาแห่งความคาดหวังอย่างชัดเจน
หลินเหราเห็นว่าแววตาของเหยาซูไม่คล้ายว่านางกำลังล้อเล่น ตรงกันข้ามกลับเหมือนตั้งใจที่จะเปลี่ยนความคิดเพ้อฝันให้กลายเป็นความจริง เขาก็พลันปวดหัวทันใด แต่กลับทนไม่ได้หากต้องทำให้นางผิดหวัง
โชคดีที่ทั้งสองคนมาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว หลินเหราจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างชาญฉลาด “เรื่องนี้ค่อยพูดกันวันหลังแล้วกัน ตรงหน้าคือบ้านที่พี่รองบอก เราเข้าไปกันก่อนเถอะ”
น้อยนักที่เหยาซูจะเห็นท่าทางยอมแพ้ง่าย ๆ ของบุรุษผู้นี้ จึงแอบอมยิ้มในใจ นางยิ่งอยู่ยิ่งชอบเห็นหลินเหราที่ไร้ความรู้สึกต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมปากเพราะคำพูดของนางเสียเหลือเกิน
นางแกล้งทำเป็นพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ก็ได้ เราเข้าไปดูบ้านกันก่อนเถอะ!”
[1] 金屋藏娇jin1 wu1 cang2 jiao1 การฝังสาวสวยในห้อง “金屋” jin1 wu1 หมายถึง “ห้องทองคำ” “藏” cang2 หมายความว่า “ฝัง” “娇” jiao1 หมายถึง สาวสวยในสมัยราชวงศ์ฮั่น
สารจากผู้แปล
หยอกล้อกันหวานหยดเหลือเกินน้า มีใจให้พระเอกเรื่องนี้แล้วล่ะสิอาซู
ไหหม่า(海馬)