ลานเล็กที่ไม่ใหญ่นักแห่งนี้ ตั้งอยู่ท้ายตรอกซอยที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีต้นหลิวสูงใหญ่สองสามต้นโดดเด่นอยู่ข้างนอก

สายลมบางเบาพัดโชยผ่าน พาให้ต้นหลิวที่งอกงามพลิ้วไสวไปตามแรงลม บ้านหนึ่งหลังกับต้นไม้หนึ่งต้นที่มองเห็นได้จากที่ไกล ๆ ช่างดูโดดเด่นเป็นสง่ายิ่งนัก

เหยาซูยังไม่เดินเข้าไป เมื่อเห็นทิวทัศน์ตรงหน้าก็พลันตกหลุมรักที่นี่ทันที

แววตาของหญิงสาวฉายแววตื่นตกใจ จากนั้นก็หันกลับไปมองหลินเหราพลางถามว่า “ท่านหาสถานที่แบบนี้เจอได้อย่างไร?”

หลินเหราได้ยินน้ำเสียงที่ปนความดีใจของนางก็รับรู้ทันทีว่านางชื่นชอบ จึงกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “วิงวอนพี่รองให้ช่วยค้นหาหลาย ๆ ที่ ซึ่งก็มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ค่อนข้างเงียบสงบ หากเจ้าชอบเราก็เข้าไปดูกันเถิด”

เหยาซูยิ้มพลางพยักหน้า “ฝึกฝนน้อยคือจำศีลอยู่ในป่า ฝึกฝนใหญ่คือจำศีลอยู่ในเมือง… ในเมืองที่วุ่นวายก็ยังมีสถานที่ที่เงียบสงบเช่นนี้อยู่อย่างไม่น่าเชื่อ เร็วเข้า เราเข้าไปดูกันเถอะ”

ทั้งสองคนพูดจบ ก็ยกเท้าก้าวเดินเข้าไปในลานเล็ก ๆ ทันที

ประตูบ้านทำจากไม้หลีสีดำ ไม่ได้ลงกลอนไว้

ลานบ้านแห่งนี้ดูไม่ใหญ่นักหากมองจากภายนอก ทว่าภายในกลับเหมือนสรวงสวรรค์…

บ่อน้ำ คอกม้า สวนผักมีครบครันทุกสิ่งอย่าง ทั้งยังสร้างราวกั้นที่สามารถเลี้ยงสัตว์ปีกได้อีกด้วย

เหยาซูหันกลับมาด้วยความประหลาดใจ พลางกล่าวกับหลินเหราว่า “ที่นี่ไม่เลวเลยจริง ๆ!”

นางรู้สึกว่าลานเล็กในบ้านของหมู่บ้านตระกูลเหยานั้นเล็กเกินไป แค่วางของจิปาถะ ซักผ้าตากแดด ก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

สถานที่แห่งนี้ เวลาว่างก็ยังสามารถปลูกดอกไม้ ผักผลไม้ต่าง ๆ ได้อีก

“เอ้อเป่าเห็นลูกไก่จากบ้านท่านยายในต้นฤดูใบไม้ผลิ มันยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ก็อยากอุ้มมันกลับไปเลี้ยงเองสองตัว…หากนางได้เห็นที่นี่ จะต้องดีใจมากเป็นแน่”

เรียวคิ้วของเหยาซูเลิกสูงขึ้น พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ราวกั้น มองดูร่องรอยของไก่เป็ดที่เคยเลี้ยงไว้อยู่ภายใน

หลินเหราแนะนำว่า “ไม่สู้เข้าไปดูในบ้านดีกว่า?”

ทิศเหนือของบ้านหันไปทางทิศใต้ ซึ่งมีทั้งหมดสามห้อง

ห้องทิศเหนือคือห้องโถง มีพื้นที่ใหญ่ที่สุด รับแสงได้ดี ส่วนที่สองคือห้องทิศตะวันออก ถัดไปคือห้องทิศตะวันตก ภายในมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน แม้จะมีร่องรอยที่บอกถึงอายุใช้งานไปบ้าง แต่กลับสะอาดสะอ้าน เจ้าของเดิมของบ้านหลังนี้ยังทะนุถนอมบ้านของตัวเองมากอีกด้วย

เหยาซูเดินสำรวจห้องเหล่านั้นรอบหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวกับหลินเหราอย่างแปลกใจว่า “ห้องนี้ดูไปแล้วก็ไม่เลวเลยทีเดียว …เจ้าของเดิมไม่อยู่แล้วหรือ?”

หลินเหราพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ครอบครัวก่อนหน้านั้นเป็นบัณฑิตทั้งบ้าน ต่อมาก็สอบขุนนางได้ทั้งบ้านจึงพากันย้ายไปตามที่ต่าง ๆ บ้านหลังนี้จึงว่างในที่สุด”

เหยาซูเผยสีหน้าสงสัย “ดู ๆ ไปแล้ว ห้องนี้ไม่เหมือนกับห้องที่ไม่มีคนอยู่ตลอดปีเลยนะ?”

“อื้อ” ฝ่ายชายอธิบาย “คนผู้นั้นสอบเป็นขุนนางได้เมื่อสามปีก่อน ต่อมาก็รอตำแหน่งว่างมาโดยตลอด”

สมัยโบราณหลังจากที่สอบขุนนางได้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะได้บรรจุขุนนางในทันที

ตำแหน่งขุนนางในราชสำนักมีจำนวนแน่นอน มีหลายตำแหน่งต้องรอให้คนก่อนหน้าลาออกจากตำแหน่งเสียก่อน คนรุ่นหลังถึงจะสามารถเข้าไปรับตำแหน่งแทนได้ นี่ก็คือ ‘การรอตำแหน่ง’

บางยุคสมัยมักจะพบกับคนที่สอบขุนนางผ่านแล้ว ทว่าเพราะไม่มีคนรู้จักในราชสำนัก เอกสารจึงถูกเก็บไว้ในกล่องมาโดยตลอด รอนานอยู่หลายสิบปีก็ยังไม่มีตำแหน่งว่าง สุดท้ายก็ค่อย ๆ แก่ตัวไป

เหยาซูทอดถอนใจ “สอบขุนนางไม่ง่ายเลย! สิบปีที่พากเพียรศึกษา ทั้งที่สอบเข้าได้แล้วแท้ ๆ ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตา แล้วหากโชคไม่ดีไม่ต้องรอตลอดชีวิตเลยหรืออย่างไร?”

หลินเหราตอบกลับ “หากครอบครัวที่ยากจนอยากเข้ารับราชการ ก็มีแต่ต้องสอบขุนนางเพียงหนทางเดียว”

ไม่รู้ว่าทำไม จู่ ๆ เหยาซูก็ถึงนึกถึงบัณฑิตน้อยที่มาเล่าเรื่องในร้านน้ำชาขึ้นมา “อวี๋จือดูไปแล้วก็น่าจะมีฐานะไม่เลว คิดว่าหากสอบไม่ได้หรือได้ลำดับรั้งท้าย ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบมากมายนัก …แต่ก็ยังหวังว่าเขาจะไม่พลาดการลงสนามสอบในคราวนี้ จนต้องเสียเวลาไปอีกสามปีโดยเปล่าประโยชน์”

ถึงกระนั้นการสอบขุนนางในสมัยโบราณก็ยังถือว่าเป็นฝูงชนที่อยากข้ามสะพานไม้เดียวกัน เปรียบเทียบกับการสอบในสมัยปัจจุบันแล้ว น่าอนาถใจยิ่งกว่า

เมื่อหลินเหราได้ฟังคำพูดของเหยาซู หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากันแน่น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “อาซู เหตุใดเจ้าต้องนึกถึงเขาด้วยเล่า?”

เหยาซูเดินเล่นรอบหนึ่ง จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องโถงอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้

นางปราดมองไปยังสีหน้าของหลินเหราแวบหนึ่ง จึงอดยิ้มไม่ได้ “ข้านึกถึงเขาที่ไหนกัน?”

หลินเหราเดินรุดขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง โดยไม่พูดสิ่งใด

เหยาซูเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ก็นึกถึงภาพล้อเลียนของเจ้าหมาฮัสกี้ขึ้นได้ จึงส่งเสียงกระแอมไอสองครั้ง ยอมอ่อนข้อให้ “เอาล่ะ ข้าไม่เอ่ยถึงเขาแล้ว พอใจหรือยัง?”

นางยิ้มพร้อมดึงเขามายังเก้าอี้อีกด้าน ให้เขาและตนเองนั่งตรงข้ามกัน จากนั้นก็เอ่ยถามเรื่องอื่น “ข้าชอบบ้านหลังนี้มาก เราเช่ามันได้เลยใช่หรือไม่?”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องจริงจัง อารมณ์ปั่นป่วนอื่น ๆ ของหลินเหราเหล่านั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง “เจ้าของบ้านต้องการขาย เสนอราคาอยู่ที่สองร้อยตำลึง”

เหยาซูคำนวณเงินที่เหลือจากการขายชาดทาหน้าเมื่อปีที่แล้ว

ตอนนั้นกล่องชาดแกะสลักที่นางทำขายได้ราคาสูงที่สุด ขายให้กับเหล่าฮูหยินของขุนนางชั้นสูงที่มั่งคั่งร่ำรวยกล่องละสิบตำลึง ทั้งหมดสี่สิบกล่องนั้นขายได้หมดเกลี้ยง ซึ่งมีรายได้เข้ามาเป็นเงินสี่ร้อยตำลึง เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาได้ใช้จ่ายไปไม่น้อย จ่ายสะเปะสะปะ ทว่ากลับหยิบออกมาจ่ายเพียงแค่สองร้อยตำลึงเท่านั้น

ทว่าครอบครัวชาวนาทั่วไปใช้เงินไม่เกินสิบตำลึงต่อปี บ้านขนาดเล็กหลังนี้ต้องจ่ายถึงสองร้อยตำลึง

นางทอดถอนใจชั่วครู่ ไม่ว่าจะปัจจุบันหรือว่าสมัยโบราณ ราคาบ้านก็ไม่เคยต่ำเลย!

ทั้งยังได้ฟังหลินเหรากล่าวต่อว่า “เรื่องเงินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจัดการเอง”

เหยาซูขบขันเล็กน้อย ปิ่นปักผมที่ซื้อให้นางเมื่อหลายวันก่อน ชายหนุ่มถึงกับต้องเอาของที่มีมูลค่าชิ้นสุดท้ายในร่างกายไปแลกเปลี่ยน แล้วตอนนี้จะเอาเงินที่ใดมาซื้อบ้านกัน?

นางรู้ว่าหลินเหราไม่ยอมให้นางออกเงินเป็นแน่ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านต้องให้เงินตระกูลหลินเดือนละสิบตำลึงทุกเดือนไม่ใช่หรือ? บ้านในหมู่บ้านตระกูลเหยาเราก็ซื้อแล้ว สถานที่แห่งนี้ ไม่ต้องซื้อทันที…”

ชายหนุ่มพยักหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใด

เมื่อเหยาซูเห็นท่าทางนั้นของหลินเหรา ก็คิดได้ว่าเขาอาจจะมีความคิดบางอย่างในใจ

ทว่านางไม่ได้เริ่มเอ่ยออกมาก่อน แค่จะดูว่าเมื่อถึงเวลานั้นหลินเหราจะปรึกษานางหรือไม่

ทั้งสองคนสำรวจบ้านหลังนี้อย่างละเอียดหนึ่งรอบ ในตอนนี้เวลาก็สายมากแล้ว เหยาซูจึงกล่าวกับหลินเหราว่า “ท่านไปจวนตรวจการเร็วหน่อย ไปหาพี่รองหน่อยเถิด”

หลินเหราตอบตกลงและถามเหยาซูอีกว่า “ประเดี๋ยวข้าต้องไปหาเจ้าที่ใด?”

เหยาซูมีเรื่องต้องไปหาเถ้าแก่หลิวพอดี จึงเอ่ยกับหลินเหราว่า “ข้าต้องไปร้านขายผ้าก่อน รอท่านคุยกับพี่รองเสร็จแล้ว เราค่อยไปร้านน้ำชากันก็ได้”

ทั้งสองคนเดินออกจากลานเล็ก แยกกันไปคนละทาง

เหยาซูเดินเอ้อระเหยจนมาถึงร้านขายผ้า เถ้าแก่หลิวกำลังบ่นเด็กในร้านกระปอดกระแปด

ทันทีที่นางเข้าใกล้ กลับได้ยินว่าเด็กในร้านใช้ค่าแรงที่เพิ่งจ่ายซื้อของบางอย่างไป เถ้าแก่จึงไม่พอใจอย่างมาก “เจ้าเด็กโง่นี่ เจ้าได้ค่าแรงทุกเดือนเท่าไรกันเชียว?! ถึงได้ซื้อของที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ เก็บเงินเหล่านี้ไว้บ้างจะได้แต่งสะใภ้ ไม่ก็ช่วยจุนเจือครอบครัว ดีกว่าที่เจ้าเอาไปใช้จ่ายเป็นไหน ๆ?!”

ใบหน้าของเด็กในร้านแต้มด้วยรอยยิ้มตลอด พลางตอบรับอย่างว่าง่าย “ไอหยา! อาจารย์ ต่อไปข้าไม่ซื้อแล้ว”

เขาเป็นเด็กฝึกงานตามสถานที่ต่าง ๆ มาตั้งแต่อายุยังน้อย เคยชินกับการเรียกคนที่นำพาเขาว่า ‘อาจารย์’

เถ้าแก่หลิวได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิมในทันที “ต่อไปจะไม่ซื้อแล้วงั้นหรือ? เดือนที่แล้วใครกันที่พูดว่าเดือนนี้จะเก็บเงินอย่างแน่นอน?! ยังจะกล้าพูดว่าครั้งต่อไปอีก?!”

เขาใช้ไม้บรรทัดที่ใช้สำหรับวัดขนาดของผ้าบนตู้ฟาดลงบนแขนของเด็กในร้านที่ไม่ได้ดั่งใจอย่างต่อเนื่อง เห็นดูรุนแรงเช่นนี้แต่แท้จริงแล้วกลับไม่รู้สึกเจ็บอะไรทั้งสิ้น

เด็กในร้านยังหัวเราะ ‘ฮิฮิ’ ได้อีก โดยไม่กล่าวสิ่งใด

ทั้งสองคนไม่เห็นเหยาซูที่อยู่หน้าประตูแต่อย่างใด นางเดินเข้าไปในร้านและเอ่ยกับเถ้าแก่ร้านเองว่า “เถ้าแก่หลิว ไม่เจอกันหลายวัน ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อเถ้าแก่หลิวเห็นเหยาซู ไฟแห่งโทสะที่ถูกเด็กในร้านจุดขึ้นมาก็พลันหายไป ใบหน้าล้วนแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูมาแล้ว! ก็พึ่งใบบุญของคุณหนูนั่นแหละขอรับ ช่วงนี้กิจการไม่เลวเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าสำเร็จรูป ขายดียิ่งนัก!”

พูดไปเขาก็เบิกตากว้าง มองไปทางเด็กในร้าน “มีก็แต่เด็กในร้านนี่แหละไม่เชื่อฟัง ทำให้ข้าโกรธได้ทุกวี่ทุกวัน”

เหยาซูรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธจริง ๆ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านปากร้ายใจดี ด่าคนก็จริง แต่ก็ทำเพื่อคนผู้นั้น แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้นเล่า ได้ยินเหมือนเด็กในร้านไปซื้อของบางอย่าง? ”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อาซูจะได้บ้านใหม่แล้ว มีพื้นที่ไว้ใช้สอยเยอะขึ้นกว่าเดิม แถมอยู่ใกล้กับร้านค้าอีก

ไหหม่า(海馬)