ตอนที่ 148 หายนะ กับดักคร่าชีวิต (3)
วันนี้ ซินอี้หมิงคือลูกเขยในอนาคตของตระกูลพวกเขา เพิ่งแลกสมุดผูกดวงกัน ให้สินสอดทองหมั้น วันนี้ซินอี้หมิงคือคนสำคัญของงาน แลtวันนี้เจี่ยนมั่วไป๋จะทิ้งซินอี้หมิงเอาไว้ในงานกลางคันได้อย่างไร ทิ้งคุณชายทุกคนไปดูดอกกล้วยไม้ แล้วเชิญตนไปชมภาพวาด?
ยอมไม่คิดคำนึงมากถึงเพียงนั้น ต่อให้เจี่ยนมั่วไป๋จะตามหาเขา ก็ควรจะส่งบ่าวรับใช้คนสนิทมา ไม่ใช่สาวใช้ที่ไม่คุ้นหน้า นี่ต้องเป็นฝีมือสตรีต่ำช้าเรือนในเหล่านั้นกำลังเล่นคิดวิธีสกปรกเป็นแน่
อุปสรรคและความยากลำบากในจวนหลังใหญ่ จะมีใครรู้ดีกว่าเขา ตระกูลเจี่ยนเทียบกับตระกูลซูแล้ว เป็นเพียงตระกูลขุนนางระดับสูงที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น ใบหน้าของซูชีฉายรอยยิ้มเยือกเย็น สำหรับคนที่คิดลอบทำร้ายเขา เขาไม่เคยปรานีมาก่อน เขาอยากจะรู้นักว่าเป็นสตรีไม่กลัวตายคนใด ช่างเถอะ นางรนหาที่เอง ช่วงนี้ข้าอารมณ์หดหู่อยู่พอดี มีความบันเทิงให้เสพสรรมาหาเขาถึงที่โดยไม่เปลืองเงิน ในเมื่อมีความสุขเหตุใดจึงไม่ไปทำเล่า
เขาซูชีไม่ใช่คนดี
ตอนสามขวบ เขาเผาผมของอนุภรรยา ตอนเก้าขวบ เขาเคยต่อยซื่อจื่อน้อยจวนกั๋วกง ตอนสิบขวบ…ปีที่เขาสิบขวบเกิดหายนะครั้งใหญ่ ยั่วโมโหคนที่ไม่อาจยั่วได้ เพื่อปกป้องเขา ท่านแม่จึงส่งเขาออกนอกเมืองหลวง…
เขาจะให้สตรีคนนั้นรู้ว่า ของบางสิ่งไม่อาจเพ้อฝันได้
เขารู้ดี แต่ว่าเขาไม่พูดออกมาอย่างชัดเจน
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ทำตัวไม่ถูก ความเย็นยะเยือกบนตัวซูชีบีบคั้นนาง ยืนสั่นไปทั้งตัวอยู่ตรงนั้น
ทว่าซูชีกลับยิ้ม…อย่างเป็นมิตร ยิ้มด้วยความสนิทสนมอย่างมาก เป็นรอยยิ้มตลกขบขันเสมือนที่ผ่านมา “สาวใช้ที่ไม่รู้ความ ยังไม่รีบนำทางอีก อยากจะให้ข้าตบรางวัลให้หรือ”
สาวใช้คนนั้นฟังเขาพูดหยอกล้อเช่นนี้ โล่งอกขึ้นมาทันที “บ่าวไม่กล้ารับรางวัลจากคุณชายเจ็ดเจ้าค่ะ คุณชายเจ็ดเชิญตามบ่าวมา”
สาวน้อยคนนั้นหันหลัง เดินนำทางอยู่ด้านหน้า พัดเล่มเล็กของซูชียังคงสะบัดไปมา ทว่าใบหน้าของเขากลับมาเยือกเย็นดังเดิม
ไม่นานก็มาถึงห้องหนังสือ ทว่าภายในห้องกลับไม่มีผู้ใด
สาวใช้คนนั้นเห็นว่าในห้องไม่มีผู้ใด ดวงหน้าของนางฉายความละอาย ยกน้ำชามาให้ พูดด้วยความเคารพ “คุณชายเจ็ดเชิญนั่งเจ้าค่ะ คุณชายเดินมาพักหนึ่งน่าจะเหนื่อยแล้ว ดื่มน้ำชาแล้วรอสักครู่นะเจ้าคะ คาดว่าคุณชายใหญ่น่าจะอยู่ระหว่างทางแล้ว”
“อืม” ซูชีรับน้ำชามา ดมกลิ่นน้ำชา แล้วดื่ม
ยาน้ำนี้ ไร้คุณภาพเสียจริง! ยาน้ำคุณภาพชั้นต่ำเช่นนี้ ยังกล้านำออกมาให้ขายหน้าอีก
เขาเป็นผู้มีวรยุทธ์ มีหรือที่จะไม่อาจระงับแม้กระทั่งยาปลุกกำหนัดชั้นต่ำนี่ สตรีคนนี้ช่างไร้เดียงสาเสียจริง
หากอยากดูการแสดง ก็ต้องแสดงก่อน!
ซูชีดื่มน้ำชา ใช้เวลาเพียงครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นมาจับศีรษะ สะบัดหน้าเล็กน้อย ทำทีเหมือนเวียนหัวและหลงกลเข้าให้แล้ว
แม้สีหน้าของสาวใช้จะยังคงตกตะลึง ทว่าแววตาของนางยิ้มด้วยความทระนง “คุณชายเจ็ดเป็นอะไรไปเจ้าคะ ดื่มที่โถงหน้ามากเกินไปหรือเจ้าคะ เวียนศีรษะเล็กน้อยหรือ เช่นนั้นไปพักที่ห้องด้านหลังครู่หนึ่งเถอะเจ้าค่ะ รอให้คุณชายใหญ่มา บ่าวจะไปตามคุณชาย ดีหรือไม่เจ้าคะ”
โดยทั่วไปแล้วในจวนของผู้ที่ร่ำรวยจะมีห้องสำหรับพักผ่อน กั้นอยู่ด้านหลัง
“อืม เช่นนั้นก็ดี” ซูชีกุมศีรษะพร้อมกับเหยียดกายลุกขึ้น เดินเข้าไปด้านใน สาวใช้คนนั้น กลับเดินออกไป แล้วปิดประตูห้องหนังสือ
ซูชีหัวเราะเยือกเย็น คนที่อยู่ด้านในหายใจหอบ เห็นชัดว่าตื่นเต้นยิ่งนัก เขาสัมผัสได้มานานแล้ว ตอนเข้ามาในห้องหนังสือ เขาก็สำรวจภายในห้องหนังสือแล้ว เห็นด้านบนเปิดหน้าต่างระบายลม เขาคลายยิ้มร่า คิดได้แล้วว่าจะออกไปอย่างไร จะดูละครเรื่องใหญ่อย่างไร
……
ภายในห้องของเจี่ยนชิงโยว มั่วเชียนเสวี่ยกำลังหยอกล้อเจี่ยนชิงโยว “ซินอี้หมิงทำการรวดเร็วเสียจริง คิดไม่ถึงว่าเร็วขนาดนี้ จะจัดการได้ราบรื่นเช่นนี้”
“อืม” แม้เจี่ยนชิงโยวจะพูดเพียงคำเดียว ทว่าสีหน้าของนางเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ
จัดการตระกูลวั่นที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ทุ่มเทเสียหน่อย ตระกูลวั่นจะยอมถอยเช่นนี้ได้อย่างไร อีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้วันนั้นท่านย่าจะปริปากแล้ว แต่ยังไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยทั้งหมด ทางด้านท่านพ่อและท่านแม่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ตัวนางเองก็คิดไม่ถึงว่างานแต่งงานระหว่างตนกับซินอี้หมิงจะตกลงกันเร็วเช่นนี้
สิ่งที่เจี่ยนชิงโยวคิดได้ มั่วเชียนเสวี่ยเองก็คิดได้ นางรู้สึกดีใจแทนสหายรักของตน “บอกมาตามตรง วันนั้น พวกเจ้าได้แอบทำอะไรหรือไม่”
เจี่ยนชิงโยวได้ยินนางถามถึงเรื่องวันนั้น ดวงแก้มของนางแดงระเรื่อ บิดผ้าเช็ดหน้าอยู่นานครู่วัน แล้วพูด “เชียนเสวี่ย เจ้าอย่าล้อข้าเลย”
“ชิงโยว…” มั่วเชียนเสวี่ยกำลังจะหยอกล้อ ไต้ฉินเดินเข้ามา บอกว่าฮูหยินเชิญคุณหนูใหญ่ไปพบแขกที่โถงหน้า
เจี่ยนชิงโยวจับมือมั่วเชียนเสวี่ย จะไปโถงหน้าพร้อมกับนาง
ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับคิดขึ้นได้ หนิงเซ่าชิงกำรอนางที่ทิงเฟิงเฉวียน ถึงอย่างไรพิธีก็จบลงแล้ว เช่นนั้นฉวยโอกาสนี้บอกลาเจี่ยนชิงโยว เจี่ยนชิงโยวพูดรั้งสองสามประโยค เห็นมั่วเชียนเสวี่ยดึงดันจะไป จึงไม่ได้ฝืน ด้วยเหตุนี้จึงสั่งให้ไต้ฉินส่งมั่วเชียนเสวี่ยออกจากเรือน
ไต้ฉินพามั่วเชียนเสวี่ยเดินผ่านระเบียงทางเดิน ทว่ามีสาวใช้คนหนึ่งเดินมาด้วยความรีบร้อน “พี่ไต้ฉิน พี่น่งฉาบอกว่าคุณหนูใหญ่เรียกพี่ไปพบน่ะ”
สาวใช้คนนี้มั่วเชียนเสวี่ยคุ้นหน้าคุ้นตาเล็กน้อย คล้ายจะเป็นตั่วเอ๋อร์สาวใช้ระดับสามที่คอยทำความสะอาดในเรือนเจี่ยนชิงโยว
เมื่อไต้ฉินได้ยินว่าคุณหนูเรียกตน ลังเลเล็กน้อย เอ่ยพูด “แล้ว แล้วหนิงเหนียงจื่อเล่า”
ตั่วเอ๋อร์พูดด้วยรอบยิ้ม “พี่น่งฉา ให้ตั่วเอ๋อร์ส่งหนิงเหนียงจื่อออกไปก็ได้”
ไต้ฉินมองตั่วเอ๋อร์ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นไต้ฉินลำบากใจเล็กน้อย จึงพูดเกลี้ยกล่อม “เจ้าไปเถอะ ให้ตั่วเอ๋อร์ไปส่งข้า”
มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของเจี่ยนชิงโยว ทั่วทั้งตระกูลเจี่ยนต่างมีงานยุ่ง เจี่ยนชิงโยวย่อมมีเรื่องด่วนจึงได้มีคำสั่งเช่นนี้
ในเมื่อรู้จักสาวใช้คนนี้ นางเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล อีกอย่าง ตนจำทางได้ ไม่มีอะไรยาก
ไต้ฉินลังเลครู่หนึ่ง พูดกำชับตั่วเอ๋อร์ กล่าวขอโทษมั่วเชียนเสวี่ยสองสามประโยค แล้วรีบเดินไป
ทว่า เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว อีกด้านหนึ่งมีสาวใช้วิ่งมาด้วยความรีบร้อน ชนเข้ากับมั่วเชียนเสวี่ย ทั้งตนและนางต่างล้มลง
เดิมทีมั่วเชียนเสวี่ยอยากจะตำหนิสาวใช้คนนั้น ทว่าคิดไม่ถึงตั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ จะตบสาวใช้คนนั้น
สาวใช้คนนั้นเองก็ดูเหมือนจะตกใจ ถูกตบดังฉาด แต่ก็ไม่ได้เถียง พยุงตัวมั่วเชียนเสวี่ยขึ้น ทั้งยังกล่าวขอโทษมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความรีบร้อน
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นนางเป็นเช่นนี้ ครุ่นคิดสาวใช้ในตระกูลชั้นสูงช่างน่าสงสาร มองดูท่าทีร้อนใจของนาง ต้องมีเรื่องสำคัญแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงผายมือ บอกให้นางถอยไป
ตั่วเอ๋อร์พยุงมั่วเชียนเสวี่ยขึ้น โอ้ย คิดไม่ถึงเพิ่งลุกขึ้นยืน ข้อเท้ากลับปวดแปลบขึ้น
“หนิงเหนียงจื่อ ข้อเท้าท่านต้องแพลงเพราะเมื่อครู่เป็นแน่ บ่าวพยุงท่านไปนั่งที่ห้องหนังสือนะเจ้าคะ ช่วยนวดให้ท่านก่อน ดีขึ้นแล้วค่อยกลับก็ไม่สาย”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นนางพูดอย่างจริงใจ อีกทั้งห้องหนังสือที่นางชี้ไปนั้นก็อยู่ห่างจากตรงนั้นเพียงไม่กี่ก้าว จึงพยักหน้าตอบรับสาวใช้