ตอนที่ 149 ยืนกราน (1)
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในห้อง มองซ้ายมองขวา ที่แห่งนี้ คล้ายห้องหนังสือ เพียงแต่ห้องหนังสือนี้กลับมีตำราเพียงไม่กี่เล่ม ชั้นวางตำราโดยมากล้วนว่าง เห็นชัดว่าเจ้าของห้องหนังสือนี้ไม่ใช่คนรักการอ่าน
ในห้องมีตำราเพียงไม่กี่เล่ม ทว่ากลับมีกลิ่นหอมพิเศษ คล้ายกลิ่นไม้จันทร์ และคล้ายกลิ่นหอมดอกไม้บางอย่าง มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้สนใจ ตระกูลมั่งคั่งในสมัยโบราณโดยมากล้วนจุดกำยาน ไม่มีอะไรน่าสงสัย ภายในห้องของเจี่ยนชิงโยว ก็มีกลิ่นดอกเบญจมาศหอมอ่อนๆ เช่นกัน
ตั่วเอ๋อร์เห็นว่าบนโต๊ะมีน้ำชา จึงรินให้มั่วเชียนเสวี่ยหนึ่งถ้วยแล้วยื่นให้นาง ย่อตัวลง ถอดรองเท้ามั่วเชียนเสวี่ยหนึ่งข้าง ช่วยนวดเท้าให้มั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ
“หนิงเหนียงจื่อ ท่านเดินมาครึ่งวันแล้ว น่าจะกระหายแล้วกระมังเจ้าคะ ดื่มน้ำชาเสียหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยนั่งเฉยไม่มีสิ่งใดให้ทำ นางมองไปรอบๆ อย่างพิจารณา ได้ยินตั่วเอ๋อร์พูดเกลี้ยกล่อม รู้สึกกระหายเล็กน้อยเหมือนกัน จึงยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม
ตั่วเอ๋อร์เห็นมั่วเชียนเสวี่ยดื่มน้ำชา นวดให้นางอีกสองสามครั้ง สีหน้าแลดูกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด “ข้าน้อยอยากจะถ่ายเบา ขอตัวไปถ่ายก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยลองขยับเท้าซ้ายข้างที่ข้อเท้าแพลง ดูเหมือนว่าไม่เจ็บเท่าก่อนหน้านี้แล้ว พูดในใจว่าสาวใช้คนนี้มีความสามารถ ด้วยเหตุนี้จึงพูดว่า “ไปเถอะ เท้าของข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว ข้านั่งอีกครู่หนึ่ง เดี๋ยวออกไปเอง เจ้าไม่ต้องไปส่งข้าหรอก”
“ทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ โอยยยย…” ตั่วเอ๋อร์พูดโต้ด้วยความไม่วางใจ ทว่าท้องของนางกลับไม่เอาไหน คาดไม่ถึงว่าครู่หนึ่งจะปวดจนทำให้นางร้องเสียหลงอย่างหักห้ามตนเองไม่ได้
เป็นจริงตามนั้นมนุษย์มีสามเร่งด่วน[1] ขืนไม่ไป ไม่แน่ว่าสาวใช้คนนั้นอาจจะกลั้นไม่อยู่ มั่วเชียนเสวี่ยพูด “รีบไปเถอะ ข้ารอเจ้าก็แล้วกัน”
“เช่นนั้น ข้าน้อยออกไปแล้ว หนิงเหนียงจื่อต้องรอข้าน้อยในนี้นะเจ้าคะ…”
ตั่วเอ๋อร์พูด พร้อมกับรีบวิ่งออกไป ทำท่าคล้ายปวดมากจนทนไม่ไหวแล้ว
“เหตุใดห้องนี้จึงร้อนเช่นนี้” ตั่วเอ๋อร์ออกไปได้ไม่นาน มั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกร้อนผ่าว นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาพัดโดยไม่รู้ตัว ทว่ายิ่งพัดก็ยิ่งร้อน ศีรษะก็เริ่มวิงเวียนเล็กน้อย เงยหน้ามองออกไปด้านนอก ไม่เห็นร่างของตั่วเอ๋อร์ นางจึงก้มหน้าลง กำลังจะสวมรองเท้าเพื่อออกไปรับลม ทว่าคล้ายที่หน้าประตูห้องหนังสือมีคนเดินเข้ามาหนึ่งคน
เห็นมีคนเดินมา มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าตั่วเอ๋อร์กลับมาแล้ว มือที่สวมรองเท้าหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นพูด “ตั่ว…”
ยังไม่ทันพูด ก็กลืนคำพูดกลับเข้าไป คนคนนั้นใช่ตั่วเอ๋อร์เสียที่ไหน ไม่เพียงแต่ไม่ใช่ตั่วเอ๋อร์ แต่ยังเป็นบุรุษคนหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นใบหน้ากลมขาวและเกลี้ยงเกลา สวมอาภรณ์สีทองแสดงถึงความมั่งคั่ง มีผิวพรรณดี ทว่ามีความใคร่มากเกินไปจึงทำให้หนังตาบวมเป่ง ทำให้เขาดูอิดโรยอย่างผิดปกติ
มั่วเชียนเสวี่ยหรี่ตาลง ภายในใจของนางรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที บุรุษผู้นี้คล้ายบุรุษที่วันนั้นนางเจอตรงหน้าประตูเรือนของเจี่ยนชิงหวา
คุณชายรองเจี่ยนเห็นมั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาบวมเป่งที่มีความใคร่มากเกินไปฉายความตกตะลึง เขาหัวเราะชั่วร้าย แล้วปิดประตูลง
สตรีตรงหน้าผิวพรรณขาวดั่งหิมะ ดวงตาหงส์บนดวงหน้าดั่งเมล็ดทานตะวัน แม้จะไม่ได้งามสะพรึง ทว่ามีเสน่ห์เป็นของตนเอง งดงามราวกับดอกเหมยในฤดูเหมันต์ สวยยิ่งกว่าบุปผาในฤดูวสันต์
……
ซูชีได้ยินเสียงหายใจหอบถี่ หัวเราะเยือกเย็น กระโจนเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วราวกับฟ้า คนที่เห็นคือเจี่ยนชิงเจิน
เรือนร่างคลุมด้วยผ้าผืนบาง เผยให้เห็นครึ่งหนึ่งปกปิดครึ่งหนึ่ง ดวงหน้าแดงระเรื่อนอนอยู่บนตั่งไม้หลังม่าน
รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นสตรีชั้นต่ำคนนี้!
สีหน้าดีใจ เขินอาย เฝ้ารอคอย เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาทำให้ซูชีรู้สึกรังเกียจได้สำเร็จ ไม่รอให้นางไหวตัว พัดในมือของซูชีขยับเบาๆ เจี่ยนชิงเจินยังไม่ทันมองเห็นคนที่มาอย่างชัดเจน ก็หมดสติบนตั่งไม้แล้ว
ซูชีไม่หยุดแม้แต่เสี้ยวนาที นางอยากจะมีเรื่องดีๆ ไม่ใช่หรือ เช่นนั้น เขาจะช่วยนาง
เตะเท้าเล็กน้อย กระโดดออกไปจากช่องระบายลมด้านบน
วันนี้เป็นวันมงคลของจวนเจี่ยน สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือคน ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซูชีได้ตัวบ่าวรับใช้มาคนหนึ่ง เปิดปากของเขา ยัดยาเข้าไปในปากหนึ่งเม็ด จากนั้นตบหลังของบ่าวรับใช้ ยานั่นก็ไหลลงคอไป
ซูชีลอบปลื้มใจ ยาที่ได้มาจากการค้นตัวโจรเมื่อคราวก่อน ในที่สุดวันนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์
บ่าวรับใช้คนนั้นยังไม่ทันเห็นหน้าคนที่มาอย่างชัดเจน เพียงลมพัดผ่าน ในลำคอก็มีของบางอย่างไหลลงไป กระวนกระวายใจ อยากจะร้องตะโกนว่ามีโจร ทว่ากลับเปล่งเสียงไม่ออก ท่ามกลางความตกใจบ่าวรับใช้ดีดดิ้นไม่หยุด
“นี่คือยาที่ดี ครั้งนี้ยกผลประโยชน์ให้เจ้า ประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้ว่าการดื่มด่ำกับความสุขเป็นเช่นไร” ซูชีหัวเราะเยือกเย็น ไม่สนใจว่าบ่าวรับใช้คนนั้นดีดดิ้นหรือไม่ คว้าคอเสื้อของเขา แล้วพาเขาเข้าไปในห้องหนังสือผ่านหน้าต่าง โยนเขาลงบนพื้น
จากนั้นมองอย่างพิจารณา บ่าวรับใช้คนนั้นใบหน้าแดงระเรื่อ จะถอดเสื้อผ้าของตน
นัยน์ตาของซูชีทอประกายความชั่วร้าย พูดในใจ ยาของโจรผู้นี้วิเศษจริงๆ ครู่หนึ่งก็ออกฤทธิ์แล้ว ช่วยเขาประหยัดแรงขึ้นมาก
เวลานี้ซูชีเองก็ไม่ลังเล คว้าตัวบ่าวรับใช้โยนขึ้นไปบนตั่งไม้ที่ห้องด้านหลัง จากนั้นหมุนตัวหันหลังกระโดดออกนอกหน้าต่าง เขาหาต้นไม้ใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ดี เอนตัวพิงบนกิ่งไม้ หรี่ตาลง รอดูการแสดงที่แสนวิจิตร ไม่นาน ด้านในมีเสียงหายใจหืดหอบของชายหญิงดังขึ้น ระหว่างนั้น เสียงผลักไสและเรียกร้องให้เข้าหาของสตรี แสบแก้วหูยิ่งนัก!
[1] มนุษย์มีสามเร่งด่วน หมายถึง เรื่องเร่งด่วนสามเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอในทุกวัน หนึ่งปวดปัสสาวะ สองปวดอุจจาระ สามอยากผายลม ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้