บทที่ 144 อย่าโกหกเลย

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 144 อย่าโกหกเลย

ทาสใบ้ส่ายหัวช้า ๆ และในที่สุดก็นั่งลงบนตำแหน่งก่อนหน้า

จู่ ๆ หมี่เฉินอี้ก็ประสานมือของเขาและหัวเราะเสียงดัง เขาบีบแก้มที่เจ็บและชี้หน้าทาสใบ้ “มีใครเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าเจ้าเหมือนกับเจ้านายของเจ้า อย่าโกหกเลย ผ่านไปกว่าสิบปีแล้วแต่เจ้าก็ไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลย อีกทั้งยังถอยหลังไปมาก ทักษะการแสดงของเจ้ายังไม่ดีเท่าเด็กผู้หญิงเลย”

ในที่สุดทาสใบ้ก็หันศีรษะจ้องมองหมี่เฉินอี้

จู่ ๆ สีหน้าของหมี่เฉินอี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม เขาตบทาสใบ้ที่หน้าผากและพูดว่า “เจ้าต้องการจะฆ่าเขา! ครั้งหน้าหากเจ้าปล่อยให้นายน้อยรู้เรื่องนี้อีก ก็จงอย่าตำหนินายน้อยที่เบือนหน้าปฏิเสธ!”

ทาสใบ้เบิกตาด้วยความโกรธ และในที่สุดก็คุกเข่าลงต่อหน้าหมี่เฉินอี้ ม่านน้ำตาปรากฏขึ้นในดวงตาที่เหมือนปลาตายของเขา และดวงตาที่แห้งแล้งมาหลายปีก็เต็มไปด้วยน้ำตา

แปะ แปะ แปะ!

แปะ แปะ แปะ!

เขาก้มหน้าและถูมือต่อหน้าเขา ดวงตาที่สดใสเพียงดวงเดียวของเขามองไปที่หมี่เฉินอี้อย่างคาดหวัง ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นของเขาดูน่ากลัวอย่างน่าประหลาดในขณะที่เขาร้องไห้

หมี่เฉินอี้เตะเขา “ไม่! บอกแล้วว่าไม่!”

ทาสใบ้ไม่ได้ขัดขืนและคุกเข่าอ้อนวอนต่อไป

เมื่อหมี่เฉินอี้หยุดและหอบหายใจ ทาสใบ้ก็คุกเข่าลงสองสามก้าวแล้วกอดขาของเขาไว้

“เหตุใดเจ้าถึงน่ารำคาญเช่นนี้ เจ้าน่ารำคาญพอ ๆ กับเจ้านายของเจ้า! ชอบรบเร้าให้ผู้คนยอมรับคำขอที่อธิบายไม่ถูก!” หมี่เฉินอี้ถ่มน้ำลายออกมาและใช้เท้าเตะทาสใบ้ออกไป ราวกับว่าเขาได้เสร็จกิจกรรมที่น่าสนใจแล้ว เขาก็หยิบพัดในแขนเสื้อออกมาโบกพัดอย่างสบายอารมณ์

หลังจากออกจากประตูตำหนักแล้ว เซินหมิงก็กล่าวด้วยเสียงเบาว่า “องค์หญิงแปดถูกฮองเฮาส่งไปยังจวนขุนนางฝ่ายในแล้ว ส่วนพระชายาเจ็ดกล่าวคำอำลากับองค์หญิงเก้าและกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังประตูวังพ่ะย่ะค่ะ”

“อ่า รีบไปเถิด เดี๋ยวจะสายเกินไป” หมี่เฉินอี้หยิบพัดและยกเสื้อคลุมวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ที่ประตูวัง ฉินปู้เข่อเพิ่งเข้าไปในรถม้า และซวงหวนก็หยิบก้อนกรวดในแขนเสื้อของนางออกมาทันที

“นายหญิง นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าน้อยและจื่อซูสลบไปในตำหนัก”

ฉินปู้เข่อหยิบก้อนกรวดในฝ่ามือของนางขึ้นมาแล้วสัมผัสอย่างระมัดระวัง “มันคือเศษชามลายครามไม่ใช่หรือ?”

“จื่อซูไม่รู้ศิลปะการต่อสู้ จู่ ๆ ข้าน้อยก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมา และข้าน้อยก็รู้สึกชัดเจนว่าสิ่งนี้ไปกระทบจุดที่ใช้สกัดจุด”

ฉินปู้เข่อสัมผัสหินในมือ ในตอนนั้นคนหูหนวกและเป็นใบ้ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ จื่อซูกับซวงหวนไม่เห็นเขาและไม่รู้ว่าหมี่เสวี่ยหลีถูกเขาจับเป็นตัวประกัน

นางส่งก้อนกรวดคืนให้กับซวงหวน และสัมผัสได้ถึงก้อนกระดาษในแขนเสื้อที่หมี่เสวี่ยหลีมอบให้นาง

เนื่องจากคนที่พาทหารมาคือหมี่จิ่งหาน ดังนั้นนางจะต้องรู้ความลับของตำหนักนั้น และเสียงครั้งที่สองที่นาง และจื่อซูได้ยินจะต้องถูกส่งมาโดยหมี่จิ่งหานอย่างเจตนา

แต่คนหูหนวกเป็นใบ้ต้องการบอกอะไรกับนาง

ฉินปู้เข่อสัมผัสจี้หยกที่เอวของนาง จี้หยกนี้เป็นสิ่งที่นางเล่นโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อนางนั่งตักหมี่โม่หรู่เมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อเขาเห็นว่านางชอบมัน หมี่โม่หรู่จึงมอบมันให้กับนางแบบสบาย ๆ และปล่อยให้นางเล่นมันต่อไป

เมื่อชายหูหนวกเป็นใบ้มองมาที่นางในวันนี้ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เอวของนางครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตกลงยอมปล่อยพวกนางออกไป

คนหูหนวกรู้จักหมี่โม่หรู่หรือ?

นางคลี่ก้อนกระดาษและตกตะลึงกับสิ่งที่เขียนไว้ภายใน

คำพูดที่ยุ่งเหยิง ส่วนประกอบของอักษรเป็นคนละทิศทาง เลวร้ายเสียยิ่งกว่าลายมือของนาง

นางขมวดคิ้วและประกอบเข้าด้วยกันเพื่อระบุคำที่อยู่บนนั้น “หมี่… อ๋อง… ทุกวัน…”

โอ้แม่เจ้า มันเขียนว่าอะไรกันแน่!

ฉินปู้เข่อตัดสินใจยอมแพ้ นางไม่ค่อยรู้เรื่องอักษรจีนโบราณมากเท่าใดนัก นางจึงทิ้งงานยากไว้ให้คนมืออาชีพ หลังจากที่นางกลับไป นางจะนำจดหมายนี้ให้หมี่โม่หรู่อ่าน ด้วยทักษะการอ่านของเขา เขาจะต้องเข้าใจและสามารถรวมประโยคได้อย่างแน่นอน

เมื่อนางเพิ่งสอดกระดาษเข้าไปในแขนเสื้อรถม้าก็หยุดลง จากนั้นก่อนที่คนขับรถม้าจะรายงาน ชายผู้หนึ่งก็ดึงม่านรถแล้วบุกเข้ามา

………………………………………………………………………