บทที่ 115 วันส่งท้ายปีเก่า

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 115 วันส่งท้ายปีเก่า

อาหารค่ำสำหรับคืนวันส่งท้ายปีเก่าเตรียมพร้อมแล้ว เพราะครอบครัวลูกสาวคนโตมา คุณย่าซูจึงเตรียมจานเพิ่มอีกสองใบ

พลันใดก็นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฉินจื่ออันกับบ้านฉือขึ้นมา หลังจากที่คุณย่าถามคุณปู่ก็ให้ซูซื่อเลี่ยงไปเชิญพวกคนจากคอกวัวมา

ซูซื่อเลี่ยงเดินไปอย่างมีความสุข

ก่อนจะนึกถึงซูเถาฮวาอีกครั้งแล้วก็ถอดถอนหายใจ จากนั้นจึงให้เหลียงซิ่วเตรียมส่งอาหารไปให้ซูเถาฮวาและเหล่าลูก ๆ ด้วย

“ผู้หญิงคนนี้เคยมีเนื้อรวมกันได้เยอะเลย แต่ก็ถูกคังอี้เยี่ยแย่งไปหมด เห็นแล้วน่าสงสารนัก เธอเอาไปเพิ่มอีกหน่อยเถอะ”

คุณย่าซูพูดไปด้วย พลางใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อลงไปในถ้วยใบใหญ่ด้วย

ถึงจะพูดไม่ได้ว่าบ้านเรากินเนื้อบ่อย แต่ก็มีมากกว่าสิบวันในหนึ่งเดือนที่เห็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และผักผลไม้ทุกชนิด เทียบกับคนอื่นแล้วดีกว่ามากนัก ต่อให้จะกินน้อยก็ไม่สำคัญหรอก

“แม่ ฉันยังคิดเรื่องนี้อยู่เลยค่ะแม่ พี่เถาฮวาดีกับครอบครัวเรา ก่อนหน้านี้ที่ไปชุมชนการผลิตเซี่ยงหยาง เธอก็ช่วยเราไว้ไม่น้อยเลย”

เหลียงซิ่วยิ้มก่อนใช้ผ้าพันคอพันรอบจนแน่นหนา แล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านของซูเถาฮวา

พอมาถึงก็เห็นลูกสาวของซูฉางจิ่วถือเกี๊ยวผ่านมาพอดี

“คุณป้า มาเหมือนกันหรือคะ?” ซูเสี่ยวเฉ่าเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม

“ใช่จ้ะ เฉ่าเอ๋อร์ก็มาด้วยหรือ?” เหลียงซิ่วเลิกคิ้วพลางยิ้มเบา

ทั้งสองคนเคาะประตู เป็นเสี่ยวเหลียงที่ออกมาเปิดประตู

“เสี่ยวเหลียง แม่อยู่หรือเปล่าจ๊ะ?” เหลียงซิ่วถาม

“คุณป้า เฉ่าเอ๋อร์ดึกแล้วนะครับ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”

ถึงเสี่ยวเหลียงจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาก็ยังยิ้มออกมาเพื่อต้อนรับแขกทั้งสองเข้าบ้าน

ยามที่เข้ามา ซูเถาฮวากำลังห่อเกี๊ยวอยู่ ใส่เนื้อแต่ยังน้อยกว่าผัก

“ไอ๊หย่า ทำไมพวกเธอถึงมาที่นี่อีก?” ซูเถาฮวาตบแป้งที่มือแล้วลุกขึ้นยืน

“ที่บ้านทำแพร์เนื้อหน้าหนาวเยอะไปหน่อย จำได้ว่าพี่เถาฮวาชอบ แม่เลยให้เอามาส่งจ้ะ”

เหลียงซิ่วเอ่ยอย่างสุภาพ ก่อนหยิบถ้วยใบใหญ่อีกหลายใบออกมาจากตะกร้า ถ้วยหนึ่งเป็นหมูก้อนทอด ถ้วยหนึ่งเป็นเกี๊ยว อีกถ้วยหนึ่งเป็นแพร์เนื้อหน้าหนาว

“คุณอา แม่หนูบอกว่าอาชอบเกี๊ยวที่แม่ทำที่สุด เลยให้หนูเอามาให้ค่ะ” เสี่ยวเฉ่าก็รีบนำเกี๊ยวจากตะกร้าออกมาวางบนโต๊ะเช่นกัน

“ทำไมเอามาเยอะขนาดนี้เล่า บ้านฉันก็ทำเหมือนกันนะ” ซูเถาฮวารีบปฏิเสธ “รีบเอากลับไปเถิด”

“พี่เถาฮวา ฉันเห็นเกี๊ยวพี่ยังห่อไม่เสร็จดี งั้นที่เหลือก็ไม่ต้องห่อแล้วค่ะ เอาให้ลูกทั้งสามกินก็พอ” เหลียงซิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม “วันส่งท้ายปีเก่าแบบนี้ฉันต้องกลับแล้ว พวกพี่กินของดี ๆ เถอะ จะได้ผ่านไปได้นะ”

หลังจากคุยเรื่องนอกประเด็นไม่กี่คำ และเห็นเธอมีกำลังใจขึ้น เหลียงซิ่วจึงพาซูเสียวเฉ่ากล่าวคำอำลาและจากไป

ซูเถาฮวาไม่ได้ปฏิเสธอะไร ทำได้แค่เพียงเอาอาหารที่แขกทั้งสองเอามาให้เมื่อครู่ใส่ลงในชามของตัวเอง จากนั้นล้างชามให้สะอาด แล้วก็เอาถั่วลิสงและเมล็ดแตงโมที่ปลูกเองใส่ลงก่อน แล้วส่งทั้งสองกลับบ้าน

“แม่!” เสี่ยวกังกระซิบ “ผมผิดหรือเปล่าครับ!”

หากไม่ใช่เพราะเขาไปสร้างปัญหาที่บ้านคังอี้เยี่ย ตอนนี้ทุกคนคงจะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน แม่ก็จะไม่ต้องเสียใจด้วย

ซูเถาฮวาลูบหน้าผากลูกชายอย่างหาได้ยาก

“เสี่ยวกัง ลูกไม่ผิดเลย มันเป็นความผิดของพ่อต่างหาก”

พอลูกชายได้ยินก็เอ่ยถาม “ไม่ใช่ความผิดของผมจริงหรือครับ?”

“ไม่ใช่จ้ะ หัวใจของพ่อไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ต่อให้ลูกไม่ไปเย็นนี้ เขาก็ไม่กลับบ้านอยู่ดี” ซูเถาฮวารู้ชัดแล้วว่าหัวใจของสามีไม่ได้อยู่ที่นี่ หากอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมาย

หม่านซิ่วก็หย่าไม่ใช่หรือ? เธอยังใช้ชีวิตต่อไปได้เลย

รอหลังปีใหม่เมื่อไร จะไปหย่ากับหลี่ฉางหมิงเสีย จากนั้นจะเลี้ยงลูก ๆ ให้เติบโตอย่างดี

อย่างไรก็เป็นครั้งแรกของหลี่ฉางหมิงใช่ไหมล่ะ ถึงจะมีเรื่องซุบซิบนินทา แต่พวกเขาน่าจะเมตตาอยู่บ้าง

ลูกทั้งสองลงกลอนประตูใหญ่แล้วกลับเข้ามา ไม่มีใครบอกว่าต้องเอาข้าวไปส่งให้หลี่ฉางหมิง

ในเวลาเดียวกัน หลี่ฉางหมิงกำลังนอนหมดสภาพอยู่ในศาลบรรพชนหลังเก่า เขารู้สึกเจ็บจนขยับตัวไม่ได้ แล้วยังต้องนอนฟังเสียงคังอี้เยี่ยร้องไห้คร่ำครวญ

ร่างกายของเธอเจ็บปวด วันนี้ถูกจิกข่วนเนื้อไปทั้งตัว ไม่เหลือจุดดี ๆ เลย

ชาวบ้านพวกนี้โหดเหี้ยมจริง ๆ โดยเฉพาะพวกไร้ยางอาย แม้กระทั่งที่ลับที่สุดก็ยังไม่ลืมลงมือ

แต่ตอนนี้เธอไม่มีแรงแม้แต่จะสาปส่ง จึงทำได้เพียงร้องไห้เสียงเบาแทน

หากเป็นก่อนหน้านี้ หลี่ฉางหมิงคงจะเจ็บใจแทบตายแล้วปลอบหญิงสาวแน่ ๆ

แต่ตอนนี้ร่างกายทั้งเจ็บปวด ท้องยังหิวอีกต่างหาก ไม่มีอารมณ์มาปลอบโยนใครทั้งสิ้น

“พี่หลี่ คนบ้านพี่จะมาส่งข้าวให้พี่หรือเปล่า” คังอี้เยี่ยคร้านที่จะร้องไห้แล้วจึงเอ่ยถาม

“ไม่รู้สิ ควรจะมีนะ!” หลี่ฉางหมิงกล่าวอย่างมีความหวัง

ถึงซูเถาฮวาจะหยาบคาย แต่เธอก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างดี ขนาดทุกวันนี้ที่ตัวเขาเฝ้ารำพันถึงคังอี้เยี่ย ข้าวที่บ้านยังเตรียมไว้ให้อยู่เสมอ

พอคิดขึ้นได้ก็รู้สึกว่าตนเองเองจะทำผิดไปแล้วจริง ๆ

จริงอยู่ที่คังอี้เยี่ยมีรูปลักษณ์ที่ดี แต่เธอก็ไม่ได้ดีกับเขาเท่าซูเถาฮวา

เขาเริ่มรู้สึกเสียใจแล้ว!

“พี่หลี่ ทำไมพวกเขายังไม่เอามาอีกล่ะ มองไปทางไหนก็มืดไปหมด” มือเท้าของหญิงสาวถูกมัดอยู่ แต่พยายามดิ้นรนที่จะกระเถิบตัวไปอยู่เคียงข้างกายหลี่ฉางหมิง

เขาตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายอ่อนนุ่มของคังอี้เยี่ยทำให้ความเสียใจหายวับไปอีกครั้ง

ถึงเธอจะมีแผนในใจต่อเขา แต่ตอนที่ทำเรื่องแบบนั้นบนเตียงเตามันเร้าใจจริง ๆ

“ไม่ต้องกังวลหรอก แค่เอามาส่งให้ฉันจะให้เธอกินแน่นอน” หลี่ฉางหมิงพูดจาใหญ่โต

น่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดจะทำอาหารมื้อค่ำในวันส่งท้ายปีเก่าให้คู่ชู้รักเลย อันที่จริงก่อนที่จะส่งตัวพวกเขาไปที่ชุมชนใหญ่ มีแค่ข้าวต้มที่เย็นจนเกือบเป็นน้ำแข็งให้แค่นั้น เพื่อไม่ให้อดตายไปเสียก่อน

กลับมาที่เหลียงซิ่ว เธอมาส่งเฉ่าเอ๋อร์ถึงประตูบ้าน แล้วก็รีบร้อนกลับบ้าน

ตอนที่กลับมาถึง คนทั้งสี่จากคอกวัวก็มาแล้ว

ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับช่วงวันปีใหม่ จึงไม่มีใครสนใจว่าที่บ้านตระกูลหลักซูมีคนเพิ่มมากขึ้น

ค่ำคืนนี้มีสมาชิกในบ้านด้วยกันทั้งหมดยี่สิบกว่ากว่าคน คึกคักสนุกสนาน เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของบ้านซูในปีนี้เลย

มีโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งโต๊ะ และโต๊ะสำหรับเด็กอีกหนึ่งโต๊ะ มีชีวิตชีวาสุด ๆ

ซูเสี่ยวเถียนเป็นดาวนำโชคตัวน้อยที่มีพี่ชายทั้งสิบคอยดูแล ของอร่อยบนโต๊ะก็ได้พี่ชายคอยดูแลให้

แต่ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าฉืออี้หย่วนร่างกายไม่แข็งแรง ควรกินให้เยอะ ๆ จึงทักให้อีกฝ่ายพยายามกินให้ได้

ซูซื่อเลี่ยงพึมพำ “เสี่ยวเถียน ทำไมน้องดูแลแต่เขาเล่า? พี่รองก็เป็นพี่ชายของน้องนะ!”

เรียกพี่อี้หย่วนเต็มปาก อะไรจะสนิทขนาดนั้น?

ฉืออี้หย่วนเองไม่ได้ตื่นรู้สักนิด เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่านี่คือน้องสาวบ้านเรา ทำไมทำเหมือนเป็นน้องสาวบ้านผู้เฒ่าฉือเลยล่ะ?

เสี่ยวอู๋ไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เสี่ยวเถียนเป็นน้องสาวของเขาแท้ ๆ ทำไมเห็นคนอื่นดีกว่าพี่ชายตัวเองล่ะ?

เด็กคนอื่นก็คิดเหมือนสองคนนี้เช่นกัน

พวกเขาไม่ได้ไม่พอใจเสี่ยวเถียนอยู่แล้ว เลยพุ่งเป้าไปที่ฉืออี้หย่วนเท่านั้น

พวกพี่ชายต่างแข่งกันฟาดฟันไปที่เด็กบ้านฉือ

โชคดีที่ฉืออี้หย่วนไม่ใช่คนชอบโต้เถียงด้วย ก็เลยไม่สนใจการแข่งขังอันไร้เดียงสาของเด็กบ้านซู

พวกเด็กหนุ่มวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนองเลยรู้สึกเบื่อหน่าย สุดท้ายก็ยอมพ่ายแพ้ไปเอง

ช่างเถิด แค่เสี่ยวเถียนมีพี่ชายเพิ่มมาหนึ่งคนเท่านั้นเอง!

มีพี่ชายอีกคน นับรวมแล้วก็เป็นสิบคนพอดิบพอดี

“ไม่งั้นพวกเรามาสาบานเป็นพี่น้องไหมล่ะ?” ซูซื่อเลี่ยงแนะนำ “ช่วงยุคสามก๊ก คำสาบานในสวนท้อของเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย สง่างามมาก!”

ฉืออี้หย่วนเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง เด็กคนนี้รู้จักคำสาบานในสวนท้อด้วย? ใช้ได้เลยทีเดียว

แต่ว่าจะสาบานก็อะไรก็ตามแต่ ลืมมันไปเสีย

“ไม่เหมาะหรอก”

หลังจากพูดออกไป ฉืออี้หย่วนก็เห็นสีหน้าพวกเด็กหนุ่มเย็นลงและสีหน้าสับสนของเสี่ยวเถียน ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองพูดแรงไป

“พวกนายแค่ปฏิบัติต่อฉันเป็นพี่เป็นน้องก็พอแล้ว ไม่ต้องสาบานอะไรหรอก” ฉืออี้หย่วนว่าแล้วก็เดินจากไป

พอซูโส่วเวินคิดถึงตัวตนของฉืออี้หย่วนก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล เลยตัดเรื่องนี้ออกไป

ในตอนนั้น หลานคนโตของบ้านซูยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของลูกหมาตัวนี้คือน้องเล็กต่างหาก

ถ้าพูดแบบนี้อีกสักสองสามปี ฉืออี้หย่วนคงพูดอย่างไม่ปิดบังว่า ถ้าสาบานเป็นพี่น้องกัน งั้นก็คงเป็นพี่ชายของเสี่ยวเถียนน่ะสิ แต่พี่ชายที่จีบน้องสาวให้เป็นสะใภ้ มันไม่เหมาะสมหรอกนะ!

กว่าจะถึงตอนนั้นที่ซูโส่วเวินกับคนอื่น ๆ รู้ว่าประโยคที่บอก ‘ไม่เหมาะ’ มันหมายถึงอะไร

พวกเด็ก ๆ ต่างมีความสุขและคึกคักกันมาก ส่วนทางฝั่งโต๊ะผู้ใหญ่ก็ครื้นเครงเต็มที่

ตอนที่เฉินจื่ออันมา เขาเอาเหล้ามาสองจิน พวกผู้ชายดื่มเหล้า ส่วนผู้หญิงกินเนื้อ พอได้พูดคุยบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

แม้แต่อวี่รุ่ยหยวนที่เป็นผู้หญิงเกิดในครอบครัวใหญ่ หาได้ยากมากที่จะพูดจาถูกคอกับพวกผู้หญิงในชนบทเช่นนี้

ก่อนจะกลับไปยังพูดอีกว่า ถึงผู้หญิงบ้านซูจะมีนิสัยแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนดีต่อเธอมาก

ในเวลาเดียวกันนั้น ตู้ถงเหอก็พูดว่า “ก่อนที่ฉันจะมา ฉันไม่ได้คาดหวังเลยว่าชีวิตในชุมชนการผลิตหงซินจะเป็นเช่นนี้ บอกตามตรงฉันมีสหายอยู่ไม่กี่คน แล้วก็… ฉันมีความสุขที่มาได้จริง ๆ!”

สหายของเขาจากไปหลายคนแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ แทบจะไม่มีชีวิตรอด โชคดีที่ตัวเขามาถึงชุมชนการผลิตหงซิน