บทที่ 116 หลานบุญธรรม
ผู้คนที่นี่โดยเฉพาะตระกูลผู้เฒ่าซู มีใจเป็นหงซิน*[1] จริง ๆ!
“สหายตู้ ส่งท้ายปีเก่าแบบนี้อย่าพูดจาไม่เป็นมงคลสิ รอผ่านปีใหม่ไปก่อน นายยังต้องช่วยทำนาให้ดีด้วยนะ” ฉือเก๋อรีบเอ่ย
“เสี่ยวเถียนของพวกเรามีความสามารถมากกว่าฉันเสียอีก!” ตู้ถงเหอยิ้มร่า เห็นชัดเลยว่าเริ่มเมามาย “น้องซู ฉันมีคำขอที่ไม่น่ายินดีอยากพูดกับนายมานานแล้ว ไม่เคยอายเลยด้วย!”
“ผู้เฒ่าตู้ มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ ตราบใดที่ผมสามารถทำได้ ผมย่อมตกลงแน่นอน!” คุณปู่ซูดื่มเหล้าไปมากเหมือนกัน เลยใจกว้างเป็นพิเศษ อันที่จริงแม้กระทั่งความรู้สึกต่ำต้อยเวลาเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าจากคอกวัวทั้งสองก็ไม่มีอีกแล้ว
“ลูกชายของฉันตายไปช่วงสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ฉันไม่มีลูกชายลูกสาวสืบสกุลก็เลยคิดว่า…” ตู้ถงเหอลังเล ไม่รู้จะพูดต่อไปดีไหม
“น้องซู ให้ฉันช่วยพูดเถอะ พวกเขาสองคนอยากรับเสี่ยวเถียนเป็นหลานบุญธรรม จะได้มีคนทุบหม้อจุดธูปส่ง*[2]”
หลังจากพูดจบ บรรยากาศที่เคยดีพลันเงียบสงัดลง
คุณปู่ซูอยากจะปฏิเสธ เพราะเขามีหลานสาวเพียงคนเดียว จะแบ่งร่างได้อย่างไร?
แต่ลูกชายของตู้เถงเหอตายไปในสงครามแล้ว เป็นครอบครัวที่ไม่มีลูก เพราะลูกเพียงคนเดียวเสียสละเพื่อประเทศชาติ
คุณย่าซูมองคุณปู่ซูโดยไม่พูดอะไรสักคำ
คนบ้านซูรู้เรื่องตู้ถงเหอดี ครั้นจะปฏิเสธจึงพูดไม่ออก
“ไม่งั้น ผู้เฒ่าตู้ลองดูเถิด มีเด็กชายคนไหนของผมที่คุณชอบบ้าง” สุดท้ายคุณปู่ก็ได้แต่กัดฟันพูด
หลานชายเป็นรากฐานของบ้านซู ถ้าไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าตู้เป็นคนขอ เขาไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
แต่หลานสาวมีแค่คนเดียว หากให้ไปแล้วก็ไม่มีอีกแล้วสิ!
เด็กหนุ่มที่กำลังกินข้าวบนโต๊ะตั้งพื้นเกือบสำลัก
คุณปู่บอกว่าอะไรนะ?
ให้เลือกหลานชาย?
อะไรกันเนี่ย หลานสาวให้กำเนิดเอง แต่พวกเขาเกิดมาจากต้นไม้หรืออย่างไรกันเล่า?
แต่ถ้าให้น้องสาว พวกเขาก็ทนไม่ได้ ทำอย่างไรดีล่ะ?
ขณะที่เสี่ยวจิ่วกำลังจะเอ่ยปากก็โดนซูโส่วเวินตะครุบปากเอาไว้
ต้องมีเหตุผลที่คุณปู่คุณย่าไม่พูดแน่ แต่พวกเขายังเด็ก อย่าพูดพล่อย ๆ เลยจะดีกว่า
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เป็นคนแบบพวกเขาพูดก็อย่าเปิดปากเสียเลย
“น้องซู ลูกชายเป็นเสาหลักของครอบครัว จะเอาให้คนอื่นไม่ได้หรอก อีกอย่างฉันก็ไม่กล้ารับไว้ด้วย วางใจเถอะ แค่รับมาเป็นหลานบุญธรรม อย่างไรก็เป็นหลานสาวของบ้านซูอยู่ดี”
ตู้ถงเหอเอ่ยอย่างเกรงใจ แต่ที่จริงแล้ววางแผนจะให้เสี่ยวเถียนสืบทอดมรดกต่อจากเขา เด็กคนนี้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเกษตรอย่างลึกซึ้ง พอผ่านไปสักพักก็จะบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ที่เขายังใช้ชีวิตหรูหรา พอกลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรเลย แต่ตอนนี้มีความหวังในใจ ถ้าได้พึ่งพาคอกวัวก็ไม่เสียหายขนาดนั้นหรอกกระมัง?
พอได้ยินคำพูดเป็นประกัน คุณปู่ซูก็ไม่ลังเลอีก
“ได้ เรื่องนี้ฉันจะตกลงแทนพ่อแม่เสี่ยวเถียนเอง!” คุณปู่ซูกัดฟันพูด “เด็กดีเอ๋ย มาทำความเคารพคุณปู่คุณย่าบุญธรรมมา!”
ตู้ถงเหอไม่คิดว่าคุณปู่ซูจะเป็นคนเด็ดเดี่ยว ตกปากรับคำก็รับเลย แล้วยังให้หลานสาวทำเคารพเสียเดี๋ยวนั้น
เขาละเว้นคำว่า ‘บุญธรรม’ ไว้ในใจโดยไม่รู้ตัว
แต่เขาไม่มีลูกอีกแล้ว เลยเป็นได้แค่หลานสาวบุญธรรม
ซูเสี่ยวเถียนได้ยินที่คุณปู่ ตู้ถงเหอ และคนอื่น ๆ พูดแล้ว ตอนที่เดินไปก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นทุกคนพยักหน้าถึงได้ค่อย ๆ คุกเข่าลงก้มหน้า
“เสี่ยวเถียนทำความเคารพคุณปู่คุณย่าบุญธรรมค่ะ!”
ฉือเก๋อยิ้ม “เรียกคุณปู่คุณย่าบุญธรรมอะไรกัน จากนี้เวลาไปหลุมศพให้เรียกพ่อบุญธรรมเถอะ คุณปู่คุณย่าบุญธรรมไว้ใช้เรียกกับแค่คุณปู่คุณย่าที่สนิท ๆ ก็พอ”
ตู้ถงเหอเหลือบมองสหายเก่าอย่างซาบซึ้ง เพราะอีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจเขา
คุณปู่ซูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
เรียกคุณปู่คุณย่าจะเป็นอะไรไปล่ะ? ก็ยังเป็นหลานรักของบ้านอยู่ไม่ใช่หรือ? อย่างไรก็ยังได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนี่นา
“เสี่ยวเถียนเคารพคุณปู่คุณย่าตู้แล้ว รอโตขึ้นก็จะกตัญูต่อท่านด้วยค่ะ” ปากเสี่ยวเถียนหวานปานน้ำผึ้ง
แต่ภายในใจคุณปู่คุณย่าซูกลับอึดอัด ทำไมต้องส่งหลานสาวไปกตัญญูคนอื่นด้วยนะ?
ในฐานะพ่อผู้ให้กำเนิด เหล่าซานไม่สบายใจที่ลูกสาวตัวเองจะมีพ่อบุญธรรมอีกคน
แต่ไม่มีใครฟังเขา ต่อให้อึดอัดก็ต้องทนไว้
“เด็กดี รู้จักญาติบุญธรรมก็ควรเตรียมถ้วยทองตะเกียบเงินให้หลานสักหน่อย แต่ตอนนี้พวกเรา…ไม่ต้องกังวล คุณปู่คุณย่าจะต้องให้แน่นอน”
ฉือเก๋อเหลือบมองสหายทั้งสอง นี่กำลังจะบอกเรื่องในใจออกไปแล้วนะ!
ดูเหมือนสามีภรรยาตู้วางแผนจะเป็นครอบครัวเดียวกับบ้านซู
โชคดีที่คนบ้านนี้ไม่ได้คิดเยอะ คุณปู่ซูเอ่ยอย่างสุภาพ “เป็นอย่างไรบ้าง? เสี่ยวเถียนได้รู้จักพวกคุณในฐานะญาติบุญธรรมนับเป็นโชค อีกอย่างถ้วยทองตะเกียบเงินไม่ใช่โชคที่คนทั่วไปจะมีได้หรอกนะ”
หนึ่งปีผ่านไป ซูเสี่ยวเถียนได้คุณปู่คุณย่าเพิ่มมาอีกคู่ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซูกับคนที่คอกวัวก็ดีขึ้น
ถึงบางคนจะว่าไม่ดี แต่ซูฉางจิ่วบอกว่าคนบ้านซูจะช่วยคนคอกวัวพัฒนาอุดมการณ์ คนในชุมชนการผลิตจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากผ่านวันพระจันทร์เต็มดวงแรกของเดือนสิบสอง (ตามปฏิทินจันทรคติ) คนในชุมชนการผลิตต่างทำงาน แต่ไม่มีนักบัญชีหลี่ที่ไร้มนุษยธรรมอีกต่อไป โอ้ ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นนักบัญชีแล้ว เพราะนักบัญชีคนใหม่คือซูโส่วเวิน
หลี่ฉางหมิงและคังอี้เยี่ยถูกส่งตัวไปยังชุมชนใหญ่ ใกล้จะพิจารณคดีและจะถูกส่งไปเพราะทำเรื่องผิดศีลธรรม
ก่อนที่หลี่ฉางหมิงจะถูกส่งตัวไป ซูเถาฮวามาพบเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ชายผู้นี้ไม่คิดเยอะคิดแยะอีกต่อไป พอเห็นใบหน้าภรรยาแก่ที่ตนเคยไม่ชอบสุด ๆ ก็รีบอ้อนวอน
“เถาฮวา เธอหาทางช่วยฉันเถอะ ถ้าฉันออกไปได้จะอยู่กับเธอ รักเดียวใจเดียวไปตลอดชีวต ไม่ทำผิดพลาดอีก”
ถึงหลี่ฉางหมิงจะเกลียดซูเถาฮวาที่ไม่เคยให้ข้าวเลยสักครั้ง แม้แต่วันส่งท้ายปีเก่าก็ยังไม่สนใจใยดี
หากซูเถาฮวาใส่ใจถึงความสัมพันธ์สามีภรรยา หลี่ฉางหมิงคงไม่ตกลงมาถึงจุด ๆ นี้หรอก
แต่เรื่องเหล่านี้เขาไม่กล้าพูดออกไป
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเปลี่ยนใจเธอ ซึ่งจะต้องเกลี้ยกล่อมก่อน
ซูเถาฮวามองชายคนนี้ ก่อนยิ้มเยาะ “ไม่คิดถึงนักศึกษาคังของคุณแล้วหรือ? แต่กำลังคิดจะอยู่กับฉันแทน?”
“ตอนนั้นฉันสับสนหน้ามืดตามัว เถาฮวายกโทษให้ฉันสักครั้งเถอะ จากนี้ไปฉันจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงคนนั้นอีก” หลี่ฉางหมิงอ้อนวอนอย่างขมขื่น
ทุกวันนี้โทษที่ไม่เคยได้รับก็ได้รับแล้ว และเขาไม่อยากไปเหมืองให้ทุกข์ทรมานอีก
“คังอี้เยี่ยเป็นคนยั่วยวนฉัน ถึงฉันผิดพลาดอย่างไร ผู้ชายทุกคนก็ผิดพลาดเหมือนกัน”
ใช่ แบบนี้แหละ คนในชุมชนที่มีความสัมพันธ์กับคังอี้เยี่ยไม่ใช่หนึ่งหรือสองคน
คังอี้เยี๋ยโดดเด่นเกินไป แค่เธอลงมือก็มีผู้ชายที่ทนไม่ได้แล้ว
ซูเถาฮวามองชายที่อยู่ร่วมกันมายี่สิบปีด้วยความผิดหวัง แต่จู่ ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา
“เถาฮวา เธอยิ้มแล้ว ยกโทษให้ฉันแล้วหรือ?” หลี่ฉางหมิงดูเหมือนเห็นแสงอรุณ
“ฉันยิ้มไม่ใช่เพราะยกโทษให้ แต่คิดว่าไม่คุ้มค่าต่างหาก ฉันคือซูเถาฮวาผู้หญิงแกร่ง ทำไมจะต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะแบบแกไปทั้งชีวิตด้วยเล่า?”
ซูเถาฮวาสาปส่ง แต่กลับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
วันเวลายี่สิบปีมันไม่คุ้มเลยจริง ๆ
ถึงหลี่ฉางหมิงจะเป็นคนที่แต่งงานเข้ามา เธอพยายามรักษาหน้าเขาเวลาอยู่ข้างนอก ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้เขารู้สึกต่ำต้อย แต่เขาล่ะ?
เคยคิดจะรักษาหน้าเธอบ้างไหม?
“ฉันต้องขอบคุณนักศึกษาคังที่ทำให้ฉันได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคุณ หลี่ฉางหมิง แกทำให้ฉันคลื่นไส้”
“ตอนที่เอาอกเอาใจนังโสเภณีหลายสามีเนี่ย รู้สึกสกปรกบ้างไหม? แต่ผู้หญิงแบบนั้นกลับทำให้แกรู้สึกเหมือนเป็นที่โปรดปราน แกกับมันสารเลวพอกันจริง ๆ!”
หลี่ฉางหมิงไม่คิดว่าภรรยาจะสาปแช่งออกมาโต้ง ๆ
เขาตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกโกรธ
“ซูเถาฮวา แกยังเป็นผู้หญิงอยู่ไหม? ฉันเป็นสามีแกนะ เป็นพระเจ้าของแก แต่แกกลับด่าฉัน”
ชีวิตของหลี่ฉางหมิงดำเนินมาอย่างราบรื่นมาตลอดชีวิต ถึงจะแต่งเข้าบ้านสะใภ้ แต่พ่อแม่ภรรยาก็ตายไปนานแล้ว และเขารับความอัปยศไม่ได้จริงๆ
“เดี๋ยวก็ไม่ใช่แล้ว!”
*[1] หงซิน คำที่เป็นชื่อของชุมชนการผลิตหงซิน มีความหมายว่า ผู้ที่มีหัวใจจงรักภักดีต่อการปฏิวัติวัฒนธรรม พวกเกษตรกรรมก็มีใจที่อยากจะปฏิวัติคือ ทำลายวัฒนธรรมเก่าๆ แล้วก็เอาแต่วัฒนธรรมใหม่ ๆ แต่ว่าช่วงนั้นพวกโรงเรียนหรือสถานศึกษาถูกปิด เพื่อไม่ให้รับการศึกษา เยาวชนหัวรุนแรงก็ถูกส่งมาชนบทเพื่อไม่ให้เรียนหนังสือ เป็นอีกเหตุผลที่บ้านซูแอบเรียนหนังสือกัน แต่ว่าก็ยังมีความคิดที่จะทำลายพวกความคิดเก่าคร่ำครึ)
*[2] เป็นประเพณีที่จะทุบหม้อก่อนจัดงานศพของทางภาคเหนือของจีน ลำดับคนที่ทำคือ ลูกชายคนโต ถ้าไม่มีลูกก็หลานชายคนโต ถ้าไม่มีทั้งคู่ก็จะเป็นลูกชายคนรอง