ตอนที่ 83

My Disciples Are All Villains

อัศวินดำทั้งหลายไม่ได้ตอบกลับอะไรมา อัศวินคนอื่นๆ เองก็ไม่ตอบเช่นกัน พวกอัศวินทั้งหมดสวมใส่หน้ากากปกปิดใบหน้าเอาไว้ และเพราะแบบนั้นหมิงซี่หยินจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้ หลังจากพูดคุยจบแล้วกลุ่มอัศวินดำทั้งหมดก็ได้เดินขึ้นไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า

ในระหว่างที่เดินขึ้นบันไดไปได้ครึ่งทาง ในตอนนั้นฝานซุยเหวินก็ได้หยุดเดินขึ้นมาอย่างไม่กะทันหัน “ใครกันที่กำลังซ่อนตัวอยู่? “

เสื้อผ้าสีดำได้ผิวไหวไปมาระหว่างต้นไม้ เจ้าของเสื้อผ้าชุดนั้นได้กระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นไม้หนึ่ง คนที่กำลังยืนอยู่บนต้นไม้คือหยวนเอ๋อนั่นเอง หยวนเอ๋อที่ถูกจับได้พูดออกมาในทันที “ช่างน่าเกลียดซะจริง” ที่หยวนเอ๋อพูดว่าน่าเกลียดเป็นเพราะว่าเสื้อผ้าที่เหล่าอัศวินดำกำลังสวมใส่อยู่นั่นเอง มันดูน่าเกลียดมากกว่าที่จะดูน่ากลัว

อัศวินดำคนหนึ่งที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พูดขึ้นมาอย่างมีอารมณ์ “นายท่าน เจ้าพวกศาลาปีศาจลอยฟ้าพวกนี้ไม่ได้เคารพพวกเราเลย! “

ฝานซุยเหวินได้ยกมือขึ้นมาเพื่อห้ามอัศวินลูกน้องของตน หลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปบนภูเขาต่อไป แม้ว่าชายผู้ที่เป็นผู้นำของกลุ่มอัศวินดำจะสามารถยอมรับว่าหมิงซี่หยินได้จัดการลูกน้องของตนไปถึงสี่คน แต่ถึงแบบนั้นอัศวินดำคนอื่นๆ เองก็ไม่สามารถทนนิ่งดูดายได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนจากศาลาปีศาจลอยฟ้ายังดูถูกพวกเขาอีก แต่สำหรับฝานซุยเหวินผู้ที่เคยอยู่ในรายชื่อบัญชีดำอันดับต้นๆ มาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเลย ตัวเขาผ่านการโดนดูถูกเหยียดหยามมาแล้วมากมายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าคำสบประมาทจะรุนแรงแค่ไหนก็แล้วแต่ ฝานซุยเหวินก็จะไม่เก็บมาคิดให้เหนื่อยใจ การฝึกฝนอันยาวนานตลอดหลายปีมาได้ทำให้เขามองข้ามเรื่องไม่เป็นเรื่องไปได้อย่างง่ายดาย

หยวนเอ๋อได้จ้องมองหมิงซี่หยินด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงก่อนที่จะบินกลับขึ้นไปบนภูเขา บางทีหยวนเอ๋อคงจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถขึ้นลงบนภูเขาได้อย่างอิสระ ที่เป็นแบบนั้นเพราะเธอเป็นศิษย์คนโปรดของอาจารย์นั่นเอง

หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์น้องเล็กของพวกเราก็เป็นแบบนี้มาตลอด พวกเจ้าน่ะอย่าไปถือสาอะไรนางเลย”

ฝานซุยเหวินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบกลับมาอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ถือสาหรอก”

ครู่ต่อมาพวกเขาทั้งหมดก็ได้เดินมาถึงศาลาปีศาจลอยฟ้า พวกเขาได้ค่อยๆ เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ด้านในศาลา

หมิงซี่หยินได้กวาดตามองไปทั่วทั้งห้องโถง ตัวเขาพบว่าจ้าวยู่และยี่เทียนซินเองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน พวกเธอทั้งสองคนได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างดูไร้เรี่ยวแรง ในขณะเดียวกันด้วนมู่เฉิง, โจวจี้เฟิง, ฝานซง พวกเขาทั้งสามได้ยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ.

ฝานซุยเหวินได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินตรงมา ลูกน้องทั้งสี่ของเขาเองยืนจับคู่กันอยู่ที่ด้านหลังของเขา

ในตอนนั้นห้องโถงใหญ่ยังคงเงียบสนิท สายตาของทุกคนกำลังจ้องมองไปเหล่าผู้มาเยือนทั้ง 5 คนนี้

ฝานซุยเหวินได้มองไปที่ลู่โจว ชายชราเพียงคนเดียวผู้ที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุดของห้องโถงนี่ เมื่อฝานซุยเหวินได้สบตากับลู่โจวเขาก็ตกตะลึงในทันที มีข่าวลือมาว่าจีเทียนเด๋านั้นอ่อนแรงเต็มทีแล้ว การฝึกฝนวรยุทธมามากกว่า 1,000 ปีได้ทำให้พลังร่างกายที่ตัวเขามีถดถอยลง

ฝานซุยเหวินเป็นคนที่มีพรสวรรค์พิเศษ ตัวเขาจะสามารถอ่านออร่าพลังชีวิตของคนอื่นๆ ได้ อันที่จริงแล้วชายชราที่อยู่ตรงหน้าควรจะมีอายุอยู่ได้แค่อีก 15 ปีเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่สามารถประเมินพลังยุทธของชายคนนั้นได้เลย ถ้าหากฝานซุยเหวินอยากที่จะประเมินพลังของชายชราคนนี้จริงๆ ถ้าหากทำแบบนั้นก็จะต้องยั่วยุเขาโดยตรง และถ้าหากทำแบบนั้นก็คงจะไม่มีเหตุผลไปซะหน่อย หลังจากนั้นไม่นานฝานซุยเหวินก็ได้กล่าวทักทายลู่โจวตามมารยาทไป “ฝานซุยเหวินขอคารวะท่านผู้อาวุโสจี”

ในตอนนั้นลูกน้องของฝานซุยเหวินทั้งสี่เองก็คารวะลู่โจวเช่นกัน

ลู่โจวไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของชายทั้งห้าได้ การแสดงออกของพวกเขาเองก็ดูสงบเสงี่ยม ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าการจะอ่านอารมณ์ของคนพวกนี้ได้เป็นเรื่องยาก หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่งลู่โจวก็พูดออกมาอีกครั้ง “นั่งลงก่อนสิ” น้ำเสียงที่ตัวเขาใช้พูดเป็นน้ำเสียงของผู้อาวุโสที่ใช้พูดกับผู้ที่มีสถานะที่ต่ำกว่า

ฝานซุยเหวินเก็บมือของตัวเองไปก่อนที่จะนั่งลงบนที่นั่งของเขา “ข้าได้ยินมาว่าท่านอยากที่จะพบข้า ท่านผู้อาวุโสจี…ข้าที่ได้ยินแบบนั้นก็เลยไม่รอช้ารีบพาเหล่าอัศวินดำเดินทางมาถึงที่นี่โดยที่ไม่หยุดพัก ข้าสงสัยว่าท่านผู้อาวุโสจีมีเรื่องอะไรที่จะคุยกับข้ากัน? “

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเอานิ้วของเขาชี้ไปทางยี่เทียนซิน “ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องจำนางได้…”

ฝานซุยเหวินที่เห็นยี่เทียนซินได้มีสายตาที่เปลี่ยนไป ใบหน้าของเธอซีดเซียวผิดปกติ หลังจากนั้นเขาก็ส่ายหัวก่อนจะพูดตอบกลับมา “ข้าเกรงว่าข้าจะจำแม่นางคนนี้ไม่ได้” ฝานซุยเหวินได้พูดออกมาตรงๆ

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้หัวเราะคิกคักก่อนที่จะพูดออกไป “นี่คือศิษย์คนที่หกของท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ของข้ายี่เทียนซินไงล่ะ…! ” หลังจากนั้นหยวนเอ๋อก็ได้กลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อไปอีกครั้ง “เจ้าคนทรยศไงล่ะ! “

“แม่นางคนนี้เป็นศิษย์คนที่หกของศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ ข้าต้องขอโทษด้วย เป็นความผิดของข้าเอง” ฝานซุยเหวินได้พูดออกมาเบาๆ

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาอย่างใจเย็น “เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ไหม? “

ร่างกายของฝานซุยเหวินหยุดเคลื่อนไหวไปในทันที และก็เพราะว่าชุดเกราะที่หนักแน่นรวมไปถึงหน้ากากที่หนาทำให้ชายคนนี้สามารถซ่อนอารมณ์และความรู้สึกได้ ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนี้กำลังคิดอะไร หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ส่ายหัวออกมาเพื่อเป็นการบอกปฏิเสธไป สำหรับเขาผู้เป็นผู้นำของเหล่าอัศวินดำ ฝานซุยเหวินไม่อาจที่จะจำหมู่บ้านเล็กๆ เพียงหมู่บ้านเดียวได้ ฝานซุยเหวินที่ได้ปฏิเสธไปได้ถามออกมาอย่างสงสัย “ทำไมท่านผู้อาวุโสถึงได้ถามถึงหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ด้วยล่ะ? “

“ยี่เทียนซิน” ลู่โจวพูดขึ้น

ยี่เทียนซินตัวสั่นเล็กน้อย เธอพยายามที่จะพยุงตัวเองขึ้นมาอย่างอ่อนแรงก่อนที่จะพูดออกมา “หมู่บ้านปลามังกรสวรรค์น่ะมีชาวบ้านทั้งหมดประมาณ 354 คนเมื่อ 150 ปีก่อน ในตอนนั้นหมู่บ้านก็ได้ถูกกวาดล้างจนไม่เหลือชิ้นดี…” ยี่เทียนซินพูดเพียงแค่นั้น

หลังจากที่ยี่เทียนซินได้ออกจากภูเขาทองไป… เธอก็ได้ใช้เวลามากมายไปกับการสืบค้นเหตุการณ์ในอดีต เธอได้พบกับเบาะแสมากมายที่ชี้ชัดว่าอาจารย์ของเธอ จีเทียนเด๋าเป็นชายเพียงคนเดียวที่มีความเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านแห่งนั้น

ฝานซุยเหวินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้าก่อนจะพูดออกมา “อ๋อ หมู่บ้านแห่งนั้นเองสินะ ข้าเสียใจจริงๆ ที่หมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ถูกทำลายไป…แต่อย่างไรก็ตาม” ฝานซุยเหวินได้หันไปทางลู่โจวก่อนที่จะเอ่ยถามออกมา “นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านผู้อาวุโสเรียกข้ามาพบอย่างงั้นสินะ? “

“ถูกแล้ว” ลู่โจวตอบกลับอย่างไม่แยแส

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับข้ายังไงกัน? “

“จากบันทึกของพระราชวังและบันทึกจากหอจดหมายเหตุจากสถานที่ต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างได้บอกเอาไว้ว่าเจ้าน่ะเป็นคนทำลายหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์” แม้ว่าลู่โจวจะไม่เห็นสีหน้าการแสดงออกของฝานซุยเหวิน แต่ถึงแบบนั้นสายตาที่เฉียบคมของเขาก็มองเห็นว่าร่างกายฝานซุยเหวินขยับเล็กน้อยทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ ท่าทางแบบนี้ได้บอกว่าฝานซุยเหวินกำลังรู้สึกกังวลใจอะไรบางอย่างอยู่

“เป็นอย่างงั้นเองหรอ? ” ฝานซุยเหวินได้พูดออกมา น้ำเสียงที่เขาใช้พูดดูตกใจอะไรบางอย่าง

เมื่อลู่โจวพูดถึงผู้ร้ายที่ถูกกล่าวหา ในตอนนั้นทุกคนก็สังเกตเห็นสีหน้าของยี่เทียนซินก็เปลี่ยนไปในทันที

“อัศวินดำน่ะเป็นหน่วยกองกำลังพิเศษที่ขึ้นตรงกับราชวงศ์ พวกอัศวินดำน่ะมักจะทำงานกันในเงามืดเท่านั้น และเพราะแบบนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หอจดหมายเหตุจากพระราชวังจะไม่ได้พูดถึงเรื่องในครั้งนี้” ลู่โจวพูดออกมาอย่างใจเย็น

ฝานซุยเหวินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้โต้ตอบกลับไป “เหล่าผู้ฝึกยุทธทุกคนต่างรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเราอัศวินดำเป็นหน่วยพิเศษที่ขึ้นตรงกับเหล่าราชวงศ์”

“แล้วพวกอัศวินดำไม่เคยไปที่แม่น้ำสวรรค์เลยอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้ถามขึ้นมา

เมื่อฝานซุยเหวินได้ยินคำถาม ตัวเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรโต้ตอบกลับมา ฝานซุยเหวินเป็นชายผู้ที่ฉลาดหลักแหลม ทันทีที่เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับยี่เทียนซินเขาก็รู้อยู่แล้วว่าลู่โจวจะต้องถามถึงเรื่องนี้

ฝานซุยเหวินได้หัวเราะออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “วันนี้พวกเราคงมาที่นี่เพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์อย่างงั้นสินะ ความจริงแล้วที่ข้ามาในวันนี้ข้ามาเพื่อพูดอะไรบางอย่างกับท่าน ท่านผู้อาวุโส”

“งั้นก็พูดสิ” ลู่โจวพูดออกมาห้วนๆ

“ทางพระราชวังอยากที่จะส่งข้อความอะไรบางอย่างให้กับท่าน” หลังจากพูดจบท่าทางของฝานซุยเหวินก็เปลี่ยนไปในทันที “ทางพระราชวังจะถือซะว่าเรื่องที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าทำมาในอดีตไม่เคยเกิดขึ้น เรื่องนี้รวมไปถึงเรื่องที่หมิงซี่หยินได้สังหารอัศวินดำทั้ง 4 คนของพวกเราไป ทางพระราชวังเองก็ยินดีที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไป แต่ว่ามีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่ง…” ฝานซุยเหวินหยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เงื่อนไขที่ว่าก็คือการไม่ให้พวกศาลาปีศาจลอยฟ้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของทางพระราชวังไปเป็นเวลาสิบปี”

ในตอนนั้นห้องโถงใหญ่ก็ได้เงียบลง

เหล่าศิษย์สาวกของลู่โจวได้แต่จ้องมองกันเอง

แม้แต่ลูกน้องทั้งสี่ที่ไว้ใจได้ของฝานซุยเหวินเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทั้งสี่ก็รู้สึกโล่งใจกับคำขอในวันนี้ คำขอแบบนี้เป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก ในโลกยุทธภพนั้นมีเหล่าผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนด้วยกัน เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างก็ระวังตัวเป็นอย่างดีเพื่อที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานของทางพระราชวัง บางคนที่ต้องการพ้นโทษจนยอมที่จะกลายเป็นทหารซะเอง บางคนเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีอิทธิพลนั้นไป

หลังจากที่หยุดพูดไปได้พักหนึ่ง ฝานซุยเหวินก็ได้พูดเสริมออกมาอีกครั้ง “อัศวินดำไม่ได้ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้า พวกเราอัศวินดำคงไม่มีพลังมากพอที่จะเทียบพวกท่านได้ ข้าที่พูดไปเป็นตัวแทนของเหล่าอัศวินดำ ข้าหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะทำให้ความปรารถนาของพวกเราเป็นจริงด้วย” ฝานซุยเหวินหยุดพูดเพียงแค่นี้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขามาถึงที่นี่นั่นเอง

ทุกคนมองไปยังลู่โจวเพื่อที่จะรอคำตอบจากเขา

แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ชิงที่จะทำลายความสงบด้วยเสียงหัวเราะของเขาซะก่อน “คนสุดท้ายที่กล้าเดินเตร่มาถึงที่นี่ด้วยท่าทีอวดดีน่ะ…ล่าสุดชายคนนั้นได้ลอยก่อนที่จะสลายหายไปแล้ว เจ้าพยายามที่จะเดินตามรอยของเจ้านั่นอย่างงั้นสินะ? “

ฝานซุยเหวินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ผสานมือกันคารวะ “ข้าไม่กล้า”

ลู่โจวลูบเคราตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาในที่สุด “เล้งลั่ว”

หัวใจของฝานซุยเหวินเต้นไม่เป็นจังหวะเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อชื่อนี้ ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

ลู่โจวมองไปที่ฝานซุยเหวินด้วยสายตาที่เฉียบแหลมก่อนจะพูดขึ้น “เจ้ากำลังคิดจะขู่ข้าอยู่สินะ? “