ตอนที่ 84

My Disciples Are All Villains

ไม่ว่าน้ำเสียงของฝานซุยเหวินจะดูเจียมตัวมากสักแค่ไหนหรือกิริยาท่าทางของเขาจะเป็นยังไง แต่เมื่อได้ยินความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของชายคนนี้แล้ว ลู่โจวก็สัมผัสได้ถึงคำขู่

ศาลาปีศาจลอยฟ้าอาจจะทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นเพราะลู่โจวหรือศิษย์สาวกของเขาทั้งเก้าก็แล้วแต่ แม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะสูญเสียยู่ฉางไห่และยู่ฉางตงไป แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีฝ่ายไหนที่กล้าโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ดี อะไรที่ทำให้ฝานซุยเหวินมั่นใจถึงได้พูดแบบนั้นออกมา? ฝานซุยเหวินมั่นใจว่าจะสามารถพูดให้ตัวเขาหยุดยุ่งเรื่องของพระราชวังได้เลยอย่างงั้นหรอ? นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?

ฝานซุยเหวินลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมกับผสานมือคารวะใหม่ “ท่านผู้อาวุโส ท่านจะพูดถึงตัวตนในอดีตให้ข้าผู้นี้ต้องลำบากทำไมกัน? เล้งลั่วน่ะได้หายตัวไปแล้วเมื่อ 300 ปีก่อน เขาน่ะได้จากไปพร้อมกับความดีและความบาดหมางที่มีในอดีต ท่านผู้อาวุโส ถ้าหากจะให้ข้าพูดตามตรงการมีชื่ออยู่ในบัญชีดำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ตัวข้าภาคภูมิใจเลย การมีชื่ออยู่ในบัญชีดำไม่ต่างอะไรกับรอยด่างพร้อยในชีวิตข้าที่ไม่สามารถขจัดไปได้” ฝานซุยเหวินได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของชายคนนี้ต่างก็รู้สึกไม่พอใจในทันที

ชายคนนี้เคยอยู่บนรายชื่อบัญชีดำอันดับต้นๆ มาก่อน เขาคนนี้เคยทำชั่วจนเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ เขาคนนี้กำลังละอายใจกับอดีตที่ผ่านมาอย่างงั้นหรอ เขารู้สึกผิดจนต้องหันหลังเพื่อเดินทางวิธีอันชอบธรรมสินะ? นี่มันช่างน่าขันซะจริง

ฝานซุยเหวินยังพูดต่อไป “สำหรับคำพูดขู่ท่านผู้อาวุโส พวกเราอัศวินดำไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น พวกเราแค่ถ่ายทอดข้อความที่มีมาจากทางพระราชวังให้เท่านั้น ข้าไม่สามารถบิดเบือนคำถ่ายทอดนี้จากทางพระราชวัง”

ความเงียบได้เข้าปกคลุมห้องโถงใหญ่อีกครั้ง

หมิงซี่หยินเป็นคนที่ส่งเสียงออกมาเพื่อทำลายความสงบอีกครั้ง “ถ้าหากเจ้ารู้อยู่แล้วว่าคำขอของเจ้าจะต้องถูกปฏิเสธ เจ้าก็คงจะไม่คิดทิ้งชีวิตพูดออกมาแบบนี้หรอกนะ? “

ด้วนมู่เฉิงพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน “เจ้ากำลังขอให้พวกเราศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ให้เข้าไปยุ่งเรื่องของทางพระราชวังอย่างงั้นสินะ…และถ้าหากพวกเราเห็นด้วยกับคำขอของพวกเจ้า พวกเราก็ต้องทนทุกอย่างแม้ว่าพระราชวังจะต้องการบุกมาที่นี่อย่างงั้นสินะ? “

“…”

“วรยุทธของจ้าวยู่ ศิษย์น้องของพวกเราถูกใครบางคนจากพระราชวังผนึกเอาไว้ก่อนที่จะส่งตัวเธอไปยังพิธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อพิธีแต่งงาน เจ้าจะตอบเรื่องนี้ยังไงล่ะ? แถมในตอนนี้ยังมีเรื่องหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ที่ถูกทำลายไปอีก เจ้าน่ะจะแก้ตัวว่ายังไงกัน? ” ด้วนมู่เฉิงเอ่ยถามขึ้น

ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ตกใจในความคมคายที่ด้วนมู่เฉิงมี คำพูดของเขาเพียงไม่กี่คำสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไปได้

ลู่โจวที่กำลังลูบเคราของตัวเองอยู่ได้พูดออกมาเช่นกัน “เล้งลั่ว เจ้าคงได้ยินแล้วสินะ? ” ลู่โจวรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของด้วนมู่เฉิง

เมื่อได้ยินลู่โจวพูดแบบนั้น เหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายต่างก็รู้สึกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่เหมือนกับสถานการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ถ้าหากพวกเขาพูดอะไรผิดไป บางทีพวกเขาอาจจะต้องเจอกับหายนะแทนก็เป็นได้

ฝานซุยเหวินได้ยกมือของเขาขึ้นคารวะก่อนที่จะพูดตอบกลับ “ข้าไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งของทางพระราชวังได้ ท่านผู้อาวุโส ท่านไม่จำเป็นจะต้องลดตัวอยู่ภายใต้คำสั่งของทางพระราชวังหรอกนะ”

“ไม่ เจ้าน่ะไม่เข้าใจหรอก” ลู่โจวลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเริ่มเดินลงมาจากที่นั่ง

การเคลื่อนไหวของลู่โจวได้ทำให้ฝานซุยเหวินระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น

ในตอนนั้นเองลูกน้องทั้งสี่ของฝานซุยเหวินเองก็เริ่มกังวลเล็กน้อยเช่นกัน

จีเทียนเด๋าเป็นมหาวายร้าย ชายคนนี้มีนิสัยขึ้นชื่อถึงเรื่องอารมณ์ร้อนเป็นอย่างดี พวกเขาทั้งห้าจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากพูดไม่เข้าหูจีเทียนเด๋าจนทำให้ตัวเขาโกรธขึ้นมาได้

ลู่โจวถามออกมาอีกครั้ง “อัศวินดำมีหน้าที่ทำลายหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์อย่างงั้นสินะ? ” ดวงตาของเขาได้จับจ้องไปที่ฝานซุยเหวิน ในตอนนี้ลู่โจวได้ถือการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตก่อนที่จะรอฟังคำตอบอย่างเงียบๆ

คำถามของลู่โจวได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถง

เมื่อยี่เทียนซินที่ร่างกายอ่อนแอได้ยินคำถามนี้ เธอก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันที ยี่เทียนซินได้แต่จ้องไปที่อาจารย์ของเธออย่างไม่ละสายตาก่อนที่จะจ้องไปที่ฝานซุยเหวินที่กำลังยืนอยู่ตรงข้ามกับอาจารย์ของเธอ ในตอนนั้นเองเธอก็ได้แต่ใช้ความคิดอยู่ในใจ ‘หรือว่าจะมีเบื้องหลังอื่นของหมู่บ้านมังกรสวรรค์จริงๆ? ‘

บรรยากาศในตอนนี้ตึงเครียดและหนักหน่วงกว่าเดิม

ฝานซุยเหวินไม่ได้ตอบคำถามของลู่โจวตรงๆ “ชนเผ่าอื่นๆ น่ะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในดินแดนแห่งนี้หรอกนะ ที่แม่น้ำสวรรค์น่ะมีพวกนอกคอกมากเกินไป” ขณะที่พูดเขาก็เหลือบมองไปที่ยี่เทียนซิน การพูดแบบนี้เท่ากับว่าการยอมรับออกมาตรงๆ

ฝานซุยเหวินเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม เขารู้ดีว่าการโต้เถียงกลับไปหรือการปฏิเสธความจริงนั้นไม่มีความหมายอะไรกับสถานการณ์แบบนี้ ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไม่เรียกตัวเขามาแน่ถ้าหากพวกเขาไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ

เมื่อได้ยินคำพูดของฝานซุยเหวิน ทุกคนก็ต่างจับต้องไปที่เขา

“เจ้าได้เข้าไปในหอบันทึกของพระราชวังและหอจดหมายเหตุในที่ต่างๆ ถูกต้องไหมล่ะ? “

“ข้าทำเอง” ฝานซุยเหวินไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา “มีคนไม่มากนักหรอกที่เข้าไปในหอบันทึกของทางพระราชวังได้…”

ลู่โจวได้พูดต่อไปโดยที่ไม่สนใจคำพูดของฝานซุยเหวิน “เพราะงั้นเจ้าเลยใส่ร้ายข้าอย่างงั้นสินะ? “

จีเทียนเด๋าได้เคยทำชั่วช้ามาแล้วมากมายต่อหลายครั้งด้วยกัน บางครั้งศิษย์ทั้งเก้าที่ทำชั่วเองก็ทำให้ตัวเขายิ่งดูชั่วร้ายมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ชื่อเสียงของปรมาจารย์มหาวายร้ายที่เพิ่มมากขึ้นก็ได้ทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะโยนความผิดให้กับจีเทียนเด๋าไป ที่จริงแล้วจีเทียนเด๋าได้ทำชั่วมาแล้วมากมายแต่ถึงแบบนั้นจะมีอะไรอีกล่ะ? ดูเหมือนว่าท้ายที่สุดแล้วลู่โจวจะต้องใช้เวลาอีกมากกว่าที่จะกอบกู้ชื่อเสียงที่ดีของตัวเองกลับมาอีกครั้ง

จนถึงตอนนี้ลู่โจวไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เรื่องในครั้งนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่จะรับได้

ฝานซุยเหวินรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “อัศวินดำอย่างพวกเรามีหน้าที่ที่จะทำตามคำสั่งเท่านั้น! พวกเราไม่ใช่ผู้ที่บงการเบื้องหลัง….ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้ารู้มาศิษย์คนที่หกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ายังไงซะก็เป็นผู้ทรยศอยู่แล้ว แล้วทำไมท่านผู้อาวุโสถึงต้องสู้กับทางพระราชวังเพียงเพื่อคนทรยศแบบนี้ด้วย? “

เมื่อได้ยินแบบนั้นยี่เทียนซินก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้น เธอพยายามฝืนร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงชักดาบของหนึ่งในผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทราออกมา

พรึ๊บ!

ยี่เทียนซินได้ชักดาบออกมาด้วยใบหน้าที่เย็นชาก่อนที่จะแทงตรงไปยังฝานซุยเหวินอย่างไร้ปรานี

แคล๊ง!

ฝานซุยเหวินไม่ได้ขยับไปไหน มือทั้งสองข้างของเขาก็ยังผสานไว้ที่ด้านหลังแบบเดิม ตัวเขาในตอนนี้ยืนนิ่งราวกับว่าเป็นรูปปั้นหิน ดาบของยี่เทียนซินที่โจมตีเข้าไปแหลกเป็นเสี่ยงๆ

ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างตกตะลึง

ดวงตาของยี่เทียนซินเปลี่ยนเป็นสีแดง ในตอนนั้นเธอพูดออกมาอย่างโกรธแค้น “ใครกัน ใครกันที่เป็นผู้บงการ ข้าถามว่าใคร! “

พรึ๊บบบบ!

ฝานซุยเหวินได้ปล่อยคลื่นพลังออกมาเพื่อผลักยี่เทียนซินให้กระเด็นกลับไป “ท่านผู้อาวุโสจี อัศวินดำอย่างพวกเราไม่ได้ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าของท่าน ข้าน่ะตอบทุกคำถามของท่านแล้ว ส่วนเรื่องผู้บงการเห็นทีข้าจะตอบท่านผู้อาวุโสไม่ได้ ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะส่งสารแทนพระราชวังเท่านั้น ได้โปรดท่านผู้อาวุโสโปรดเห็นใจ…” ทันทีที่เขาพูดจบเขาก็หันหลังให้ก่อนที่จะเดินออกไปจากประตู

เมื่อเห็นแบบนัั้นเหล่าอัศวินดำทั้งสี่ที่เดินตามมาเองก็ยืนขึ้นก่อนที่จะเดินตามผู้เป็นหัวหน้าไปเช่นกัน

ฝานซุยเหวินได้เดินไปข้างหน้าสองก้าวก่อนที่จะหยุดเดิน “ท่านผู้อาวุโส ข้าในฐานะที่เป็นเหมือนกับรุ่นน้องของท่านอยากที่จะเตือนท่านด้วยความหวังดีสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกท่านไม่ควรที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับทางพระราชวัง เวลาแค่ 10 ปีเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปแล้ว ส่วนเรื่องที่สองแม้ว่าอัศวินดำอย่างพวกเราจะไม่สามารถเทียบเคียงกับศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างพวกท่านได้ แต่พวกเราก็ไม่ได้มีความเหลืออดเหลือทนอย่างไร้ขีดจำกัด ข้าขอตัวก่อน”

ก่อนที่แขกทั้งห้าจะเดินออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ลู่โจวที่ลูบเคราอยู่ก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นซะก่อน “ใครอนุญาตให้พวกเจ้าออกไปกัน? “

“หืม? ” ฝานซุยเหวินหยุดเดิน หัวใจของเขาเองก็เต้นไม่เป็นจังหวะ

“ข้าเรียกพวกเจ้ามาที่นี่ก็เพราะความตั้งใจของข้า แต่ข้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะปล่อยพวกเจ้าออกไปซะหน่อย” ลู่โจวพูดขึ้น

ด้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็คันไม้คันมือในทันที ในตอนแรกพวกเขาทั้งสองคนคิดว่าท่านอาจารย์ของเขาจะเลือกหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายซะมากกว่า แต่หลังจากที่เหล่าอัศวินดำถูกทางพระราชวังส่งตัวมา ด้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินผู้ที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกลังเลขึ้น แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าอาจารย์ของเขาจะรู้สึกไม่ยอมใครขึ้นมา!

พรึ๊บบบบ! พรึ๊บบบบ!

หมิงซี่หยินและด้วนมู่เฉิงได้ขวางทางเหล่าอัศวินเอาไว้

ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นก็ได้หันกลับมาถามอย่างช้าๆ “ท่านต้องการทำแบบนี้เพื่อคนทรยศนั่นอย่างงั้นสินะ? “

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นตอบกลับมาอย่างเฉยเมย “ข้าได้ลงโทษเจ้าคนทรยศนั่นแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเจ้าที่จะต้องมาสั่งสอนข้า บอกมาใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น ถ้าหากยอมบอกบางทีข้าอาจจะปรานีกับเจ้าก็ได้”

เมื่อได้ยินแบบนั้นฝานซุยเหวินก็ได้เดินกลับไปที่นั่งของตัวเองก่อนที่จะเอ่ยปากออกมา “สี่อัศวินดำ…”

“ครับนายท่าน” สี่อัศวินรีบขานตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ดูเหมือนศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องการที่จะเห็นพลังที่แท้จริงของพวกเราอัศวินดำ ดังนั้นพวกเราจะต้องทำความปรารถนาให้กับเจ้าพวกนี้”

หึ่ง หึ่ง หึ่ง หึ่ง!

เสียงหึ่งๆ ได้ดังขึ้นก่อนที่จะมีพลังร่างอวตารปรากฏตัวขึ้นตาม ในตอนนั้นมีพลังอวตารดอกบัวทั้งสองสองร่างและดอกบัวทั้งสามอีกสองร่างได้ปรากฏขึ้น พลังร่างอวตารนั้นสูง 30 และ 40 ฟุตด้วยกัน พลังร่างอวตารสีทองได้ตั้งตระหง่านอยู่เหนือหัวคนอื่นๆ พลังนั่นถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายพลังแห่งความน่ากลัว