ตอนที่ 85

My Disciples Are All Villains

คนอื่นๆ มองไปที่ร่างอวตารทั้งสี่อย่างตื่นตกใจ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวเป็นเพียงคนเดียวที่ดูไม่ได้ตื่นตกใจอะไรเลย

ผู้นำของอัศวินนำซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชื่ออยู่ในบัญชีดำอันดับต้นๆ การที่เขาจะกล้ามาถึงที่อันตรายแบบนี้ได้เขาจะต้องซ่อนไพ่ตายเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว และการที่ฝานซุยเหวินกล้ามาถึงนั่นก็แสดงว่าตัวเขามั่นใจในไพ่ตายของเขารวมไปถึงพลังยุทธที่มี อัศวินดำทั้งหมดล้วนแต่เป็นเหล่ายอดฝีมือขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์

ฝานซุยเหวินผสานมือไว้ข้างหลังอีกครั้ง “ข้าเป็นคนที่รักษาคำพูด ข้าไม่ได้คิดอยากที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าหรอกนะ” คำพูดของเขาที่ได้พูดขึ้นสวนทางกับการกระทำเป็นอย่างมาก

แม้แต่ศิษย์ทรยศจากศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ฟังแบบนั้นก็ยังรู้สึกโกรธเช่นกัน

ในระหว่างที่ลู่โจวกำลังคิดถึงทางเลือกที่ตัวเขาได้เลือกเดิน หยวนเอ๋อที่อยู่ตรงนี้ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับยอดฝีมือที่มีพลังยุทธถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้เลย หมิงซี่หยินและด้วนมู่เฉิงคงจะรับมือกับอัศวินทีละคนได้ ตอนนี้ก็เท่ากับว่ามีอัศวินดำที่เหลืออีกสองคนกับฝานซุยเหวินที่มีพลังยุทธอันลึกล้ำ ถ้าหากเป็นสถานการณ์ทั่วไปลู่โจวก็คงจะใช้การ์ดการโจมตีของเพรชฆาตเพื่อจัดการกับฝานซุยเหวินไปในทันทีได้แล้ว แต่ตอนนี้เขายังไม่พบความจริงของเรื่องหมู่บ้านมังกรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าจะจัดการกับฝานซุยเหวินไปได้ การ์ดที่เหลือของเขาก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ตัวเขาจัดการกับอัศวินดำที่เหลือได้ แม้ว่าลู่โจวจะพอมีแต้มบุญอยู่บ้างแต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็อยากที่จะเก็บแต้มบุญให้ได้มากที่สุด ในตอนนี้ตัวเขาหาแต้มบุญได้ยากแล้วนั่นเอง

ในขณะที่ลู่โจวกำลังใช้ความคิดอยู่ หนึ่งในอัศวินดำก็ได้พูดยั่วยุขึ้น “ตั้งแต่ที่พวกเจ้าหมิงซี่หยินได้จัดการกับคนของพวกเราไป ข้าก็อยากที่จะตัดสินกับเจ้ามาโดยตลอด! “

หมิงซี่หยินเพิ่งจะฝึกฝนตัวเองจนมีวรยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ไป ตัวเขาที่รู้สึกกระวนกระวายได้ถอยหลังไปหลายเก้าด้วยกัน หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็ได้กระโจนถอยกลับไปที่มุมของห้องโถงมุมหนึ่ง

อัศวินดำคนนี้รู้สึกมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก เขามั่นใจว่าจะเอาชนะหมิงซี่หยินด้วยตัวเอง “ถอยไป…พวกเราเหล่าอัศวินดำไม่ได้ต้องการชนะใครเพียงเพราะจำนวนหรอก! “

อัศวินดำพอใจกับผลที่เกิดขึ้น ในตอนนี้การต่อสู้อันดุเดือดได้เปลี่ยนกลายเป็นการต่อสู้ระยะไกลไป

ลู่โจวกำลังจ้องมองสถานการณ์ทั้งหมดเพื่อประเมินการต่อสู้ แม้ว่าพลังร่างอวตารของหมิงซี่หยินจะไม่มีกลีบดอกบัวก็ตามที แต่ถึงแบบนั้นช่วงเวลาที่ตัวเขาได้ฝึกฝนตัวเองเพื่อจะเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การมีวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ก็นานเต็มที เช่นเดียวกับด้วนมู่เฉิงเช่นกัน แม้ว่าหมิงซี่หยินจะฝึกฝนเพื่อเตรียมความพร้อม แต่ถึงแบบนั้นนั่นก็ไม่ใช่การฝึกฝนที่ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด การฝึกฝนที่แล้วๆ มาของพวกเขาทำให้พวกเขาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ด้วยฝีมือของหมิงซี่หยินที่มีในตอนนี้ถ้าหากเขาไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้ หมิงซี่หยินจะต้องหนีไปได้แน่ ดังนั้นลู่โจวจึงไม่ได้ห่วงลูกศิษย์คนนี้เท่าไหร่

ส่วนด้วนมู่เฉิงนั้นมีท่าทีที่ต่างออกไป ตัวเขาได้ใช้น้ำเสียงที่นุ่มลึกของตัวเองพูดกับศัตรูอย่างกล้าหาญ “พวกเจ้าน่ะมาหาข้าพร้อมกันเลย!” ด้วนมู่เฉิงได้ควงหอกราชันของเขา ในตอนนั้นเองเสียงของโซ่ที่พันธนาการตัวเขาก็ได้ดังออกมาในตอนที่เขาขยับตัว

ฝานซุยเหวินได้หันมองไปที่ด้วยมู่เฉิงเล็กน้อย “อาวุธระดับสรวงสวรรค์อย่างงั้นหรอ? “

อาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่ด้วนมู่เฉิงมีคือหอกราชันนั่นเอง มันดูสง่างามเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในมือของด้วนมู่เฉิง ลวดลายของมังกรที่ถูกแกะสลักมาอย่างดีตั้งแต่ด้ามหอกจนถึงปลายหอกได้ทำให้หอกเล่มนี้ดูงดงามมากยิ่งขึ้น ด้วนมู่เฉิงได้จับหอกเอาไว้อย่างมั่นใจก่อนที่จะใช้ปลายหอกชี้ไปยังเหล่าอัศวิน ในตอนนั้นพลังลมปราณที่ทรงพลังก็ได้ไหลออกมาจากหอกราชัน ด้วนมู่เฉิงได้พยายามแสดงพลังของหอกออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็น คลื่นพลังนั้นได้พุ่งเข้าใส่อัศวินดำคนหนึ่งในทันที

อัศวินดำผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายได้บังคับพลังร่างอวตารของเขาเพื่อปัดการโจมตีของด้วนมู่เฉิง

แต่ถึงแบบนั้นช่องว่างระหว่างผู้ที่มีอาวุธระดับสรวงสวรรค์และผู้ที่ไม่มีอาวุธระดับสรวงสวรรค์ก็ได้ห่างชั้นกันเกินไป ทุกคนในโลกยุทธภพต่างรู้ถึงเรื่องนี้ดี พลังงานจากอาวุธระดับสรวงสวรรค์ทำให้เพิ่มพลังของด้วนมู่เฉิงได้หลายเท่าตัว

อีกทั้งผู้ครอบครองอาวุธระดับสรวงสวรรค์สามารถเพิ่มพลังอวตารของตัวเองในอนาคตได้อีกด้วย แต่ถ้าหากผู้ใช้ไม่มีพลังร่างอวตาร ความได้เปรียบที่ควรจะมีเหนือผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ก็จะหมดไป

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

ด้วนมู่เฉิงไม่รอช้า เขารีบเขวี้ยงหอกราชันออกไปอย่างไร้ความปรานี ในตอนที่หอกราชันพุ่งออกไปด้วยความเร็วอันมหาศาล ในตอนนั้นมันก็ดูเหมือนกับมังกรไป พลังมังกรได้ข่มขวัญคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง เมื่อด้วนมู่เฉิงได้ต่อสู้มากขึ้น ความกล้าหาญที่ตัวเขามีเองก็มีมากขึ้นเช่นกัน ด้วนมู่เฉิงใช้เวลาไม่นานมากนักก็สามารถไล่ต้นคู่ต่อสู้ให้ออกไปจากห้องโถงได้

“ข้าเองก็จะขอร่วมด้วย! ” อัศวินดำคนที่สามสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป เพราะแบบนั้นเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เท่ากับว่าเป็นการต่อสู้ 2-1 ซะแล้ว

ด้วยอาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่ด้วนมู่เฉิงมีทำให้ตัวเขาสามารถเผชิญหน้ากับผู้มีพลังร่างอวตารกลีบดอกบัว 2 ดอก และพลังร่างอวตารกลีบดอกบัว 3 ดอกได้ในเวลาเดียวกัน ก่อนหน้าที่การต่อสู้จะกลายเป็นสองต่อหนึ่งไป ด้วนมู่เฉิงสามารถกดดันศัตรูได้ด้วยพลังต่อสู้ที่เกรี้ยวกราดของเขา แต่เมื่อมีศัตรูเข้าร่วมการต่อสู้อีกคน ด้วนมู่เฉิงเองก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

อัศวินดำทั้งสองคนต่อสู้ร่วมกันได้อย่างดี พวกเขาทั้งสองได้ซัดคลื่นพลังเข้าใส่ด้วนมู่เฉิงไปพร้อมๆ กัน

ด้วนมู่เฉิงได้ยกหอกราชันขึ้นมาก่อนที่จะพันมันด้วยโซ่ที่ล่ามตัวเขาเอาไว้

ตู้ม!

ด้วนมู่เฉิงได้ถอยไปอย่างรวดเร็วด้วยการสไลด์ไปบนพื้นด้วยเท้าเปล่าๆ ของเขา ในตอนนั้นเองที่ที่เขาได้ไถลผ่านไปก็ทำให้เกิดช่องแคบๆ ขึ้นมาบนพื้นดิน

อัศวินดำคู่ปรับทั้งสองได้แต่จ้องมองอย่างไม่พอใจ

ดูเหมือนว่าด้วนมู่เฉิงจะไม่ใช่คนที่บุกเข้าไปเอง ตัวเขาได้ปล่อยให้ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติทั้งสองคนเลือกที่จะบุกเข้ามาแทน ยิ่งด้วนมู่เฉิงมีวรยุทธและความคุ้นเคยมากขึ้นเท่าไหร่ ตัวเขาก็จะมีความชำนาญในการใช้หอกมากขึ้นเท่านั้น ทุกครั้งที่ด้วนมู่เฉิงได้ปล่อยกระหน่ำแทงมอดไหม้และคลื่นพลังพันชั้นออกมา หลังจากที่เขาปล่อยพลังพวกนั้นออกมาแล้วตัวเขาก็จะทิ้งภาพเงาติดตาอีกนับไม่ถ้วนเอาไว้ในที่ที่เคยอยู่

ในตอนนี้อัศวินดำทั้งสองคนรู้แล้วว่าอาวุธระดับสรวงสวรรค์แท้จริงแล้วน่ากลัวขนาดไหน นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าผู้ฝึกยุทธมากมายล้วนต้องการอาวุธล้ำค่าแบบนี้

ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะปรบมือก่อนที่จะพูดชื่นชมขึ้น “ถ้าหากข้าไม่ได้เห็นมันด้วยสายตาของตัวเอง ข้าก็คงจะไม่เชื่อเลยว่าศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะสามารถต่อสู้กับศัตรูทั้ง 2 คนพร้อมกันได้แบบนี้! “

ในขณะเดียวกันนั้นเองอัศวินดำคนอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ก็ได้พูดขึ้นมาเบาๆ “ท่านหัวหน้า ให้ข้าได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยเถอะ”

ฝานซุยเหวินยกมือของเขาขึ้นแต่ไม่ได้ตอบกลับไปแต่อย่างใด เขาหันกลับไปจ้องมองลู่โจวอีกครั้ง ลู่โจวในตอนนี้ก็ยังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่งไร้อารมณ์เช่นเคย

“อัศวินดำทั้งสี่ที่ติดตามข้ามาล้วนแต่มีวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักด์สิทธิ์ด้วยกันทั้งหมด เดิมทีพวกเขาน่ะไม่ชอบที่จะแสดงพลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา…อัศวินดำคนแรกที่ได้ประมือกับหมิงซี่หยินก็คือเฉิงจงลี ส่วนคนที่กำลังประมืออยู่กับด้วนมู่เฉิงก็คืออัศวินคนที่สองยู่จงและอัศวินคนที่สี่ด้วนว่านหง ส่วนอัศวินดำที่กำลังยืนอยู่ในตอนนี้ก็คืออัศวินดำคนที่สามลี่ฉิง ลี่ฉิงเป็นมือธนูที่มีความแม่นยำมากที่สุดคนหนึ่งที่ข้าเคยพบมา” ฝานซุยเหวินจงใจที่จะพูดถึงความแม่นยำในการใช้ธนูของลี่ฉิงออกมา ที่เขาพูดแบบนั้นเพื่อที่จะล่อลวงให้ศัตรูของเขาทำการต่อสู้ระยะประชิดกับอัศวินคนนี้ ความจริงแล้วลี่ฉิงสามารถเข้าร่วมการต่อสู้ระยะประชิดได้ตลอดเวลา

ฝานซุยเหวินได้พูดต่อไป “เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่จะพบกับอาวุธระดับสรวงสวรรค์แบบนี้…ลี่ฉิงน่ะไม่ได้โชคดีแบบนั้น สิ่งที่เขามีเป็นเพียงธนูปรมาจารย์ สมบัติระดับโลกเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามองเห็น ลี่ฉิงน่ะก็สามารถยิงมันโดนได้อย่างแม่นยำ 100%”

ในตอนนั้นลี่ฉิงก็ได้ง้างธนูปรมาจารย์ที่เขามีโดยการใช้พลังร่างอวตาร

ฝานซุยเหวินรีบทำท่าคารวะลู่โจวอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าขอพูดอีกครั้ง…” แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบประโยค ในตอนนั้นเสียงการต่อสู้ที่ด้านนอกห้องโถงก็ได้ขัดจังหวะเขาซะก่อน

ทุกคนต่างก็หันไปมองทิศทางที่เสียงได้ดังขึ้น

โจวจี้เฟิงในตอนนั้นอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ “พลังร่างอวตารนั่นมัน…กำลังผลิใบ! “

เมื่อพลังอวตารได้ผลิใบ ในตอนนั้นมันก็จะเติบโตในทันที ความสูงรวมไปถึงความกว้างและพลังรัศมีของพลังลมปราณ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่สามเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง เขาผลิใบพลังร่างอวตารท่ามกลางการต่อสู้ได้! ” การผลิใบของร่างพลังอวตารหมายความว่าพลังยุทธของคนคนนั้นเองเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมากเช่นกัน

ในตอนนั้นเองพวกเขาทั้งหลายก็ได้ยินเสียงด้วนมู่เฉิงร้องออกมา

หอกราชันของเขาพุ่งขึ้นไปด้านบน เสื้อผ้าของด้วนมู่เฉิงฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และเพราะแบบนั้นร่างกายที่กำยำและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขาจึงปรากฏขึ้น ด้วนมู่เฉิงได้ยื่นแขนออกไปด้านบนในตอนนั้นเองโซ่ที่ล่ามตัวเขาเอาไว้ก็ถูกดึงจนตึง พลังลมปราณได้พุ่งออกมารอบๆ ตัวของด้วนมู่เฉิง นี่คือพลังที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ผลิใบพลังร่างอวตารได้

อัศวินดำทั้งสองคนรีบถอยกลับไปในทันที

หอกราชันของเขาพุ่งกลับมาที่ด้วนมู่เฉิงอีกครั้ง มันพุ่งมาอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายฟ้าฟาดก่อนที่จะตัดโซ่ที่พันธนาการด้วนมู่เฉิงไป

แคล๊ง! แคล๊ง!

โซ่ที่พันธนาการตัวเขามานานแสนนานได้ถูกตัดออกมาแล้ว

ในตอนนี้ด้วนมู่เฉิงเริ่มดูเหมือนสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยอันตรายมากขึ้นทุกที มืออันใหญ่โตดุจดั่งคมเขี้ยวกำลังถือหอกราชันเอาไว้ในมือ “ลิ้มรสพลังของข้าซะ! “

การต่อสู้ของทั้งสามคนเริ่มขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้การต่อสู้เริ่มดุเดือดกว่าครั้งก่อนมาก

ลู่โจวไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าด้วนมู่เฉิงจะสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วตัวเขาก็ได้พยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ

ฝานซุยเหวินได้โบกมือของเขาอีกครั้ง การโบกมือของเขาเป็นการส่งสัญญาณนั่นเอง

“รับทราบ! ” อัศวินมือธนูลี่ฉิงได้ยกมือขึ้นสูงก่อนที่จะง้างธนูขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้พลังลมปราณของเขาได้เข้าปกคลุมธนูปรมาจารย์ที่เขามี

ลู่โจวลูบเคราของเขาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเย็นชา “ข้าคงดูถูกคนที่ลอบทำร้ายมากไปสินะ…” ลู่โจวยกมือขวาขึ้นมาก่อนที่จะเล็งไปทางด้านหน้า ในตอนนั้นชิ้นส่วนการ์ดขนาดเล็กก็ได้แหลกสลายไปกับสายลมในฝ่ามือ

พรึ๊บ!

พลังลมปราณได้ก่อตัวขึ้นก่อนที่จะถูกดูดซับรวมกันอยู่ตรงฝ่ามือของลู่โจว

ลู่โจวได้ปล่อยพลังในมือของเขาออกไปเบาๆ

เป้าหมาย: ลี่ฉิง

เมื่อเห็นแบบนั้นฝานซุยเหวินก็ตื่นตระหนกในทันที เขารีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “หลบเร็วเข้า! ” เขาไม่คิดมาก่อนว่าลู่โจวจะชิงอาศัยโอกาสนี้เคลื่อนไหวไปซะก่อน เขาคิดว่าลู่โจวคงจะเฝ้ามองการต่อสู้ต่อไปเท่านั้น

ในตอนนั้นเองพลังฝ่ามือของลู่โจวก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศ

“ฝ่ามือแห่งความยิ่งใหญ่ไร้ปรานี! “

พลังฝ่ามือแห่งความยิ่งใหญ่ไร้ปรานีได้ทำให้ทุกคนที่อยู่ฝั่งศาลาปีศาจลอยฟ้ารู้สึกปลอดภัย

ฝานซุยเหวินสามารถรับรู้ได้ถึงความอันตรายจากฝ่ามือนี้ ตัวเขาจึงรีบสั่งให้ลี่ฉิงหนีไป

ลี่ฉิงในตอนนี้ได้ยิ่งธนูออกไปก่อนที่จะได้ทำอะไร

แต่ถึงแบบนั้นพลังฝ่ามือแห่งความยิ่งใหญ่ไร้ปรานีก็รวดเร็วเกินไป

ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นรีบใช้พลังยุทธที่เขามีต้านพลังการโจมตีในครั้งนั้นเอาไว้อย่างสุดแรง

ตู้ม!

“เปล่าประโยชน์” ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ

ทุกคนที่จ้องมองต่างก็พูดไม่ออก พวกเขาได้แต่เฝ้ามองพลังฝ่ามือของลู่โจวที่กำลังพุ่งเข้าหาลี่ฉิง

เหตุการณ์ในตอนนี้คล้ายกับในตอนที่ลู่โจวได้ปะทะกับกงซุนมาก ตัวเขาได้ใช้พลังฝ่ามือสังหารนักบวชคนนั้นบนแท่นทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่แตกต่างออกไปมีเพียงพลังฝ่ามือ ในครั้งนั้นลู่โจวได้ใช้พลังฝ่ามือมหาวัชระสังหารกงซุนไป

พลังฝ่ามือแห่งความยิ่งใหญ่ไร้ปรานีนอกจากจะเป็นพลังฝ่ามือที่ใหญ่แล้วมันยังเป็นพลังที่รวดเร็วมากอีกด้วย