ตอนที่ 239 ปลุกเสกเบิกเนตรปรมาจารย์ลัทธิเต๋า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 239 ปลุกเสกเบิกเนตรปรมาจารย์ลัทธิเต๋า

หลังจากที่ปั้นเทวรูปธรรมดาแล้วจะต้องมีการทำพิธีปลุกเสกเบิกเนตร หรือก็คือการถวายความเคารพบูชา ผ่านการทำพิธีแจ้งต่อฟ้าดิน นำพลังวิญญาณที่ไร้ขอบเขตเข้าไปในองค์เทวรูป ทำให้องค์เทวรูปนั้นมีจิตวิญญาณ จึงจะถือว่าการอัญเชิญทวยเทพเข้ามาในอาราม เพื่อปกดินป้องน้ำ และคุ้มครองประชาชนสำเร็จลุล่วง

แต่หากเทวรูปไม่ได้ผ่านพิธีการปลุกเสกเบิกเนตรก็จะเป็นเพียงแค่รูปปั้นดินเหนียว เสมือนผลงานศิลปะ หากทิ้งตามอำเภอใจ ก็อาจถูกภูตผีปีศาจเข้ามาสิงอาศัย หากถูกคนโง่เก็บไปสักการะบูชา ก็ยิ่งจะกลายเป็นเทพแห่งความชั่วร้าย ตามหลอกหลอนชีวิตผู้คนทั้งหลาย

ดังนั้น การเปลี่ยนองค์เป็นสีทอง พิธีการจะเคร่งครัดและเป็นที่เลื่อมใส เทวรูปทองของปรมาจารย์ลัทธิเต๋านี้ มีเจ้าอาวาสเป็นผู้ทำพิธี และจะเชิญผู้ที่ศรัทธามาเข้าร่วมพิธีเพื่อแสดงเจตนาอย่างแท้จริง

เมื่อเวลาการปลุกเสกเบิกเนตรมาถึง ภายในวิหารหลัก พลันเงียบสงบลง

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนอยู่ในชุดพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปักลวดลายมงคลอันหลากหลากของลัทธิเต๋าด้วยด้ายเงินไหมทอง สวมหมวกพระธรรมอยู่บนศีรษะ นักพรตเต๋าด้านข้างล้วนแล้วแต่สวมชุดสีเหลืองทั้งสิ้น

ภายในวิหารก็กำลังวางเทวรูปทององค์ใหม่ขึ้นไป ใช้ผ้าแดงปิดเอาไว้ ใช้ด้ายแดงหนึ่งเส้นเชื่อมต่อกับเทวรูปที่อยู่ด้านข้างเข้าด้วยกัน ลากตรงไปจนถึงเสาธงด้านนอกประตูวิหารสองต้น เศียรกับเศียรพันต่อเข้าด้วยกัน รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

ตรงกลางระหว่างเสาธงและประตูวิหาร วางเก้าอี้ไว้หนึ่งตัว อู๋เหวยถือกระจกอีกด้านหนึ่งติดแน่นกับด้ายแดง ด้านที่เป็นกระจกหันไปทางประตูวิหาร และบริเวณประตูทางเข้าวิหารยังมีนักพรตอาวุโสชิงหมิงและอีกท่านหนึ่งเรียกว่าชิงซินยืนแยกกันอยู่ ในมือของพวกเขาแต่ละคนถือกระจกเอาไว้ ชิงซินรับหน้าที่รับเอาแสงที่ส่องผ่านกระจกจากด้านนอกประตูวิหารเข้ามา ส่วนชิงหมิงรับหน้าที่ควบคุมการหักเหของแสงเข้ามาส่องไปยังเทวรูปองค์ใหม่

และนี่ก็คือการปลุกเสกเบิกเนตร

เป็นการนำเอาช่วงเวลาฟ้าดิน และธรรมชาติของสามแสงแห่งเทพของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว เข้ามายังอาราม ให้เทวรูปได้รับพลังวิญญาณฟ้าดิน สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้กับราษฎร

ฉินหลิวซีสวมชุดพิธีการสีม่วง ปักด้วยด้ายทองไหมเงินเช่นกันเป็นรูปทิวทัศน์ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว พื้นดิน และเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมงดงาม ผมใช้หมวกพระธรรมกลัดเอาไว้ ใบหน้าเรียวเล็กเคร่งขรึม ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ข้างกายของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน

เวลานี้เมื่อยามเฉินมาถึง มีแสงส่องมา ผ่านกระจกส่องตรงไปบนเทวรูปองค์ทองที่ปิดด้วยผ้าสีแดงด้านในวิหาร แสงสีทองสว่างเป็นประกาย

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนปากท่องคาถาฟ้าดินบริสุทธิ์ ท่องไปพร้อมเดินย่ำอยู่บนแท่นพิธี ชี้ไปยังฉินหลิวซีเอ่ย “เชิญศิษย์ปู้ฉิว เจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิงเปิดวิญญาณให้ปรมาจารย์ลัทธิเต๋า”

เจ้าอาวาสน้อยหรือ

อวี้ฉังคงมองไปยังฉินหลิวซีที่รูปโฉมงามราวกับเทพเซียน ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย นัยน์ตาล้ำลึก

ผู้มีศรัทธาที่มาเข้าร่วมพิธีภายในวิหารต่างมองไปตามนิ้วที่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนชี้ไป เมื่อเห็นใบหน้าของฉินหลิวซีก็แอบถอนหายใจ เจ้าอาวาสน้อยท่านนี้ไยจึงได้ยังดูเด็กเช่นนี้เล่า เด็กกว่านักพรตเต๋าหลายคนที่อยู่ในอารามนี้มาก

ฉินหลิวซีกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งวิหารนอกเหนือจากปรมาจารย์ลัทธิเต๋า แต่กลับไม่กล้าวิ่งหนีออกไป ซ้ำยังรับผ้าสะอาดที่ชิงหย่วนที่ส่งมาให้อย่างว่าง่าย ปีนบันไดขึ้นไปเพื่อเช็ดฝุ่นให้เทวรูปทอง ใช้เข็มเจาะลงไปในองค์พระเจ็ดรูและทำอะไรเล็กน้อย เป็นการเปิดทวารดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ขณะที่นางกำลังเปิดออก แผ่นอาญาสิทธิ์ในมือของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนเคาะลงไป ปากก็ท่อง “ขอทวยเทพจงเปิดกระดูกข้อต่อสามพันหกร้อยข้อ รูขุมขนทั้งสี่หมื่นแปดพัน ทุกข้อเชื่อมต่อกัน ทุกจุดเชื่อมกัน หลังจากปลุกเสกเบิกเนตรแล้ว ขอทวยเทพประทานทุกสิ่ง จงส่องไปทั่วทุกสรรพสิ่งใต้หล้า”

ระหว่างที่เขากำลังเอ่ยอยู่นั้น ฉินหลิวซีก็ได้รับพู่กันที่ชิงหย่วนยื่นมาให้ เพียงแตะที่ตา หู จมูก เพื่อส่งพลังจิต จากนั้นถอดด้ายแดงและเปิดผ้าสีแดงออกก็ถือเป็นอันเสร็จพิธี

รัศมีส่องประกายบนเศียรพระกะพริบมายังครรภ์เทพ[1]

ทันใดนั้นเอง แสงสีทองพลันเปล่งประกายรุ่งโรจน์ เทวรูปปรมาจารย์ลัทธิเต๋าจากเดิมที่ดูธรรมดาก็เหมือนกับถูกสั่งให้มีพลังจิตขึ้นมาทันที เปลี่ยนไปดูเหมือนมีชีวิตชีวา รอยยิ้มก็เบิกกว้างขึ้นเช่นกัน

“ท่าน ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าแสดงอิทธิฤทธิ์แล้ว” หลังจากที่แสงสีทองส่องประกายขึ้น ก็มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็คุกเข่าลงไป

ผู้มีศรัทธาทั้งหลายต่างพากันคุกเข้าลง ปากก็เริ่มพึมพำ

ฉินหลิวซีนำผ้าสีแดงและเชือกพับเก็บเรียบร้อยวางซ้อนกันไว้อีกด้านของโต๊ะบูชา และมองดูปรมาจารย์ลัทธิเต๋าที่ฉีกยิ้ม กลั้นหัวเราะเอาไว้ พอได้ปลุกเสกเป็นร่างทองแล้ว ปากนี้ก็ฉีกยิ้มไปจนถึงหลังหูเชียวนะ ช่างดูไม่สมจริงเอาเสียเลย

ปรมาจารย์ลัทธิเต๋า วันนี้ข้ามีร่างทองแล้ว จะไม่โต้เถียงกับศิษย์เนรคุณ อดทนไว้

การปลุกเสกเบิกเนตรเสร็จสิ้นลง เสียงกลองเสียงระฆังก็ดังระงมราวกับว่ามีนางฟ้ามาเล่นดนตรีอยู่รอบๆ

ฉินหลิวซีเอามือไพล่หลังมองไป ผู้มีศรัทธาเต็มทั้งวิหารคุกเข่าไหว้ขึ้นที่สูง มือสองข้างยกขึ้นพนม ทั้งยืนเงียบสนิท ทั้งก้มหัว ปากก็ท่องสวดมนต์ สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมอย่างมีศรัทธา

ระหว่างที่ค้อมตัวเคารพ โลกมนุษย์ก็เหมือนจะโชคดีไปเสียทุกเรื่อง ทุกสิ่งที่ขอและรอคอยมันก็ดูจะสมหวัง

อวี้ฉังคงเองก็ก้มศีรษะอธิษฐาน เขาเพียงหวังว่าพ่อและแม่ของเขาได้ปลดปล่อยเสียที

ตอนนี้พิธีปลุกเสกเบิกเนตรก็ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ชิงหย่วนยิ้มพลางเอ่ย “ผู้แสวงบุญทุกท่าน ด้านนอกวิหารได้เตรียมชาสมุนไพรและโจ๊กสมุนไพรไว้ ทุกท่านสามารถไปดื่มก่อนสักถ้วย หลีกเลี่ยงโรคภัยด้วยการสัมผัสแสงศักดิ์สิทธ์ นอกจากนี้หากต้องการขอเครื่องรางหรือว่าเทวรูปองค์เล็กกลับไปบูชา ก็สามารถมาที่รับนักพรตตรงนี้ก่อนได้”

เขาชี้ไปที่เทวรูปองค์เล็กกับเครื่องรางด้านหน้าปรมาจารย์ลัทธิเต๋า ล้วนเป็นของที่ได้สัมผัสกับพลังวิญญาณ อาจจะมีผู้ศรัทธาขอกลับไปเพื่อสักการะบูชา

อวี๋ชิวไฉเป็นคนแรกที่วิ่งมาหาฉินหลิวซี ยิ้มพร้อมกับทำความเคารพด้วยความดีใจ

“นึกไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าอวี๋ก็มีเวลาว่างมาอาราม” ฉินหลิวซียิ้มและทำความเคารพกลับโนเวลพีดีเอฟ

อวี๋ชิวไฉเอ่ย ”ได้รู้ข่าวอารามของท่านจะมีการเปลี่ยนร่างทองทั้งที ภรรยาข้าก็กำชับว่าวันพิธีจะต้องมาร่วมให้ได้ ท่านเองก็รู้ว่าภรรยาของข้าตั้งครรภ์ อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะคลอดแล้ว ข้าอยากจะขอผ้าแดงอันนี้กลับไปแล้วก็เทวรูปองค์เล็กสักองค์ เพื่อคุ้มกันบ้านให้ปลอดภัย แม่กับลูกจะได้ปลอดภัย”

“ใต้เท้าอวี๋มีทวยเทพอยู่ในใจ ขอทวยเทพประทานทุกสิ่ง เชิญท่านเถิด” ฉินหลิวซียิ้มพร้อมกับเรียกชิงหย่วน ให้เขานำผ้าแดงที่พับแล้วมาให้กับอวี๋ชิวไฉ

อวี๋ชิวไฉก็รู้โดยทันทีว่าต้องทำอย่างไร ตั๋วเงินกว่าร้อยตำลึงหล่นลงไปในกล่องรับบริจาค รับเทวรูปมาอย่างระมัดระวัง

“ใต้เท้ากลับไป จะใช้ไม้กฤษณาเครื่องหอมหรือว่ากำยาน ก็สามารถทำได้” ฉินหลิวซีเอ่ยแนะนำ

“ได้ๆๆ”

อวี๋ชิวไฉเอ่ยขึ้นอีกครั้งเสียงเบา “สหายเก่าที่ข้าเคยเอ่ยถึงเมื่อครั้งก่อน อาจจะมาเชิญท่านอีกครั้ง ถึงตอนนั้น…พวกเขาก็อาจจะไม่มีวิธีแล้วจริงๆ แม่นางน้อยก็ไม่รู้เรื่องเท่าใดแล้ว”

ฉินหลิวซีเอ่ย “เห็นแก่ท่าน เมื่อถึงเวลาหากข้ามีเวลาว่างก็อาจจะไปสักครั้ง”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” อวี๋ชิวไฉหายใจอย่างโล่งอก เอ่ยได้ไม่กี่ประโยค ก่อนทำความเคารพนักพรตชื่อหย่วนในระยะไกลอีกครั้ง ก็ขอตัวลาจากไปแล้ว

เขายุ่งอยู่กับงานราชการ ที่มาร่วมพิธีที่อารามได้ก็เพราะว่าภรรยารบเร้าทั้งนั้น บวกกับตนเองก็ให้ความสำคัญ และยังมีตระกูลเฉินทางด้านนั้นฝากฝังมา ดังนั้นถึงได้มาด้วยตัวเองสักครั้ง พิธีวันนี้ก็ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แน่นอนว่าไม่อยู่ต่ออีกนานนัก

อวี๋ชิวไฉขอผ้าแดงไปแล้ว ด้ายแดงก็มีคนขอไปก่อนหน้านี้แล้ว สุดท้ายของที่เคยได้ทำการปลุกเสกก็มีพลังวิญญาณแล้ว ขอพกไปเป็นของปกป้องรักษาให้เดินทางปลอดภัยก็เหมาะ ชิงหย่วนจึงได้ตัดมาบางส่วน มาให้ผู้ศรัทธาผูกไว้ที่ข้อมือ หรือว่าผูกไว้บนผม

อวี้ฉังคงกลับขอกระจกอีกด้านไป

“ข้านึกว่าท่านจะขอเทวรูปปรมาจารย์ลัทธิเต๋าองค์เล็กไปเสียอีก” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย

อวี้ฉังคงเอ่ย “ในตระกูลเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก แต่ข้า ในใจยังมีเต๋าอยู่”

“ดียิ่งแล้ว” ฉินหลิวซีนำกระจกมามอบให้กับเขา และหยิบเอาด้ายแดงมาผูกบนข้อมือเขาเอ่ยขึ้นว่า “ท่านบริจาคร่างทองอันนำมาซึ่งบุญกุศล ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าจะอวยพรให้ท่านเดินทางโดยราบรื่น”

อวี้ฉังคงมองด้ายแดงบนข้อมือ ดวงตาคู่นั้นสว่างไสว “ท่านก็รู้หรือว่าข้าต้องไป”

ฉินหลิวซีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “การทำนายด้วยราศีบนใบหน้า ก็พอรู้ได้ ถึงดูราศีทั้งหมดของท่านไม่ได้ ในระยะอันใกล้ก็ยังพอเห็นได้ แนะนอนเห็นได้ว่าท่านกำลังจะเดินทางไกล”

“เช่นนั้นอาการป่วยของท่านปู่ข้า”

“วางใจ จะไม่มีผู้ใดพาตัวเขาไป”

อวี้ฉังคงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้ข้าจะต้องไป วันข้างหน้าตาคู่นี้ของข้าจะใช้อย่างไร ท่านบอกว่าจะสอนเคล็ดวิชาให้กับข้า”

“ได้…”

“เฮ้อ เจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิว ท่านก็ผูกด้ายอยู่เย็นเป็นสุขให้ซื่อจื่อเช่นข้าด้วยสิ” ทันใดก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาตรงหน้าฉินหลิวซี

[1] ครรภ์เทพหรือคัพภะ คือช่องที่เจาะด้านล่างหรือด้านหลังฐานองค์พระเพื่อนำบางอย่างใส่เข้าไป เมื่อใส่เข้าไปแล้วเชื่อว่าจะทำให้กลายเป็นมีชีวิตขึ้นมาได้