ตอนที่ 240 คนโง่เงินเยอะ ผู้ฉลาดแย่งชิงเขา

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 240 คนโง่เงินเยอะ ผู้ฉลาดแย่งชิงเขา

มู่ซีกระโดดมา ยื่นมือมาขวางตรงหน้าฉินหลิวซี

ความจริงในตอนที่ฉินหลิวซีและอวี้ฉังคงพูดคุยกัน นางก็พบว่าเขากระโดดโลดเต้นเข้ามาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ลอบคิดในใจว่ามู่ซื่อจื่อผู้นี้เกรงว่าคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ วิหารหลักโล่งแจ้ง ไหนเลยจะซ่อนผู้ใดได้ เขากลับมาแบบหลบๆ ซ่อนๆ

ฉินหลิวซีเบนศีรษะหลบมู่ซื่อจื่อ เอ่ย “ซื่อจื่อมาได้อย่างไร”

“อารามชิงผิงเป็นสถานที่จุดธูปกราบไหว้ทวยเทพ ไยซื่อจื่อข้าจะมาไม่ได้เล่า หรือว่าเจ้าอาวาสน้อยเลือกคนมีจิตศรัทธาหรืออย่างไร” มู่ซื่อจื่อยกมือขึ้น เอ่ย “เร็ว ผูกด้ายอยู่เย็นเป็นสุขให้ซื่อจื่อข้า”

อวี้ฉังคงเอ่ย “มิสู้กระหม่อมช่วยซื่อจื่อผูกดีหรือไม่”

มู่ซีดึงมือกลับ เอ่ย “เจ้าผูกอะไรกัน เจ้าเองก็เป็นผู้มีจิตศรัทธา มิใช่นักพรตในอาราม เจ้าผูกไม่ศักดิ์สิทธิ์”

เขาเอ่ยพร้อมให้ลูกน้องบริจาคตั๋วตำลึงเงินหนึ่งใบเพื่อเป็นค่าน้ำมันตะเกียง จากนั้นมองไปยังฉินหลิวซีอีกครั้ง เอ่ย “เงินค่าน้ำมันตะเกียง ซื่อจื่อข้าก็บริจาคแล้ว มีสิทธิ์ขอด้ายอยู่เย็นเป็นสุขแล้วหรือไม่”

ฉินหลิวซีหรี่ตา เหลือบมองจำนวนเงินค่าน้ำมันตะเกียง รอยยิ้มเบ่งบาน “ซื่อจื่อเอ่ยน่าขันแล้ว ผู้มีจิตศรัทธาทั่วไปที่เข้ามาในอาราม บริจาคหรือไม่บริจาคค่าน้ำมันตะเกียง ขอเพียงมีจิตศรัทธา แน่นอนสามารถขอความอยู่เย็นเป็นสุขได้”

นางถามหาด้ายแดงจากชิงหย่วนแล้วผูกเข้ากับข้อมือนวลขาวของเขา เอ่ย “คนมีเมตตา ท่านปรมาจารย์จะปกปักรักษาท่านอย่างแน่นอน”

มู่ซีไม่ได้ใส่ใจต่อประโยคนั้นนัก แต่พึงพอใจอย่างยิ่งที่ฉินหลิวซีเป็นคนผูกด้ายแดงให้กับเขา พลิกข้อมือไปมา สีแดงตัดกับสีขาว ก็ได้ สวยแปลกๆ ดี

เห็นว่าฉินหลิวซีและอวี้ฉังคงกำลังจะไป เขาร้อนใจเอ่ยว่า “เจ้าจะไปที่ใด”

ฉินหลิวซีหันกลับมา เอ่ย “ซื่อจื่อขอด้ายอยู่เย็นเป็นสุขแล้ว เดินชมด้วยตนเองก็ได้ ไยต้องสนใจว่าข้าจะไปที่ใด”

มู่ซีกระแอมไอ ไพล่มือไว้ด้านหลัง “วันนี้เป็นเทศกาลฉงหยาง ซื่อจื่อข้ายังอยากขอยันต์อยู่เย็นเป็นสุขเพื่อมอบให้แก่ท่านพ่อท่านแม่เพื่ออวยพรให้มีอายุยืนยาวอยู่เย็นเป็นสุข ยังอยากจุดตะเกียงนิรันดร์[1]จริงสิ ซื่อจื่อข้าอยากจุดธูปที่ใหญ่ที่สุด เติมน้ำมันตะเกียงใหญ่ๆ นี่นับว่าเป็นผู้มีจิตศรัทธาที่สำคัญที่สุดสำหรับอารามท่านแล้วหรือไม่”

ฉินหลิวซีกะพริบตา เอ่ย “ซื่อจื่อคิดว่าผู้มีจิตศรัทธาในอารามมีจำนวนมากจนรู้สึกวุ่นวายหรือ ต้องการให้เราปิดอารามเพื่อให้ท่านขอพรก่อนอย่างนั้นหรือ”

อะไรที่บอกว่าเทพเจ้าอยู่ตรงหน้าผู้คนเท่าเทียม วาจาเหล่านี้นางไม่มีทางเอ่ย เพราะอย่างไรอารามก็คืออาราม ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าต้องมีกฎเฉกเช่นโลกมนุษย์ทั่วไป

คนทั่วไปแบ่งแยกชั้นสามหกเก้า นางไม่สนใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ยอมรับ

ลำดับชั้นสูงต่ำนางเข้าใจแจ่มแจ้ง นักพรตในอารามที่ออกบวชเองก็เข้าใจ มิเช่นนั้นไยจึงมีกลุ่มคนชั้นสูงบางกลุ่มไปวัดไปอารามเพื่อจุดธูปไหว้พระไหว้เทพเจ้า ให้เจ้าอาวาสของวัดวาอารามช่วยปิดอารามให้ก่อน เพื่อไม่ให้ผู้ใดรบกวน ก็มิใช่เพราะปฏิบัติตามการแบ่งแยกชนชั้นในแบบของมนุษย์ทั่วไปหรอกหรือ

อารามชิงผิงก็ทำเช่นนี้ได้

จำเป็นต้องแจ้งมาล่วงหน้า

มู่ซื่อจื่อยู่ปากเอ่ย “จะไล่คนตอนนี้ก็คงวุ่นวาย ว่าไปแล้ว ซื่อจื่อข้ามาตั้งนานแล้ว หากต้องการให้อารามท่านไล่คนออกไปคงเอ่ยปากตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากเพียงนี้ เจ้าอาวาสน้อยไปจุดธูปกับข้าก็เพียงพอแล้ว”

ฉินหลิวซีอยากจะโกรธและไม่ไปด้วย

“หากท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋าอารามชิงผิงของพวกเจ้าศักดิ์สิทธิ์จริง อนาคตใช่ว่าซื่อจื่อข้าจะไม่สามารถบริจาครูปหล่อร่างทองได้หลายองค์บ้าง” มู่ซื่อจื่อเอ่ยด้วยท่าทางทะนงองอาจ

ขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่เหลืองทองอร่าม

เท้าของฉินหลิวซีไม่ได้เดินต่อ เอ่ยกับอวี้ฉังคง “ท่านไปหาอาจารย์ข้าก่อน ชายชราจะสอนท่าน เดี๋ยวข้าจะมาคุยกับท่าน”

เอ่ยจบ ดวงตาโค้งราวกับดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว ยิ้มตาหยีให้กับมู่ซี เอ่ย “ผู้มีเมตตาก็คือผู้มีเมตตา ท่านมีใจแก่เต๋า ไหนเลยข้าจะปฏิเสธผู้มีจิตศรัทธาได้ มาๆๆ จุดธูปเติมน้ำมันตะเกียงกันเถิด มาทางนี้ ชิงหมิง เอาธูปหอมที่ใหญ่ที่สุดมา”

มู่ซีหัวเราะภาคภูมิใจ ยังหันไปทำสีหน้าเยาะเย้ยท้าทายให้กับอวี้ฉังคงอีก

อวี้ฉังคงกลับหันหลัง ไม่สนใจ

มู่ซีโมโหขึ้นมา

มู่ซีจุดธูปตามที่ฉินหลิวซีแนะนำ จุดตะเกียงนิรันดร์ คุกเข่ากราบไหว้และอธิษฐาน ปากสวดมนต์พึมพำ ขอพรให้บิดามารดาสุขภาพร่างกายแข็งแรง

ฉินหลิวซียืนมองอยู่ด้านข้าง คนเสเพลอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ฟ้าไม่กลัวดินไม่กลัว ทำผิดพลาดปัดก้นก็หนีไปได้ ก่อเรื่องก็มีคนตามเช็ดตามล้างกลับมีมุมอ่อนโยนเช่นนี้

มู่ซีลุกขึ้น เอ่ย “เสร็จแล้ว จริงสิ ยันต์คุ้มกันภัยของอารามพวกเจ้า ข้าจะขอด้วย เจ้าเอาให้ข้าสักหลายสิบแผ่น”

“หลายสิบแผ่นเลยหรือ” ฉินหลิวซียิ้ม หัวเราะพลางเย้าแหย่ “ทำไมหรือ ซื่อจื่อคิดว่าไม่อยากเป็นซื่อจื่อแล้ว อยากเปิดอารามเป็นนักพรตหรือ”

มู่ซีแทบกระโดดขึ้นมา เอ่ย “ข้าโง่แล้วหรือ อย่างไรข้าก็ยังหนุ่ม มีเงินทองมากมายให้เสพสุข จะคิดไม่ตกจนไปเป็นนักพรตเลยหรือ”

“ในเมื่อมิใช่คิดไม่ตก เอายันต์ไปมากมาย บนตัวนั้นยังไม่พออีกหรือ” ฉินหลิวซีชี้ไปที่ยันต์คุ้มภัยที่อยู่บนตัวเขา

มู่ซีมองสิ่งที่แขวนอยู่บนร่างกาย เอ่ย “แน่นอนว่าจะเอาให้ท่านพ่อท่านแม่และครอบครัว หาได้ยากที่ซื่อจื่อข้าจะมาเมืองหลีสักครั้ง ถือว่าเป็นขวัญประจำท้องถิ่นให้คนน่ะสิ”

ฉินหลิวซี “?”

ยันต์คุ้มภัยอยู่เย็นเป็นสุขของอารามชิงผิงเป็นของดีเมืองหลีหรือ

“ยันต์อยู่เย็นเป็นสุขมิใช่สินค้าที่ท่านบอกอยากได้ก็มีของพร้อม ไหนเลยท่านบอกว่าต้องการเท่าใดแล้วจะได้ได้เท่านั้น”

มู่ซีหยิบตั๋วหนึ่งพันตำลึงเงินออกมาหนึ่งใบ ยื่นมาตรงหน้าฉินหลิวซี ยัดลงไปในกล่องค่าน้ำมันตะเกียง เอ่ย “ตอนนี้มีแล้วหรือไม่”

ฉินหลิวซี “…”

ช่างเป็นวันที่มีลมจริงๆ ข้าฉินหลิวซีก็มีวันที่โค้งให้กับค่าน้ำมันตะเกียง ขายหน้าเป็นบ้า

“ไม่มีหลายสิบใบ วันนี้ผู้มีจิตศรัทธามีมาก ไม่อาจให้ซื่อจื่อคนเดียวได้ไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีกระแอมไอ เอ่ย “เห็นแก่น้ำใจของซื่อจื่อ ข้าจะให้ท่านสิบแผ่น”

มู่ซียังไม่ทันทำอะไร องครักษ์ด้านหลังเขากลับมุมปากกระตุก คิดว่าซื่อจื่อโง่เขลามีเงินมาก คิดแย่งเงินเขาไปหรือ

หนึ่งพันตำลึงได้ยันต์เพียงสิบใบ

นักพรตปู้ฉิวผู้นี้กล้ายิ่งนัก

“ได้ แต่ต้องให้เจ้าเป็นคนวาด” มู่ซีเองก็ไม่ได้โง่จริง มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “ข้าเคยได้ยินว่าการแพทย์ของอาจารย์ปู้ฉิวเยี่ยมยอด เวทมนต์คาถาก็เป็นเลิศ ลึกซึ้งในเต๋า เขียนยันต์แน่นอนว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สุด ข้าต้องการที่เจ้าวาดเท่านั้น”

สืบไม่พอ เขายังให้คนไปสืบเรื่องของฮูหยินเจาสองแม่ลูก พบว่าหลังจากฉินหลิวซีทำลายมนต์ยืมชีวิตแม่นางเจาแล้ว บุตรสาวของพี่สาวแท้ๆ ของฮูหยินเจาก็ล้มป่วยทันใด แถมยังเหมือนคนใกล้ตายแล้ว ฮูหยินเจายังให้คนไปจัดการหนักๆ ตัดขาดความสัมพันธ์พี่น้องไม่ไปมาหาสู่อีก

เห็นได้ว่าคนที่ยืมชีวิตคือญาติผู้พี่คนนั้น เพียงแต่ถูกฉินหลิวซีทำลายมนต์นั้นแล้ว

นี่แสดงถึงสิ่งใด มิใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของฉินหลิวซีหรือ

เช่นนั้นยันต์ที่อีกฝ่ายวาดจะต้องศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน

ชิงหมิงเติมน้ำมันตะเกียงอยู่ด้านข้าง ได้ยินคำของมู่ซี คิดในใจว่ามู่ซื่อจื่อผู้นี้ช่างรู้จักของล้ำค่า รู้ถึงความสามารถของศิษย์พี่ปู้ฉิว

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้ำใจที่ซื่อจื่อมีต่อท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋า แน่นอนว่าข้าวาดให้ได้”

นางเอ่ยทั้งยังปรายตามองร่างทองของปรมาจารย์ลัทธิเต๋า ดูสิ ดิ้นรนหาคนจุดธูปเติมน้ำมันตะเกียงหาร่างทองให้ท่านแล้ว ข้ายังต้องมาทำเช่นนี้อีก

ธูปหอมขนาดใหญ่ตรงหน้าปรมาจารย์ลัทธิเผาไหม้รวดเร็ว รอยยิ้มยิ่งเบิกบาน ศิษย์เนรคุณก็ยังมียามที่ว่าง่าย ก้าวหน้าขึ้นมาสักหน่อยก็ดียิ่งแล้ว

[1] ตะเกียงนิรันดร์ ตะเกียงที่จะไม่สามารถเป่าให้ดับได้ จะดับก็ต่อเมื่อน้ำมันหมดลง