ตอนที่ 125 หาโครงกระดูก

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 125 หาโครงกระดูก
เจียงเชี่ยนกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งเข้ามา เวลานี้นางไม่อาจสนใจอิริยาบถความเป็นหญิงอันใดอีก นางส่งเสียงกรีดร้องเสร็จก็วิ่งหนีทันที

สุนัขตัวใหญ่กระโดดเข้ามากดลงที่กระโปรงเจียงเชี่ยน แล้วเสียง แคว่ก ก็ดังขึ้น กระโปรงพลางสั้นลงเกือบครึ่งหนึ่ง

นี่คือสิ่งใดกัน เอ้อร์หนิวสะบัดเศษกระโปรงออกไปอย่างรำคาญ

กระโปรงลายดอกทับทิมที่ขาดถูกเหวี่ยงเข้าใส่ใบหน้าของหญิงผู้ดีท่านหนึ่ง

ว้ายยย… หญิงผู้ดีท่านนั้นไม่มีสภาพจิตที่แข็งเหมือนเจียงเชี่ยน นางหมดสติทันทีที่สิ้นเสียงกรีดร้อง

เอ้อร์หนิวเป็นสุนัขเจ้าคิดเจ้าแค้น มันยังไล่ตามเจียงเชี่ยนไม่หยุด

เจียงเชี่ยนกรีดร้องไปวิ่งหนีไป การมีสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งตามมาด้านหลัง ทำให้สวนดอกไม้ที่บ่มเพาะมาเป็นอย่างดีถูกเหยียบเละไม่เป็นท่า

เหล่าหญิงสาวผู้ดีพากันวิ่งหนีเตลิดไปคนละทิศคนละทาง

“แย่แล้ว มีหมาบ้าทำร้ายคน…”

เวลานี้ ฉังซิงโหวซื่อจื่อกำลังอยู่กับเจินซื่อเฉิง

“ท่านพ่อบอกกับข้าว่าใต้เท้าต้องการพบข้า ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอันใดกับข้าหรือ”

เจินซื่อเฉิงมองฉังซิงโหวซื่อจื่อตั้งแต่ตัวจรดเท้าด้วยสายตานิ่งเรียบ

วันนี้ฉังซิงโหวซื่อจื่อสวมชุดสีเขียวอ่อนลายจางๆ ชุดใหม่เอี่ยมประดับด้วยกระดุมหยกลายค้างคาว ยิ่งทำให้ชุดและกระดุมต่างดูเด่นชัดมากขึ้น เขามีรูปร่างค่อนข้างผอม แม้มีสีหน้าซีดขาวที่ดูสุขภาพไม่ดี แต่ก็มีแววตาที่ดูสุขุมลุ่มลึก ซึ่งเป็นความนิ่งสงบที่ยากต่อการเผยออกมา

เขาเป็นคนวัยหนุ่มที่ยากจะคาดเดา เป็นคนพูดน้อยยามเมื่ออยู่ด้านนอก ทำให้เขาดูเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนมีมารยาทในสายตาของทุกคน

เจินซื่อเฉิงเคยเจอคนมาแล้วหลายประเภท และยากที่จะมีคนรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ แล้วเขาก็ได้ตัดสินคนเบื้องหน้าในทันที

คนหนุ่มนี่น่าจะให้ความสำคัญกับหน้าตาและบุคลิกเป็นอย่างมาก เสื้อผ้าสีเขียวอ่อนสีสันสดใสบนตัวมูลค่าถึงทองพันชั่ง ยามผู้สวมใส่เป็นชายหนุ่มก็อาจทำให้ดูหรูหราฟุ่มเฟือยมากเกินไป

หรือกล่าวได้อีกอย่างคือ… เจินซื่อเฉิงมองไปทางสวนดอกไม้พร้อมพูดเสริมอยู่ภายในใจ หรือกล่าวได้อีกอย่าง ภายใต้เหตุการณ์ที่ฉังซิงโหวซื่อจื่อใช้การทำร้ายและการดูถูกหญิงสาวเป็นการหาความสุข งานเลี้ยงชื่นชมดอกไม้ในครั้งนั้นมีเป้าหมายของเขา เขาถึงได้เตรียมตัวมากเป็นพิเศษ

เจินซื่อเฉิงแทบจะเชื่อการคาดเดาของตัวเองตามความรู้สึก

สิ่งที่เขาต้องการในเวลานี้คือชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเผยพิรุธออกมา

“ข้าอยากคุยกับซื่อจื่อเรื่องคดีฆาตรกรรมน่ะ” เจินซื่อเฉิงตอบกลับโดยตั้งใจทำให้เข้าใจผิด

ณ วินาทีนั้น เห็นได้ชัดว่าสายตาของฉังซิงโหวซื่อจื่อถึงกับหดตัวลง สองมือข้างลำตัวจับชายเสื้ออย่างเต็มแรงอย่างไม่รู้ตัว แล้วคลายมือออกอย่างรวดเร็ว

เนื้อผ้าสีเขียวอ่อนไม่เหลือรอยยับให้เห็นแม้แต่นิดเดียว

“ใต้เท้าหมายความอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ” ฉังซิงโหวซื่อจื่อตอบกลับอย่างนิ่งเรียบ

ฉังซิงโหวอดที่จะพูดแทรกไม่ได้ “ก็คดี ‘หยางกั๋วจิ้ว’ เสียชีวิตกะทันหันไงเล่า ได้ยินว่าใต้เท้าเจินเคยพบ ‘หยางกั๋วจิ้ว’ …”

ฉังซิงโหวได้สติทันทีที่คุยกันถึงตรงนี้ พลางยิ้มเนือยๆ ให้กับเจินซื่อเฉิง “ได้โปรดใต้เท้าเจินอย่าได้ถือโทษที่ข้าเผลอเรียกผิดไปเลยนะ…”

‘หยางกั๋วจิ้ว’ เป็นคำเรียกพื้นบ้าน เมื่อตอนพี่ชายของหยางเฟยมีชีวิต คำเรียกนี้เต็มไปด้วยความเคารพและความเกรงกลัว แต่พอสิ้นชีวิตไปกลับกลายมาเป็นการเรียกเพื่อหยอกล้อเล่นจนชินปาก ความเป็นจริง ไม่ว่าพระสนมองค์ใดที่ฮ่องเต้ทรงโปรดมากเป็นพิเศษ จะได้รับความสนใจมากแค่ไหน พี่ชายของนางก็ไม่สามารถถูกเรียกขานว่ากั๋วจิ้วได้

เจินซื่อเฉิงหัวเราะ “ข้าเข้าใจ”

สายตาของเขาตกอยู่ที่ฉังซิงโหวซื่อจื่อตลอดเวลา

ร่างกายที่เกร็งของฉังซิงโหวซื่อจื่อผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินฉังซิวโหวเอ่ยกล่าว พลางกล่าวต่อด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “ข้าไม่เคยพบเขานี่”

เจินซื่อเฉิงเม้มปาก

แม้ว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อจะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ท่าทางของเขาที่ดูผ่อนคลาย ก็ดูเป็นความผ่อนคลายที่มากเกินไป

ซึ่งท่าทางเช่นนี้ มักเป็นการแสดงออกที่เผยออกมาหลังจากหลุดพ้นเรื่องราวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

การที่เขาเอ่ยถึงคดีฆาตรกรรม ฉังซิงโหวซื่อจื่อกำลังหนีสิ่งใดอยู่ แล้วพอได้ยินคดี ‘หยางกั๋วจิ้ว’ เสียชีวิตกะทันหัน เหตุใดถึงได้ทำตัวผ่อนคลายลง

เจินซื่อเฉิงเริ่มเดาออกบ้างแล้ว

และในเวลานี้ เสียงกรีดร้องด้านหลังก็ดังขึ้น

คนสามคนอยู่ด้านนอกกันตั้งแต่แรก แต่เสียงที่ดังขึ้นกลับเสียงดังฟังชัดมาก

“นี่มัน…” เจินซื่อเฉิงพบว่าเสียงกรีดร้องนั้นดังมาจากฝั่งสวนดอกไม้ พลันรู้สึกทั้งประหลาดใจและดีใจ

สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ หรือว่าหญิงสาวเหล่านั้นพบเจอสิ่งอันตราย สิ่งที่ทำให้ดีใจคือ ถ้าเช่นนั้นก็สามารถเดินไปดูได้อย่าผ่าเผยน่ะสิ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ฉังซิงโหวเอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่เดินผ่านด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมและไร้สีหน้า

บ่าวรับใช้ตอบกลับอย่างรีบร้อน “แย่แล้วขอรับท่านโหว มีหมาบ้าตัวหนึ่งหลุดเข้ามาที่สวนดอกไม้ กำลังวิ่งไล่บรรดาหญิงสาวขอรับ!”

“อะไรนะ!” สีหน้าของฉังซิงโหวเปลี่ยนไปทันใด พลางยกขาย่ำเท้าเดินไปทางสวนดอกไม้ทันที

เหล่าหญิงสาวเป็นบุตรสาวตระกูลชั้นสูงที่ตนมีความสัมพันธ์อันดี หากเกิดสิ่งใดขึ้น คงยากจะที่รายงาน

สีหน้าของฉังซิงโหวซื่อจื่อนั้นแย่กว่าฉังซิงโหว แล้วเขาก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว

เจินซื่อเฉิงลูบคลำนวดเคราไปมา พลางเอ่ยเงียบๆ ว่าฟ้าสวรรค์มาช่วยข้าสินะ พลางกวักมือเรียกบ่าวรับใช้ที่เดินตามด้านหลังอยู่ไกลๆ “รีบตามเข้าไปช่วยสิ!”

ทางสวนดอกไม้กำลังวิ่งวุ่น

เจียงเชี่ยนเองก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว แต่สุนัขตัวใหญ่กลับไล่นางไม่หยุดราวกับแมวไล่จับหนู

เมื่อมองเห็นสุนัขตัวใหญ่กำลังจะไล่ทัน เจียงเชี่ยนเองก็ใกล้จะหมดสติแล้วเช่นกัน

เหตุใดสัตว์เดรัจฉานนี่ถึงวิ่งตามแต่นางเล่า หรือไม่ก็กัดนางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็ยังดี แต่มันกลับวิ่งไล่ไม่หยุดจนสร้างความน่าอับอายให้นางจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

เอ้อร์หนิวทำหน้าเครียด

มันไม่ง่ายเลยสักนิด ทั้งต้องฟังคำสั่งนายหญิงว่าต้องทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังต้องทนฟังเสียงกรีดร้องดั่งปีศาจของสตรีเหล่านี้ แล้วยังต้องรับมือกับพวกที่ถือไม้กระบองไล่ตามมาอีก

ในความโกลาหล เจียงซื่อยิ้มกว้างซ่อนตัวอยู่ในพุ่มดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล

นางคิดไม่ถึงว่าเอ้อร์หนิวจะวิ่งเข้าไปในจวนโหว

แต่การมีเอ้อร์หนิวอยู่ตรงนั้น หากจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนดึงดูดให้ใต้เท้าเจินมาสนใจได้ก็คงง่ายขึ้นเหมือนกัน

เวลานี้คงมีความเคลื่อนไหวบ้างแล้วกระมัง

เจียงซื่อมองไปทางหนึ่ง พบว่าฉังซิงโหวสองพ่อลูกกำลังย่ำเท้ามาด้วยความเร็ว แล้วคนที่เดินตามหลังไม่กี่ก้าว ก็คือ ‘ผู้บัญชาการทหารประจำอำเภอ’ ที่เพิ่งลาจากกันไปเมื่อครู่อย่างไม่ต้องสงสัย

“เอ้อร์หนิว…” เจียงซื่อเรียกชื่ออย่างแผ่วเบา

ในความโกลาหล เสียงเรียกอันแผ่วเบาของนาง นอกจากเจียงเชี่ยวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้ว ไม่มีใครได้ยินอีก แต่เอ้อร์หนิวกลับหันหัวกลับมาอย่างทันทีทันใด

ก็เพราะประสาทรับรู้ของสุนัข เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเทียบได้

เจียงซื่อชูมือออกไปอย่างลับๆ

อุ้งเท้าหน้าเอ้อร์หนิวหยุดลง พลันเปลี่ยนทิศทางในทันใด

สภาพจิตใจของเจียงเชี่ยนเพิ่งสงบลง รอยยิ้มแห่งความโชคดีที่เพิ่งเผยออกมา พลันเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว

ทางที่สุนัขตัวใหญ่วิ่งไปคือพุ่มดอกโบตั๋นเดิม

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘ปุ๋ย’ ดีเกินไปหรือไม่ ที่ทำให้ดอกโบตั๋นตรงนี้บานสะพรั่งอย่างน่าประหลาด ถึงช่วงนี้แล้วก็ยังเบ่งบานไม่ร่วงโรย

หญิงชั้นสูงในเมืองหลวง หรือแม้แต่ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนหนังสือมาไม่กี่วัน ต่างก็มีรสนิยมที่เหมือนกัน หากคนตระกูลชั้นสูงหรือคนที่มีความสัมพันธ์ดีต่อกันเสียหน่อย มีการเชิญชวนไปชมดอกไม้ด้วยกัน ก็ยากที่จะปฏิเสธลงได้

แปลงดอกโบตั๋นที่มีศพฝังอยู่ตรงนี้ ถูกผู้คนเชยชมมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า สองสามีภรรยาคงรู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่

ปัจจุบันแปลงดอกโบตั๋นเล็กๆ ที่มีศพฝังอยู่นั่น ถูกเปลี่ยนไปอีกที่หนึ่งโดยไม่มีใครรู้ หลังจากงานเลี้ยงเชยชมดอกไม้ครั้งนี้จบลง ดอกไม้ก็คงได้เวาลาเหี่ยวแห้ง ถึงเวลานั้น ทำความสะอาดทั้งหมดให้เรียบร้อย ก็คงจะสบายใจขึ้น

แต่ตอนนี้เจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่นกำลังวิ่งไปทางแปลงดอกโบตั๋น มันจะไม่ให้เจียงเชี่ยนตกใจหน้าเสียได้อย่างไร

คนที่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ยังมีฉังซิงโหวซื่อจื่ออีกคนหนึ่ง

“เอาไม้ไปตีเจ้าสุนัขตัวนั้นให้ตายเสีย!” ฉังซิงโหวซื่อจื่อตะโกนอย่างเสียงดัง

เอ้อร์หนิวเหลือบมองฉังซิงโหวซื่อจื่อหนึ่งที พลันหยุดลง อุ้งเท้าหน้าสองข้างตะกุยอย่างบ้าคลั่ง

ช่วงเวลาเพียงครู่เดียว ดิน ฝุ่นก็ฟุ้งกระจาย แม้กระทั่งเหล่าหญิงสาวผู้ดีที่วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงยังชะเง้อหน้ามามองดู

เจ้าสุนัขตัวใหญ่นั่น กำลังตะกุยหากระดูกอยู่รึไง