บทที่ 143 การแข่งขันภายใน (ปลาย)
บทที่ 143 การแข่งขันภายใน (ปลาย)
ลู่หยวนหยิบประกาศิตลับออกมา ทำให้ก้าวข้ามค่ายกลได้ทันที ก่อนเข้าสู่ยอดเขาหอก
มันไม่ใช่ว่ากลิ่นอายที่อยู่เหนือยอดเขาอุดมสมบูรณ์ มันไม่แตกต่างจากยอดเขาสำนักเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอก เมื่อมองรอบข้าง ไม่มีศิษย์หรือสัตว์เทพเดินไปมา ดูโดดเดี่ยวยิ่งนัก
บุตรศักดิ์สิทธิ์กลับชอบสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ถึงแม้จะดูเศร้าหมองบ้าง แต่มันดีตรงที่ไม่มีใครมารบกวน
สำนักที่อยู่ไกลออกไปซ่อนอยู่ท่ามกลางขุนเขาพงไพร หนึ่งในนั้นมีตำหนักที่ดูโดดเด่น มันตั้งตระหง่านอยู่จุดสูงสุด น่าจะเป็นสถานที่ที่หลิงอวิ๋นอาศัยอยู่
ทันทีที่ลู่หยวนเดินเข้ามา เขาจะพบโถงกลางที่ว่างเปล่ากับค่ายกลหนาแน่น ห้อมล้อมไปด้วยห้องหับบนชั้นสองมากมาย ที่ล้วนมีค่ายกลจำนวนมากคอยปกป้องเช่นกัน น่าจะเป็นสถานที่เก็บคัมภีร์โบราณกับวัตถุดิบที่บรรพชนหอกครอบครอง!
จากนั้นชายหนุ่มก็ตรงขึ้นไปยังห้องหนึ่ง เขาอยากรู้ว่าในบรรดาวัตถุดิบที่หลิงอวิ๋นครอบครอง มีอะไรบ้างที่ตนสามารถใช้ได้
เมื่อก้าวเข้าสู่บริเวณเลียบระเบียงชั้นสอง เขาพบว่า นอกห้องโถงหลักเองก็มีค่ายกลห้อมล้อมเช่นกัน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลู่หยวนรู้สึกได้ว่า ค่ายกลนี้มันช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
เขาตั้งใจมอง พบว่าแสงสว่างสีน้ำเงินพลันปรากฏขึ้นรอบค่ายกล มันช่างคล้ายกับค่ายกลที่ห้อมล้อมยอดเขาหอกไว้!
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น
ลู่หยวนชำเลืองมองประกาศิตลับในมือ
งั้นที่นี่ เขาก็สามารถเข้าไปได้เหมือนกันงั้นหรือ?
ชายหนุ่มเงียบสักพัก จากนั้นก้าวเข้าสู่ห้องโถงหลักด้วยความฉงนใจ
วิ้ง!
แสงสว่างสีน้ำเงินวูบไหว แต่ทันใดนั้นก็หายไปเมื่อสัมผัสได้ถึงประกาศิตลับในมือของลู่หยวน
ชายหนุ่มกำลังจะยกมือเคาะ แต่ประตูห้องโถงที่ปิดอยู่พลันเปิดออกเสียก่อน
โฉมหน้าองอาจปรากฏขึ้นตรงหน้าลู่หยวน เป็นหลิงอวิ๋นนั่นเอง
เมื่อครู่บรรพชนหอกกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจเรื่องภายนอก ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มอยู่ที่ด้านนอกห้องโถงหลักแล้ว
เมื่อเปิดประตูออก นางก็พบศิษย์คนใหม่อยู่เบื้องหน้า ชวนให้ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง
ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่ทราบได้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร ลู่หยวนจึงเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน “แค่ก ๆ ช่างบังเอิญเสียจริง”
ตอนนี้หลิงอวิ๋นตอบสนองเช่นกัน
บังเอิญหรือ?
นี่มันห้องนางนะ!
“ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”
น้ำเสียงของหลิงอวิ๋นถูกกดให้ต่ำลงมาก “นี่มันห้องของข้า ข้าติดตั้งค่ายกลเอาไว้แล้ว ทำไมเจ้าถึงยังเข้ามาได้อีก?”
มีความประหลาดใจในน้ำเสียงเย็นชา ราวกับนางสงสัยว่าลู่หยวนมีความตั้งใจไม่บริสุทธิ์หรือไม่
บุตรศักดิ์สิทธิ์กะพริบตา แสดงประกาศิตลับในมือให้ดู
เมื่อสายตาของบรรพชนหอกจับจ้องประกาศิตลับ นางถึงกับตกตะลึง
ทันใดนั้นอาจารย์ก็เข้าใจ ที่แท้ประกาศิตลับสามารถพาเข้าห้องของนางได้ด้วย!
ใบหน้าของหลิงอวิ๋นแดงก่ำ ประกาศิตลับนี้นางเป็นคนมอบให้เอง
“แค่ก ๆๆ เจ้าต้องการอะไรจากข้า?”
น้ำเสียงของหลิงอวิ๋นอ่อนลง
“ไม่มีอะไร ข้าแค่มาที่นี่เพราะอยากดูว่าอาจารย์สำนักอยู่ที่นี่หรือไม่ พอดีอยากถามอะไรหน่อย”
สีหน้าของผู้ฟังเปลี่ยนไป “เรื่องอะไรหรือ”
“ข้าได้ยินมาว่า อีกสักพักจะมีการแข่งขันภายในใช่หรือไม่?”
หลิงอวิ๋นขมวดคิ้ว “เจ้าอยากเข้าร่วมหรือ?!”
การแข่งขันภายในนี้คือการแข่งขันระหว่างศิษย์ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์จากทั่วทั้งยอดเขา รวมถึงจากอาจารย์สำนักต่าง ๆ สามารถเข้าร่วมได้
ไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดขั้นการบ่มเพาะ
ผู้ที่สามารถได้อันดับหนึ่งจากการแข่งขันภายใน จะได้รับผลประโยชน์มากมาย
ยกตัวอย่างเช่นสามารถเข้าศาลาที่มีคัมภีร์หรือคัมภีร์โบราณจำนวนมากที่สุดได้
เมื่อลู่หยวนจินตนาการถึงจุดนี้ เขาก็เริ่มอยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามีบันทึกเกี่ยวกับสายเลือดมารบ้างหรือไม่!
หลิงอวิ๋นเงียบงัน
การแข่งขันภายในนี้มีมานับตั้งแต่สำนักถูกก่อตั้ง ถึงแม้จะกล่าวว่าทุกภาคส่วนสามารถเข้าร่วมได้ ไม่คำนึงถึงลำดับการเข้า ขอเพียงเป็นศิษย์ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเข้าแข่งขันได้หนึ่งถึงสองครั้ง
ทว่า เพราะกฎข้อนี้ ทางสำนักจะมีความผิดหากไม่ให้ศิษย์ใหม่เข้าร่วม!
ถึงอย่างไร นับตั้งแต่วันที่กฎถูกก่อตั้งขึ้น ก็มีศิษย์ใหม่อาศัยพรสวรรค์อันน่าทึ่งของตัวเอง เริ่มหมดความท้าทาย เบื่อหน่าย จึงเข้าร่วมการแข่งขันภายใน
ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ที่มีภูมิหลังสามารถเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกได้อย่างแน่นอน ทว่าไม่สามารถผ่านไปถึงห้าสิบอันดับแรก
หลายคนรับไม่ได้กับผลลัพธ์นี้ หัวใจจึงกลายเป็นมาร คนจำนวนหนึ่งถึงขั้นตกต่ำไปครึ่งค่อนชีวิต
ถึงแม้กฎนี้จะไม่ถูกยกเลิกในเวลาต่อมา แต่อาจารย์สำนักจำนวนมากก็เห็นด้วยกับการจำกัดคุณสมบัติของศิษย์ใหม่ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันภายใน
หลิงอวิ๋นขมวดคิ้ว ปฏิเสธทันทีว่า “ไม่ได้! ศิษย์ใหม่ห้ามเข้าร่วม! หากเจ้าอยากเข้าร่วมจริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องศึกษาในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์หนึ่งปีเต็มก่อน!”
ขอเพียงอยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์หนึ่งปีเต็ม ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ควรต้องรู้ไว้ว่า มีอัจฉริยะนับสิบล้านคนอยู่ทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหง เทียบกันแล้วนับว่ามีจำนวนไร้ขีดจำกัด!
เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาจะสามารถปล่อยวางนิสัยอวดดี เพื่อเริ่มฝึกฝนอย่างจริงจังได้!
ลู่หยวนกล่าวอย่างหนักแน่นยิ่งว่า “ข้าไม่ได้จะหารือกับท่าน แค่จะแจ้งให้ทราบเท่านั้น ตอนนี้ข้าครอบครองประกาศิตรุ่งอรุณแล้ว ย่อมสามารถลงชื่อผ่านอาจารย์สำนักโดยตรงได้”
หลิงอวิ๋นสูดหายใจเข้า เปลวเพลิงที่มอดดับไปเมื่อครู่ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง นางจ้องชายหนุ่มอย่างเย็นชา “ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะมาบอกข้าทำไม”
บุตรศักดิ์สิทธิ์คลี่ยิ้มออกมา “ข้าหวังว่า ในระหว่างจัดการแข่งขันภายใน อาจารย์จะสามารถสละเวลามาดูได้ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นศิษย์ของท่านที่อยากคว้าอันดับหนึ่งมาครอง”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็เดินเอามือไพล่หลังไปทางโถงย่อยข้าง ๆ
หลิงอวิ๋นมองท่าทีมั่นใจของบุตรศักดิ์สิทธิ์พลางหายใจหอบ หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ นางยกมือกุมหน้าผาก ในใจรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้พลัง
ถึงแม้นางจะบอกความจริงไป แต่ชายหนุ่มกลับไม่เก็บมาคิดใส่ใจ ชายคนนี้คือผู้เอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง คนอย่างเขา ต้องให้ได้รับบทเรียนผ่านการกระทำของตัวเองเท่านั้น!
แต่เมื่อคิดว่าลู่หยวนอาจจะตกต่ำไปชั่วชีวิตเพราะความล้มเหลวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นางก็รู้สึกไม่สบายใจ
คนมีพรสวรรค์อย่างศิษย์ตัวแสบผู้นี้นับว่ามีน้อยยิ่งนัก เมื่อเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ควรถูกอาจารย์สำนักที่แข็งแกร่งกว่าเหล่านั้นชี้นำ เขาจะกลายเป็นศิษย์เอกของเหล่าบรรพชนที่ทรงพลัง จนได้รับการสอนสั่งทุกสิ่ง
แต่ชายหนุ่มยืนกรานที่จะเข้าร่วมกับนาง หากผู้เปี่ยมพรสวรรค์เช่นนั้นตกมาอยู่ในมือแล้ว บรรพชนหอกย่อมรู้สึกเห็นใจเช่นกัน
หลิงอวิ๋นส่ายหน้า ในใจพลันตัดสินใจได้ นางลุกขึ้นก่อนมุ่งหน้าสู่ยอดเขา
หลังจากหลิงอวิ๋นไปแล้ว บุตรแห่งโชคชะตาผู้ใช้หอกที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโถงไม่ไกลกันนักก็ลืมตาขึ้น
“ลู่หยวนเข้าร่วมการแข่งขันภายใน ช่างรนหาที่ตายนัก!”
สายตาของหยางอวิ๋นฉายแววเด็ดเดี่ยว จากนั้นจึงหลับตาลง เพื่อเริ่มฝึกฝนต่อไป
บุตรศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ในโถงย่อยเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน เพื่อค้นหาคัมภีร์โบราณเกือบทั้งหมดบนยอดเขาหอก
มีบันทึกมากมายอยู่ในนั้น แต่น้อยนักที่จะกล่าวถึงสายเลือดมาร
สิ่งที่ควรค่าให้ลู่หยวนสังเกตคือ มีตำราภาพที่คล้ายกับเรื่องเล่าตำนานอธิบายถึงช่วงเวลาตอนราชันมารมาเยือนโลก และมีเทพธิดาตนหนึ่งเคลื่อนผ่านท้องนภาเพื่อช่วยโลก
ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว แต่ภาพดังกล่าวยังดูเหมือนจริง เมื่อชายหนุ่มเห็นครั้งแรก เขาพลันนึกถึงความฝันที่ตนเองประสบตอนดูดกลืนโลหิตมาร
ฉากในความฝันคล้ายกับภาพจิตรกรรมนี้นัก บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงพินิจไปที่ภาพวาดนี้ ในใจคิดไว้ว่าต้องหาเวลาถามหลิงอวิ๋นเกี่ยวกับจุดกำเนิดของมัน
แต่เมื่อออกจากโถงย่อย เขาก็ได้ข่าวว่าอาจารย์คล้ายกับมีเรื่องในตระกูลต้องไปจัดการ จึงกลับไปยังบ้านที่แดนมัชฌิมนานแล้ว ไม่ทราบได้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่
ลู่หยวนทำได้เพียงพับเรื่องนี้เก็บไว้ชั่วคราว และรอคอยบรรพชนหอกกลับมา