ตอนที่ 100 ศึกหมัดเท้า
หญิงทางซ้ายหนิงอี้พลันตบกระเป๋าเอว แสงเจ็ดสีส่องแสง ถูกนางคว้าไว้ ก่อนจะพุ่งรวมกันเข้ามา
เส้นทางภูเขาแคบ สองข้างซ้ายขวาแทบจะไม่มีพื้นที่เท่าไรเลย
หนิงอี้หงายไปข้างหลังโดยไม่มีสัญญาณใดๆ เงาพุ่งผ่านอากาศเต็มฟ้า ตอกกับผนังหินภูเขาสูงชันด้านข้าง ควันเทาลอยโชยขึ้นมา นี่เป็นหัวศรที่ผ่านการหลอมด้วยวิธีเก่าแก่ของแดนทักษิณ ปลายหัวศรผูกเส้นใยแมงมุมที่มีความทนทานสูงยิ่ง หญิงทางขวาหนิงอี้กระชากฝ่ามือด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก หัวศรถูกแสงดาราเหนี่ยวนำ เส้นใยที่เดิมทีอ่อนนุ่มมากก็ตัดผ่านเหมือนปราณกระบี่ แนบหน้ากากตรงแก้มหนิงอี้ พุ่งไปพร้อมกัน
หนิงอี้ยิ้ม เงยหน้ามองเส้นเงินขยับแสงพวกนั้น ไม่ได้ใช้ ‘ใต้ฟ้าต้าสุยปราณกระบี่ท่องหล้า’ นั้นข้างหลัง ไม่ใช้ผ้าดำพินิจเหมันต์ที่ห้อยไว้ตรงเอว แค่ยื่นนิ้วมือ งอเล็กน้อย วางไว้เหนือเส้นใยก่อนจะดีดนิ้วลงไป
นางหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างชัดเจน
ฝ่ามือนางมีแรงมหาศาลส่งผ่านมา กระเทือนนางลอยไปข้างหน้า เสียงหนิงอี้ดังถึงหูนาง
“จะปล่อยหรือไม่”
หัวศรผูกเชือกทะลวงหินแตกไปตลอดทาง เมื่อม้าดำของหนิงอี้วิ่งไปข้างหน้า ม้าตกใจ ความเร็วจึงเพิ่มขึ้น สีหน้านางมีความเหี้ยมโหดเสี้ยวหนึ่ง กัดฟันยืนหยัดไม่ยอมปล่อยมือ เตรียมจะกดฝ่ามือลงก็เปลี่ยนเป็นฟัน
พริบตาต่อมา หนิงอี้ยื่นมาห้านิ้วมือ คว้าเส้นใยของหัวศรอาบพิษ จับไว้แน่น ดึงเส้นยาวที่ตึงขาด หญิงทางซ้ายร้องตกใจ เสียสมดุล ถูกหนิงอี้ลากมาข้างหน้าตน
คนหนุ่มที่สวมหน้ากากหัวใจราชสีห์แค่นยิ้ม มือข้างหนึ่งจับคอเสื้อนาง ม้าวิ่งไปอย่างเร็ว สองคนดูเหมือนแนบชิดกันอย่าง ‘คลุมเครือ’ กอดกันแยกจากกันไม่ได้
หญิงแดนทักษิณมีใบหน้าเย็นยะเยือก ยกมือขึ้นข้างหนึ่งตบลง
หนิงอี้ใช้อีกมือที่ว่างกดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ลากพลังแสงดาราที่ไม่แกร่งและไม่อ่อนแอโจมตีใส่ตรงหน้าอกนาง ทวารหลายจุด ออกแรงไม่มาก แต่โจมตีจุดสำคัญยิ่งจนนางแทบกระอักเลือด อยากจะใช้แสงดาราแต่ก็ไม่มีประโยชน์ มือนั้นที่ตอนแรกน่าจะตบบ่าหนิงอี้ ตอนนี้อ่อนยวบ ตกลงข้างหลังช้าๆ ดูเหมือนการกอดอย่างหนึ่งมากกว่า
“เจ้า…คิดจะทำอะไร”
หญิงแดนทักษิณพูดเสียงอ่อนแรง
หยกนุ่มในมืออยู่ในอ้อมกอด หนิงอี้ไม่มีท่าทีสงสารเลยแม้แต่น้อย ฝ่ามือเขากดอยู่บนหน้ากากสีดำของนาง เอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าไม่คิดจะทำอะไร…ข้าแค่อยากให้ทุกคนได้เห็นใบหน้าแท้จริงของเจ้าหน่อย”
หญิงแดนทักษิณพลันเอ่ยเสียงสูง พูดด้วยความลนลาน “เจ้ากล้ารึ”
หนิงอี้ยิ้มเยาะ “คนแดนทักษิณเหมือนจะชอบพูดคำนี้กันจังเลยนะ…ข้าอยากถาม ไฉนจะไม่กล้า มีอะไรให้กลัวกัน”
หนิงอี้ไม่ได้ใช้มือที่กดบนแก้มนางเปิดหน้ากากออก แต่ออกแรงที่ฝ่ามือ กระเทือนทั้งหน้ากากแตกกระจาย หญิงแดนทักษิณที่ศีรษะถูกกระเทือนอย่างรุนแรงหมดสติไปทันที
หนิงอี้ใช้นิ้วมือเกลี่ยเศษหน้ากาก หลังทำความสะอาดหมดแล้วก็เพ่งพินิจใบหน้านาง หากโลกนี้มีการวัดระดับความงามเก้าส่วนสิบส่วน หญิงคนนี้ อย่างไรก็ต้องมีเจ็ดส่วน ต่อให้หมดสติ ความน่าสงสารนั้นก็ยังทำให้คนใจสั่นไหว หากมองนานเข้า คนธรรมดาจะต้องจิตใจฟุ้งซ่าน เกิดความคิดชั่วร้ายแน่นอน
น่าเสียดายหนิงอี้ไม่ติดกับดักนี้ จิตมรรคของเขามั่นคงอย่างยิ่ง ชื่นชมอยู่ชั่วครู่ก็ทำเสียงจิ๊ๆ ปลงอนิจจัง “เกิดมาหน้าตาไม่ถือว่าแย่ เหตุใดต้องกลัวคนอื่นเห็นหน้าเจ้าด้วย”
หนิงอี้ยังไม่ทันพูดจบ
พลันมีเสียงลากยาวดังขึ้น
หนิงอี้กวาดสายตามอง ร่างเงาขยับวูบไหวมาข้างหลัง เขายิ้มเยาะ ยกแขนขึ้น
อีกคนที่ ‘เกิดร่างเดียวกัน’ กับหญิงคนนี้ทะยานเข้ามา ถูกหนิงอี้กดแก้มไว้อย่างไม่เกรงใจ ตบกลิ้งกลับไป กระแทกใส่อ้อมกอดของผู้บำเพ็ญแดนทักษิณ
หญิงคนนั้นโผใส่อ้อมกอดบุรุษผอมสูงข้างหลังก็ได้สติในทันที ลูบแก้มตน ฝ่ามือนี้ตบแรงยิ่งนัก หน้ากากนางถูกตบแตกเช่นกัน ร่วงมาเป็นเศษๆ
ทุกคนเห็นภาพนี้ สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือใต้หน้ากากไม่ใช่ใบหน้าเหมือนกัน แต่เป็นหญิงที่งดงามยิ่งกว่าหญิงในอ้อมกอดตน
“ผู้บำเพ็ญแดนทักษิณมีวิชาหลากหลาย ประเมินอย่างเป็นกลาง พวกเจ้าสองคนไม่ถือว่างดงามเท่าไร มีกลิ่นอายล่อลวงคนหลายส่วน”
หนิงอี้แค่นยิ้ม “ที่แท้ก็ฝึกวิชาเสน่ห์ เดินวิถีชั่วร้ายนอกรีตใช้คนเป็นหม้อหลอมโดยเฉพาะ มาจากสำนักครองคู่กระมัง ครั้งนี้ทุ่มสุดตัวติดตามองค์ชายรอง ดูท่าพวกเจ้าคงมั่นใจในตัวเองมาก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าราดน้ำเย็นใส่แล้วกัน…ถึงจะเป็นบุปผาสองพี่น้องที่ถือว่างดงาม แต่แค่นี้ก็คิดจะขึ้นเตียงสูงของราชวงศ์ต้าสุย มันไม่เพียงพอเลย อย่างน้อยสวมหน้ากากนี่ ฝีมือของพวกเจ้าสองคนยังห่างชั้นอีกมาก”
หญิงคนที่ถูกตบหน้ากากแตกแต่ยังมีสติอยู่โมโหจนแทบกระอักเลือด สั่นไปทั้งตัว
ผู้บำเพ็ญผอมสูงที่กอดนางไว้ ตอนนี้สีหน้าและแววตาแปลกไป
ทุกคนที่นี่ล้วนปิดซ่อนตัวตนกันอย่างเต็มที่ ตอนนี้ตัวตนจริงถูกเผยออกมา ความจริงนี่เป็นเรื่องเลวร้าย แดนทักษิณวุ่นวาย ใครจะรู้ว่ามีศัตรูของตนอยู่ที่นี่หรือไม่
หญิงหน้าซีดขาว กัดฟันพูดด้วยความโกรธ “เจ้า…รังแกกันเกินไปแล้ว”
หนิงอี้เชยคางหญิงในอ้อมกอดขึ้น เพ่งพินิจ บีบใบหน้าทารกรูปไข่จนเนื้อนูนขึ้นมาส่วนหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเหมือนชี้แนะ “ถ้าข้าจำไม่ผิด บางคนก่อนหน้านี้เหมือนจะเตือนข้าด้วยเจตนาดีมาก…ว่าที่นี่ออกจากที่ราบสูงแล้ว”
“สำนักครองคู่กับภูเขาผาภูตข้าเป็นมิตรกัน” ถึงตอนนี้บุรุษผอมสูงก็ไม่ปิดตัวตนอีก แต่เข้ามาใกล้หลังศีรษะนาง พูดอย่างมีลับลมคมใน “แม่นางแห่งสำนักครองคู่ กลิ่นดีมาก ข้าเคยลองอยู่สองสามคน ชอบจนวางไม่ลงเลย หากเจ้ายินดีจ่ายบ้าง มีปัญหาอะไรข้าจะช่วยเจ้าจัดการเอง”
นางมองหนิงอี้ที่ยิ้มบางๆ พลางกัดฟันพูดอย่างแน่วแน่ “ข้าอยากให้เจ้าฆ่ามัน!”
ผู้บำเพ็ญเขาผาภูตมองนกกระจอกเงินพลางเอ่ยราบเรียบ “ฆ่าเขาคงไม่ได้ แต่ตัดพลังบำเพ็ญเขา ให้เขาจ่ายในการเสียมารยาทเมื่อครู่ได้”
หญิงสำนักครองคู่พูดอย่างเย็นชา “ดี ก็ตามนั้น”
ผู้บำเพ็ญเขาผาภูตหัวเราะนุ่มนวล เขากอดผู้บำเพ็ญหญิงสำนักครองคู่พลางพูดเสียงเบา “เจ้าต้องหลับนอนกับข้าคืนหนึ่ง สู้ศึกนี้จบแล้วเกรงว่าคงเสียหายไม่น้อย”
หญิงสำนักครองคู่หน้าแดงเรื่อ ถูกบุรุษผอมสูงแห่งเขาผาภูตลูบเรือนร่างอย่างแรง ก่อนบุรุษผอมสูงนั่นจะโดดออกไป ระหว่างทางปลายเท้ากดพื้น เงาค้างคาวกระจายเต็มฟ้า
ถึงตอนนี้ หมายเลขเก้าจะยังหัวเราะออกอีกหรือไม่
บุรุษผอมสูงแห่งเขาผาภูตมีใบหน้าโหดเหี้ยม ก่อนหน้านี้เขาเห็นสำนักครองคู่สู้กับคนนั้นแล้ว เห็นช่องทางคร่าวๆ บ้าง ผู้บำเพ็ญที่ไม่รู้สำนักคนนี้เกรงว่าคงเป็นผู้ฝึกหลอมกาย สู้ระยะประชิด สำนักครองคู่ย่อมเสียเปรียบ ตอนนี้ตนสังเกตเห็นจึงออกมืออีกครั้ง มั่นใจมาก
วิชาใต้หล้า มีเพียงความเร็วที่ชนะไม่ได้
ความเร็วของเขาหาได้ยากยิ่ง เงายาวสีดำหลายสิบร่างวนรอบม้าดำหนิงอี้ พุ่งไปมา ระเบิดหินดินรอบๆ คนหนุ่มที่ยิ้มบางๆ คนนั้นถูกหมอกควันบดบังการมองเห็น ก็อดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
“เขาผาภูต…”
หนิงอี้หรี่ตาลง เขามองบุรุษผอมสูงอย่างสนอกสนใจ พยายามแสดงท่าร่างของตนสุดชีวิต ดูมีช่องทางบางอย่าง ดูฉูดฉาด น่าเสียดายที่หนีไม่พ้นสัมผัสของเขาสู่ซาน ราชันดาราพันกรเป็นอันดับหนึ่งในด้านสัมผัสใต้ฟ้าต้าสุย วิถีนอกรีต กลอุบายต่ำช้าเช่นนี้ ยากจะเข้าตาหนิงอี้จริงๆ
มองอยู่ราวสิบลมหายใจ ข้างหน้าบิดเบี้ยว วนเวียนไปมา หนิงอี้จดจำเค้าโครงการเคลื่อนไหวของบุรุษผอมสูงได้แล้ว จนเมื่อผู้บำเพ็ญผาภูตเตรียมจะออกมือนั้น…
หนิงอี้ใช้มือจับฝักกระบี่ตารางหนาที่ห่อด้วยผ้าหนา กระแทกไปข้างกาย
ปลายฝักกระบี่กระแทกโดนหน้าผากบุรุษเขาผาภูตที่กำลังจะพุ่งตัวขึ้น ฝักกระบี่นี้หนัก กระแทกทีเดียวก็ถอยไป แตกจนเลือดกระเซ็น จากนั้นฟาดตัวกระบี่เป็นแนวขวางใส่บุรุษผอมสูง หลังเสียงร้องเจ็บปวดแหลมเล็กดังขึ้น ร่างบุรุษผอมสูงนั้นก็ถูกหนิงอี้ฟาดกระเด็นออกไป
“มาทีละคน มันยุ่งยากหรือ”
หนิงอี้กดหญิงสำนักครองคู่ไว้บนหลังม้าตน ตัวเขาพลันหายไป พริบตาต่อมาเส้นทางภูเขาระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เด็กหนุ่มที่สวมหน้ากากหัวใจราชสีห์ปรากฏข้าง ‘หมายเลขสาม’ ที่ตัวใหญ่ดุจขุนเขา
หนิงอี้ชกหมัดออกไป
หมายเลขสามหรี่ตาลง ออกหมัดไปตามจิตใต้สำนึก
สองหมัดชนกัน
เกิดเสียงชนกันอย่างรุนแรงขึ้น ร่างใหญ่ยักษ์ถูกชกกระเด็นไปเหมือนกระสุน ฝังเข้ากับผนังหินเส้นทางภูเขา
นกกระจอกเงินเยี่ยนจือที่กำลังเดินหน้าอยู่ตอนนี้ดึงบังเหียนม้า หรี่ตาลง มองละครฉากนี้
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาอีกสามคนที่เหลือ หันม้ากลับมาพร้อมกับเสียงร้องม้า หันมามองด้วยสีหน้าซับซ้อน
เสียงม้าร้องดัง มาไปดุจสายลม
หนิงอี้ไม่สนใจคำพูดของนกกระจอกเงินที่บอกว่าอย่าลงมือหนักเกินไปเลย
หมายเลขสามเลือดอาบใบหน้า แผดเสียงคำรามด้วยความโกรธ เพิ่งยันผนังจะพุ่งออกไป เด็กหนุ่มที่ชกเขาฝังกับผนังหินพลันเข้ามาประชิดตัว ใช้หัวเข่ากระแทกเข้าที่หน้า จากนั้นรัวหมัดเตะเท้าราวกับพายุฝน สายลมหมุนม้วนไปรอบๆ ถาโถมใส่ภูเขาเนื้อนั้น
หญิงสาวสำนักครองคู่หน้าซีดขาว
บุรุษผอมสูงที่ถูกหนิงอี้เอาฝักกระบี่กระแทกหน้าผากจนกระเด็นออกไปนั้น ลุกขึ้นมาได้ก็ลูบหน้าผากที่เต็มไปด้วยเลือด ก่อนคำรามเสียงดัง ทะยานเข้าไปหาหนิงอี้อีกครั้ง
บุรุษสูงใหญ่ดุจสัตว์ยักษ์ตรงหน้าหมดสติไปแล้ว ปล่อยให้หนิงอี้รัวหมัดเท้าเข้ามาไม่หยุด ก่อนจะไหลลงมาจากผนังหิน
หนิงอี้พลันหยุดหมัด หลังจากรัวสองหมัดไปที่หน้าแล้วก็สะบัดแขนซ้ายขวา ลากหน้าของหมายเลยสามออกมา พูดเย้ยเยาะ “เกิดมาตัวใหญ่ขนาดนี้ ยังสวมหน้ากากอีก คิดจะปิดบังอะไร กลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนสำนักวิญญาณยักษ์แดนทักษิณรึ”
ไม่มีการตอบกลับ
ผู้บำเพ็ญสำนักวิญญาณยักษ์หนังตาตกลง ดวงตาขาวทั้งหมด ถูกหนิงอี้ยกแขนขึ้น ตัวซวนเซ ถูก ‘ประคอง’ ออกจากผนังหิน
โยนคนเหมือนโยนช้าง
สิ่งมหึมาของสำนักวิญญาณยักษ์กระแทกใส่บุรุษผอมสูงแห่งเขาผาภูตกลางอากาศดังโครม เกิดคลื่นลมกระจายตรงจุดที่ชนกัน สองร่างเงากลิ้งไปกับพื้นแทบจะไม่หยุดเลย เกิดหมอกควันฟุ้งกระจาย