ตอนที่ 101 ทางนั้นของภูเขาแดง
เส้นทางภูเขาคับแคบ ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
“เจ้าเด็กไม่รู้สำนักนี่มีฝีมืออยู่บ้างนะ…” ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาสามคนมองภาพนี้บนเส้นทางภูเขา ต่างมองหน้ากัน เห็นความหวาดกลัวในแววตากัน
ใบหน้านกกระจอกเงินไม่มีคลื่นอารมณ์มากนัก
เขานั่งบนหลังม้า กอดอก ยังคงสงบนิ่ง มองผ่านหมอกแต่ละชั้น ตอนนี้ในหุบเขาคับแคบ ฝุ่นดินฟุ้งกระจาย ม้าตกใจจนวิ่งล้มลุกคลุกคลาน ท่ามกลางเสียงดังวุ่นวาย หนิงอี้ที่โยนผู้บำเพ็ญสำนักวิญญาณยักษ์แดนทักษิณ มาปรากฏหน้าผู้บำเพ็ญแดนทักษิณคนสุดท้ายที่ยังเหม่อลอยอีกครั้ง
ก็ยังไม่ใช้กระบี่สองเล่ม
หนิงอี้กดมือข้างหนึ่งบนหัวม้าสีแดงตัวใหญ่ กดหัวม้าใหญ่ยักษ์ทั้งตัวลงพื้น คนหงายหลังม้าล้มคว่ำ ตอนนี้เองผู้บำเพ็ญแดนทักษิณทั้งหมดที่ได้สติกลับมาจู่โจมเข้าใส่หนิงอี้ประหนึ่งพายุฝน
สองร่างเงาชิดกัน เข้าเนื้อเข้ากระดูก
หนิงอี้ที่ถูก ‘ที่ราบกระดูก’ ขัดเกลากายและจิตไม่เกรงกลัวเลย ทุกฝ่ามือทุกหมัดปะทะกันซึ่งหน้า หมัดฝ่ามือชนกันในพื้นที่แคบเล็ก เกิดเสียงดังสนั่นดุจสายฟ้าสั่นสะเทือน แค่สิบลมหายใจ ผู้บำเพ็ญแดนทักษิณนั้นเริ่มมีเลือดไหลจากเจ็ดทวาร ในดวงตาหนิงอี้ขยับประกายวาวขึ้นไม่หยุด ยิ่งสู้ยิ่งกล้าหาญ
พายุฝนสลายหายไป
หนิงอี้ประทับฝ่ามือลงหน้าอกอีกฝ่าย เกิดเสียงพายุสายฟ้าดังขึ้น ร่างเงาผอมแห้งนั้นกระอักเลือดคำใหญ่ ไม่ทันถอยก็ถูกหนิงอี้จับบ่า หัวเข่าเรียบง่ายกระแทกที่ท้องน้อย ทำให้เขาก้มตัวลง
หนิงอี้ยิ้มเยาะ ยกข้อศอกขึ้นเล็งที่หัวใจข้างหลัง ก่อนกระแทกไปอย่างแรง เสียงกระดูกเคลื่อนดังกึก ดังแสบหูอย่างยิ่ง
ฝุ่นควันสงบลงช้าๆ
หนิงอี้ที่จัดการผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณห้าคนยืนกลางหุบเขาแคบเล็กฝุ่นฟุ้งกระจาย เขาถอนหายใจเบา เดินมาหน้าหญิงสำนักครองคู่ที่ตัวสั่นไปทั้งตัว ถามเสียงเบา “ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก คงไม่ทำแบบนั้นใช่หรือไม่”
หญิงสำนักครองคู่หน้าซีดขาว ใบหน้าค่อนข้างงดงามไม่มีสีเลือดเลย นางพูดเสียงสั่น “คุณชาย ข้าผิดไปแล้ว”
หนิงอี้ตอบอืม ม้าดีข้างหน้าคุกเข่าขาหน้าลงอย่างเชื่อฟัง ให้เขายื่นมือไปลูบใบหน้าของนางได้ ลูบอยู่หลายครั้ง หนิงอี้ก็เอ่ยขึ้นทันที
“นี่…คนแซ่เยี่ยน”
เยี่ยนจือที่หยุดม้าส่งเสียงอืมไม่เบาไม่ดังในโพรงจมูก แสดงออกว่าตนได้ยินแล้ว
หนิงอี้ยิ้ม “คนพวกนี้…ฆ่าได้หรือไม่”
หนิงอี้พลันพูดเช่นนี้ ทำให้หญิงสำนักครองคู่ม่านตาหรี่แคบลง นางเสียงแหบแห้ง ในกระบอกตามีน้ำหมุนวน จะไหลออกจากกระบอกตา แต่กลับถูกหนิงอี้เอามือปิดปากไว้ ส่งเสียงอูๆๆ
สามคนจากแดนบูรพามีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย
นกกระจอกเงินเลิกคิ้ว พูดกระชับได้ใจความ “ฆ่าไม่ได้”
หนิงอี้หรี่ตาลง มองใบหน้าน้ำตานองหน้าของหญิงตรงหน้า ร้องไห้เหมือนดอกสาลี่เปียกฝน เขาครุ่นคิด ก่อนหัวเราะเบาๆ “เรื่องปล้นสะดม ข้าว่าไม่ต้องใช้ผู้บำเพ็ญภูตผีพวกนี้หรอก ไฉนจะฆ่าไม่ได้”
ครั้งนี้นกกระจอกเงินเยี่ยนจือเงียบไป ก่อนพูดอย่างเฉยชา “ฆ่าไม่ได้ก็คือฆ่าไม่ได้…ภารกิจของข้าคือส่งพวกเจ้าเก้าคนไปให้ถึงแท่นสูงมรณะโดยไม่เผยตัวตน รอสินค้านั่นมาถึง”
คำพูดนี้ทำให้หญิงที่น้ำตานองหน้าโล่งอก หนิงอี้ถอยไปหนึ่งก้าวเงียบๆ ปล่อยมือนั้นที่บีบปากนางไว้ ขมวดคิ้วขึ้น หันหลังให้นกกระจอกเงิน เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
หญิงที่หน้าอกใหญ่ยิ่งขยับขึ้นลงไม่หยุดเห็นหนิงอี้มีสีหน้าลังเลและสับสน เหมือนพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ ทำลายกฎของแดนบูรพาแล้ว ก็ปาดน้ำตาแรงๆ พูดอย่างน่าสงสารทีละคำ “ไฉนคุณชายต้องฆ่าแกงกันเอาเป็นเอาตายด้วย”
หนิงอี้ไม่สนใจนาง แต่พลิกตัวขึ้นม้า
เขาชำเลืองตามองหญิงสำนักครองคู่อีกคนที่พาดบนหลังม้าตน ก่อนจะจับหลังคอเสื้อโยนให้หญิงข้างหลังด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าไม่ได้มาจากแดนทักษิณ ย่อมมีสำนักเบื้องหลังอยู่บ้าง…ดั้งเดิมกว่าพวกนอกรีตอย่างพวกเจ้า แต่ออกมาข้างนอก สำนักเบื้องหลังไม่มีประโยชน์ ต้องอาศัยความสามารถของตนเอง”
เมื่อเอ่ยจบ หนิงอี้ก็มองผู้บำเพ็ญแดนบูรพาสามคนที่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยนั้น
“ตอนแรกข้าคิดว่า…พลังบำเพ็ญของทุกท่านไม่ธรรมดา วันนี้ได้เห็น เหมือนจะได้แค่นี้” หนิงอี้เอ่ยเรียบๆ “แต่ละคนมีคุณสมบัติค่อนข้างใช้ได้ หญิงสองคนแห่งสำนักครองคู่ ฝึกฝนมาดี ส่งไปในประตูใต้องค์ชายรอง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ช้างโง่แห่งสำนักวิญญาณยักษ์ โยนไปในเมืองหลวงต้าสุย บางทีอาจจะเป็นคนเฝ้าประตูได้
คนเจ้าเล่ห์แห่งเขาผาภูต ถือว่าเป็นอัจฉริยะอยู่ ไม่รู้ซ่อนความลับที่ไม่มีใครเห็นไว้เท่าไร ส่วนคนที่ถูกข้าหักกระดูกสันหลัง หากเดาไม่ผิด น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญป่าเขาที่ฝึกกายเนื้อของแดนทักษิณกระมัง แดนทักษิณมีสภาพแวดล้อมเลวร้าย ฝึกกายจิตที่ทนมือทนเท้าได้ขนาดนี้ ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่ปั้นได้”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ บุรุษผอมสูงที่เพิ่งตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา คนตัวใหญ่แห่งสำนักวิญญาณยักษ์ใบหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย ในคำพูดของหนิงอี้แฝงการด้อยค่า บอกว่าพวกเขาสองคน หนึ่งเป็น ‘คนเจ้าเล่ห์’ อีกหนึ่งเป็น ‘ช้างโง่’ คุณสมบัติของสองคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ถูกหนิงอี้ทุบตีเช่นนี้ บาดแผลที่ดูน่าเวทนา ตอนนี้ฟื้นกลับมาเจ็ดแปดส่วน หากเป็นผู้บำเพ็ญปกติ อย่างเจ้าภูเขาสายลมวสันต์หรือเจ้าภูเขาพัดหลิ่วนั่น ก็อาจจะสิ้นลมหายใจ ลุกขึ้นมาไม่ได้อีกเลย
วิชาในโลกนี้มีการแบ่งระดับ
ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณก็เช่นกัน
คนเรียกตัวเองว่าเป็นราชาเป็นเจ้าป่าเขา มีตำแหน่งยิ่งใหญ่ ฟังดูน่าเกรงขามมาก แต่ความจริงให้ยืมวิชาลับมากมายก็ยากทะลวงขอบเขตที่เจ็ดได้ รากฐานก็ยังไม่เพียงพอ ยามสู้กับศัตรูก็จะอยู่ในสภาพร่อแร่อย่างชัดเจน
เจ้าภูเขารกร้างที่ไม่รู้นามสองคนนั้น ต่อให้มาที่ราบสูงเทพสวรรค์ ร่วมค่ายเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาก็ยากจะมีชื่อเสียง ผลัดเปลี่ยนกระดูกได้
ทว่าคำพูดนั้นของหนิงอี้เหมือนทำลายความลับสวรรค์ เปิดโปงบางอย่างที่ผู้บำเพ็ญแดนทักษิณพวกนี้ภูมิใจ พลังบำเพ็ญพวกเขาไม่ถือว่าแกร่งมาก แรงกดดันนั้นที่หนิงอี้เจอครั้งแรกเป็น ‘ความโดดเด่น’ เลือนราง คนที่มีพลังเช่นนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้โดดเด่นที่มาจากทุกสำนักในแดนทักษิณ อย่างน้อยผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณห้าคนนี้ ก่อนสู้กับหนิงอี้ก็ไม่เคยพ่ายแพ้มามากเท่าไร
พลังบำเพ็ญพวกเขาไม่ถือว่าแข็งแกร่ง
แต่คุณสมบัติไม่ธรรมดานิดๆ
หนิงอี้พูดจบก็มองผู้บำเพ็ญแดนบูรพาสามคนนั้น ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าทั้งสามท่านอยากจะรู้ว่าข้ามาจากสำนักใดหรือไม่”
เงียบ
ไม่มีใครกล้าล่วงเกินตัวอ่อนสังหารนี่หรือ
หนิงอี้ยิ้มหยีตา “พวกเจ้าไม่อยากรู้หน่อยรึ”
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาสามคนนั้นส่ายหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หนิงอี้พูดปลง “น่าเสียดายจริงๆ…พวกเจ้าไม่อยากรู้จักข้า แต่ข้าอยากรู้จักพวกเจ้า ไม่รู้ว่าทั้งสามท่านมาจากสำนักใด เหมือนกับผู้บำเพ็ญภูตผีห้าคนนั้นหรือไม่ เป็นพวกมีคุณสมบัติเหนือสามัญแต่พลังบำเพ็ญธรรมดา ทนดูแต่ไม่ทนสู้แบบนั้นหรือไม่”
หนิงอี้รออยู่ชั่วครู่ พบว่าผู้บำเพ็ญที่มาจากแดนบูรพาสามคนนี้สุขุมกว่าที่ตนคิดไว้มาก คำพูดนี้ไม่ทำให้ใครเกิดจิตสังหารมากขึ้นเลย สถานการณ์เงียบสงบผิดปกติ
เขาหาโอกาสลงมือไม่ได้
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงแหบพร่า “หมายเลขเก้า อย่ารังแกกันเกินไปนัก ต้องรู้นะว่าเหนือคนมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า”
หนิงอี้ทำเสียง ‘อ้อ’ เขามองแสงเงินสายหนึ่งที่ลอยขึ้นช้าๆ พลางพูดอย่างสนอกสนใจ “ไม่เอาถึงชีวิตก็ได้นี่”
นกกระจอกเงินเยี่ยนจือที่ยกแขนถือหอกยาว สายตามองไปทางหนึ่งไกลๆ
“สายแล้ว” เขาพูดเสียงเบา “จากนี้ยังมีโอกาส ให้พวกเจ้าค่อยๆ ทำความรู้จักกันไป…หากพลาดสินค้าครั้งนี้ จะไม่มีใครรับผิดชอบได้”
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาสามคนที่เหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ ตอนนี้ถึงได้โล่งอก
หนิงอี้ทำเสียงจิ๊ๆ ถอนหายใจ “แค่พวกเจ้าแปดคน แดนทักษิณแดนบูรพา ทหารม้าสองกลุ่ม จะไปปล้นอะไรได้ ระวังจะถูกคนอื่นกินคำเดียวไม่เหลือแม้แต่ซาก”
นกกระจอกเงินชำเลืองตามองหนิงอี้ ฟังคำพูดเชิงครุ่นคิดของอีกฝ่ายแล้วก็มีสีหน้าราบเรียบ
…….
เดินทางไปอีกราวสามสี่ชั่วยาม แทบจะเกือบครึ่งวัน นอกจากหนิงอี้กับนกกระจอกเงินเยี่ยนจือแล้ว กายและจิตของผู้บำเพ็ญคนอื่นรับคลื่นลมที่ต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้ไม่ไหวเล็กน้อย สีหน้าดูเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญภูตผีห้าคนที่ถูกหนิงอี้ทุบตีหนึ่งยก เดินทางด้วยกัน เดาได้ว่าหนิงอี้มีวิชาสัมผัสที่แข็งแกร่งบางอย่าง จึงไม่กล้าแม้แต่จะกระซิบกัน
สองข้างทางหุบเขากว้างขึ้นทีละนิด ภูมิประเทศเริ่มสูงขึ้น
“สุดทางของหุบเขาวิญญาณร่วงหล่นคือแท่นสูงมรณะ ส่วนลึกของภูเขาแดงที่อยู่ข้างหน้าไปอีกก็คือเขตต้องห้ามบุพกาลของเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ”
นกกระจอกเงินที่หยุดอยู่ข้างหน้าพลิกตัวลงม้า นั่งบนแท่นสูง
หนิงอี้ลงม้าเช่นกัน มองหญ้าปลิวไสว สียามราตรีมาเยือนทีละน้อย ‘ท้องฟ้า’ เหนือแท่นสูง แสงดาราไหลตกลงมาช้าๆ ที่นี่เชื่อมกับส่วนลึกสุดของเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ ไอวิญญาณเข้มข้นขึ้น แผ่นดินใหญ่ไกลลิบ ภูเขาแดงเปิดเป็นท้องฟ้าแคบยาว หญิงบนที่ราบเป็นสีขาวน้ำค้าง
“องค์ชายรองอยู่ทางนั้นของภูเขาแดง สององค์ชายเริ่มบุกเบิกแดนต้องห้ามบุพกาล…สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้” นกกระจอกเงินนั่งบนแท่นสูง เขาพูดงึมงำ “ก็คือรอ”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เขาเปิดม้วนหนังแกะโบราณในมือ พูดด้วยความสงสัย “ภูเขาแดงลากเส้นยาวไว้เยอะมาก สินค้าของหลี่ไป๋หลินจะผ่านทางนี้แน่หรือ”
นกกระจอกเงินเยี่ยนจือเอ่ยอย่างเฉยชา “อย่าอยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้…คุณชายน้ำค้างบอกว่าใช่ เช่นนั้นก็ต้องใช่”
เขานั่งขัดสมาธิบนแท่นสูงมรณะ พลังแผ่ไปรอบๆ วนเวียนรอบตัวเขาเบาๆ เศษหญ้าลอยขึ้น บุรุษหนุ่มผมขาวเทาวางหอกยาวไว้ตรงหน้าตัก ก่อนพูดกำชับ “แค่รอก็พอ”
เรื่องการปล้นสินค้าครั้งนี้…เหมือนจะมีลับลมคมในเล็กๆ
หนิงอี้หรี่ตาลง เกิดความคิดแปลกขึ้นในใจ
ตอนนี้ ที่ราบกระดูกในตันเถียนเขาไม่เงียบสงบอีก แต่ตื่นขึ้นมาช้าๆ
สัมผัสได้ถึง…กลิ่นอายคุ้นเคย
หนิงอี้มองทางนั้นของภูเขาแดง อยากเห็นให้ชัดเจนว่าแดนต้องห้ามบุพกาลทางนั้นของภูเขาแดง เกิดอะไรขึ้นกันแน่