ข่าวเรื่องที่เฟิ่งชิงหัวกลับไปที่จวนเฉิงเซี่ยง ไม่ช้าก็เข้าหูของฮูหยินใหญ่อย่างรวดเร็ว ตอนนี้หนานกงเยว่หลีอยู่ในห้องของฮูหยินใหญ่ เมื่อได้ยินชื่อของคุณหนูรองก็กัดฟันด้วยความโมโห
เพราะเรื่องที่นางถูกองค์รัชทายาทถอนการแต่งงาน ทำให้นางกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วทั้งเมืองหลวง ทุกวันนี้หากไม่มีธุระก็แทบจะไม่กล้าออกไปข้างนอก ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงในวังล้วนอ้างว่าไม่สบาย ด้วยกลัวว่าจะถูกคุณหนูที่มียศถาบรรดาศักดิ์ทัดเทียมกันดูถูก
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของหนานกงเยว่ลั่วทั้งสิ้น
“ท่านแม่ ท่านดูสิ ท่านพ่อเข้าข้างนังแพศยานั่นอยู่ดี ต่อให้นางจะแต่งออกไปยังจวนอ๋องเจ็ดแล้ว ก็ยังคงเรียกนางกลับมาอยู่เนือง ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราสองคนแม่ลูกก็คงไม่มีที่ยนแล้ว” หนานกงเยว่หลีหันมองฮูหยินใหญ่
ตอนนี้เมื่อพูดถึงหนานกงเยว่ลั่ว ในใจของฮูหยินใหญ่ก็ยังคงนึกกลัวขึ้นมา ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องที่พื้นที่ล่าสัตว์เท่านั้น ยังมีเรื่องของจวนอ๋องเจ็ดอีกด้วย แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นางไม่กล้าเข้าใกล้หนานกงเยว่ลั่วแล้ว
แต่กลัวก็ส่วนกลัว แต่ความเกลียดยังคงเข้ากระดูกดำ เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความหวาดกลัวก็ค่อย ๆ เบาบางลง ส่วนความเกลียดชังริษยาก็ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้น
“นังแพศยาผู้นี้ แม่ไม่มีทางยอมให้นางมีชีวิตที่สุขสบายเด็ดขาด ตอนนั้นหากท่านพ่อของเจ้าไม่ใช้เรื่องนั้นมาขู่แม่ นางจะถูกเลี้ยงดูในนามของแม่ได้อย่างไร ยังคิดว่าตนเองไม่อาจมีลูกได้อีก” ฮูหยินใหญ่โกรธจนกัดฟันกรอด
“ท่านแม่ เรื่องนั้นคือเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมท่านถึงไม่ยอมบอกข้า” หนานกงเยว่หลีร้อนใจ : “หรือท่านจะปล่อนให้นางอวดอ้างใช้ความเป็นลูกของภรรยาเอก มาทำตัวหยิ่งผยอง ?”
“นางลำพองได้อีกไม่นานนักหรอก รอให้คนผู้นั้นตายไปเมื่อไร พ่อของเจ้าไม่มีทางสนใจนางอีก ถึงตอนนั้นข้าจะทำให้นางชื่อเสียงย่อยยับ นางก็จะกลายเป็นแค่หญิงแพศยาเท่านั้น”
หนานกงเยว่หลีได้ยินดังนั้นก็ตาลุกวาวทันที : “จริงหรือเจ้าคะ ?”
“แม่จะโกหกเจ้าทำไม นี่คือสิ่งที่ในตอนนั้นพ่อของเจ้าเคยพูดเอาเองไว้”
“เช่นนั้นท่านแม่บอกข้ามาหน่อยว่า คนผู้นั้นจะตายเมื่อไร นี่ก็หลายปีมาแล้ว หากคนผู้นั้นมีอายุยืนยาว นั่นเท่ากับว่า ข้าก็ต้องถูกนางกดขี่จนไม่อาจลืมตาอ้าปากได้อยู่เช่นนี้หรือ ? ครั้งก่อนนักฆ่าที่เราจ้างมาด้วยเงินมหาศาล ก็ไม่อาจสังหารนางได้ หรือว่าหนานกงเยว่ลั่ยจะมีสามหัวหกแขน” หนานกงเยว่ลั่วพูดอย่างแค้นเคือง
เมื่อคิดถึงครั้งก่อนที่ถูกหนานกงจี๋ตบหน้าด้วยเรื่องของจุดแดงพรหมจรรย์ หนานกงเยว่หลีก็โกรธจนกัดฟันกรอด ท่านพ่อรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นฝีมือของหนานกงเยว่ลั่ว แต่กลับเลือกที่จะปิดปากเงียบ นางแทบทนไม่ได้ที่จะให้หนานกงเยว่ลั่วรีบตายไปเสีย
ฮูหยินใหญ่มองดูลูกสาวของตนเอง ย่อมต้องรู้สึกสงสารเป็นธรรมดา ดวงตาที่ลีบเล็กลง เพราะใบหน้าที่อ้วนขึ้นนั้น ยิ้มจนกลายเป็นขีดเส้นตรง : “เยว่หลี เจ้าว่า ถ้าหากหนานกงเยว่ลั่วล่วงล้ำขีดจำกัดของพ่อเจ้า พ่อของเจ้าจะทำเช่นไร ?”
“ขีดจำกัดของท่านพ่อ ? ท่านหมายถึง ห้องลับในห้องหนังสือหรือเจ้าคะ ?” ดูเหมือนหนานกงเยว่หลีจะนึกอะไรบางอย่างออก จึงรีบส่ายหน้าทันที : “ท่านแม่ อย่าเลยเจ้าค่ะ นั่นจะไปทำอะไรได้ นั่นก็เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ท่านพ่อใช้เก็บของเล่นโบราณเท่านั้น อีกทั้ง ท่านลืมไปแล้วหรือ ห้องหนังสือนั่น ท่านพ่อไม่เคยให้เราเข้าใกล้มาก่อน แต่เป็นพวกเราอาศัยโอกาสที่ท่านพ่อไม่อยู่แอบเข้าไป แต่หนานกงเยว่ลั่วกลับเคยเข้าไปแล้ว และไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง”
แน่นอนว่าฮูหยินใหญ่ไม่ได้หมายถึงสิ่งนี้ แต่เป็นเพราะหนานกงเยว่หลีพูดเตือนสติ ทำให้นางนึกขึ้นมาได้ทันที
ตอนนั้นในขณะที่หนานกงเยว่หลียังเด็ก มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนานกงจี๋ไม่ยินดีกลับห้อง และไม่ได้ไปยังห้องของภรรยาคนอื่น ๆ แต่กลับขลุกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือทั้งวัน ทำให้นางสงสัยว่าเอาอาจแอบซ่อนของดีบางอย่างเอาไว้ในห้องหนังสือ
ภายหลังเมื่อพาหนานกงเยว่หลีเข้าไป ก็พบเข้ากับห้องลับโดยบังเอิญ ภายนในก็มีเพียงแค่ของเล่นและภาพวาดโบราณเท่านั้น
แต่ภายหลังเมื่อถูกหนานกงจี๋รู้เข้า ก็โกรธจัด ความโกรธในครั้งนั้น ตอนนี้ฮูหยินใหญ่นึกย้อนไปก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่
หนานกงจี๋ลงโทษพวกนางโดยให้คุกเข่าสามวันสามคืน หลังจากเรื่องในครั้งนั้น ฮูหยินใหญ่ก็ไม่กล้าเหยียบเข้าไปในห้องหนังสืออีกเลยแม้เพียงก้าวเดียว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮูหยินใหญ่ก็นิ่งเงียบไปสักพัก : “ไม่ลองก็ไม่รู้ ภาพวาดในนั้น คิดไปคิดมาล้วนเป็นของรักของหวงของพ่อเจ้าทั้งนั้น หากของที่อยู่ภายในได้รับความเสียหาย อีกทั้งในที่เกิดเหตุก็มีเพียงหนานกงเยว่ลั่วเพียงคนเดียว เจ้าว่า ท่านพ่อของเจ้าจะทำเช่นไร?”
ดวงตาทั้งสองข้างของหนานกงเยว่หลีเป็นประกาย : “โทษสถานเบาก็คือการลงโทษ ส่วนโทษสถานหนักไม่แน่ว่าอาจตัดความสัมพันธ์กับหนานกงเยว่ลั่วก็เป็นได้”
“ไม่เลว ในเมื่อตอนนี้พวกเราไม่มีวิธีที่จะจัดการกับนาง ก็จะต้องให้นางรู้จักกับความลำบากเสียบ้าง มิเช่นนั้น นางก็จะฉวยโอกาสที่ท่านพ่อของเจ้าทำดีกับนาง ทำตัวหยิ่งผยอง”
“แต่หนานกงเยว่ลั่วผู้นั้นก็ไม่ได้โง่ หากนางไม่ติดกับขึ้นมา ไม่ได้เข้าไปในห้องหนังสือล่ะเจ้าคะ ?”
“แม่มีวิธีของแม่” ฮูหยินใหญ่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
อีกทางด้านหนึ่ง เฟิ่งชิงหัวกำลังอยู่ในห้องของหนานกงลู่ซิ่ว ตอนนี้โทเท็มสีแดงบนใบหน้าของหนานกงลู่ซิ่วยิ่งชัดเจนขึ้น ราวกับเส้นเลือดอันดุร้าย ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งบิดเหมือนหางงู
เฟิ่งชิงหัวดึงข้อมือของหนานกงลู่ซิ่วออกจากอ่างน้ำ แล้ววางไว้ด้านข้าง จากนั้นจึงหยิบมีดเล่มเล็กที่เผาไฟอยู่ด้านข้างขึ้นมา แล้วกรีดลงไปที่หลอดเลือดแดงของหนานกงลู่ซิ่วเบา ๆ เลือดสีแดงสดก็ไหลออกมาจากข้อมือในทันที และหยดลงในอ่างไม้ที่เตรียมเอาไว้นานแล้ว
ท่านน้าสุ่ยที่เดิมทีแอบสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก เพราะเกรงว่าเฟิ่งชิงหัวจะทำอะไรกับหนานกงลู่ซิ่ว ใครจะไปนึกว่าจะได้เห็นฉากนี้ จึงรีบผลักประตูและบุกเข้ามาในทันที
“ซิ่วเอ๋อร์ !” ท่านน้าสุ่ยพุ่งตรงไปยังอ่างน้ำแล้วร้องไห้ตะโกนออกมา แต่ว่าหนานกงลู่ซิ่วกลับไม่ตอบสนองสักนิด นางยื่นมืออกไปสัมผัสดูพบว่าไม่หายใจแล้ว แม้กระทั่งหัวใจก็ไม่รู้ว่าหยุดเต้นไปตั้งแต่เมื่อไร
ท่านน้าสุ่ยจ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยความเคียดแค้น : “เจ้า เจ้ามันเป็นผู้หญิงที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เจ้าลอบทำร้ายลูกสาวของข้า”
“อย่าเอะอะโวยวายไป ลูกสาวของท่านยังไม่ตาย ยกอ่างไม้นั่นขึ้นมา” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เมื่อท่านน้าสุ่ยเห็นว่าหญิงผู้นี้ทำเรื่องชั่วช้า แต่กลับไม่แสดงท่าทีละอายแก่ใจเลยสักนิด แต่กลับใช้ให้นางยกอ่างไม้ที่บรรจุเลือดขึ้นมาอีก
“มัวนิ่งอยู่ทำไม หรือท่านจะปล่อยให้เลือดของลูกสาวท่านไหลออกไปด้านนอกจนหมด ?” เฟิ่งชิงหัวจ้องมองนางด้วยความรำคาญ รู้สึกเพียงแค่ว่าท่านน้าสุ่ยนั้นโง่เขลา ไม่ว่องไวเหมือนบรรดาศิษย์ของนางเหล่านั้นเลยสักนิด
ท่านน้าสุ่ยไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เฟิ่งชิงหัวพูด จึงได้แต่ทำตามคำสั่งของนาง รอจนอ่างไม้ใบนั้นมาอยู่ในอ้อมแขน และนางนั่งยองอยู่กับพื้น จึงได้เงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งชิงหัว : “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”
ในน้ำเสียงมีทั้งความโศกเศร้าและหวาดกลัว
เฟิ่งชิงหัวหันมองนาง แล้วพูดอย่างสงบว่า : “ถ่ายเลือด”
ท่านน้าสุ่ยร้องไห้พลางพูดว่า : “เช่นนั้นลูกสาวของข้าจะรอดชีวิตหรือไม่ ?”
เลือดไหลออกมาครึ่งอ่างแล้ว คนคนหนึ่งจะมีเลือดมากมายสักเท่าไรกัน
ท่านน้าสุ่ยไม่เพียงชื่อว่าท่านน้าสุ่ยเท่านั้น แต่เหมือนกับทำมาจากน้ำจริง ๆ น้ำตานั่น ค่อย ๆ ไหลรินลงมาทีละหยด ๆ โดยไม่ขาดสาย
เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้าอย่างจนใจ : “ท่านร้องไห้ต่อเถอะ หากทำให้เลือดของลูกสาวท่านต้องสกปรกจนไม่อาจมีชีวิตรอดได้ขึ้นมา ถึงตอนนั้นไม่เท่ากับว่าน้ำตาของท่านต้องเสียเปล่าหรอกหรือ”
ท่านน้าสุ่ยได้ยินดังนั้น น้ำตาที่ไหลรินก็หยุดลงด้วยความตกใจทันที นางสำลักสองครั้ง และในที่สุดก็กลืนน้ำตาลงคอ
โทเท็มบนร่างกายและใบหน้าของหนานกงลู่ซิ่วค่อย ๆ แห้งลงไปเพราะขาดเลือด จากนั้นก็เผยให้เห็นผิวหนังที่ขาวนวลเนียนอย่างเช่นแต่ก่อนของนางออกมา ทิ้งร่องรอยจาง ๆ เอาไว้ด้านบนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากไม่ดูอย่างละเอียด ก็แทบจะมองไม่เห็น