บทที่ 151 การแสดงล้ำเลิศ

พลิกชะตาหมอยา

เฟิ่งชิงหัวมองไปยังเลือดชามนั้นครู่หนึ่ง เลือดนั้นค่อนข้างแดงอย่างประหลาดอยู่เล็กน้อย แถมยังแฝงกลิ่นที่น่าหลงใหลไว้ด้วย ไม่มีกลิ่นคาวเลือดเลย แฝงไว้ด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้จางๆ ไว้ด้วย

เฟิ่งชิงหัวดึงเอาเข็มเงินออกมาหนึ่งอัน ทิ่มเข้าไปยังปลายนิ้วของตนเองครู่หนึ่ง จากนั้นบีบเอาเลือดออกมาหนึ่งหยด แล้วหยดลงไปในน้ำเลือดชามนั้น

ก็เห็นว่าเมื่อหยดเลือดลงไปในชามนั้น ก็เกิดเป็นเสียงดัง “เพ้ง” เบาๆ

แล้วเรื่องที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้นอีก เมื่อเห็นเลือดของเฟิ่งชิงหัวหยดเขาไป รอบๆ ชามสั่นเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ เบาๆ ขึ้นมา จากความเป็นระลอกคลื่นแล้วก็สงบลง เลือดนั้นก็แปรเปลี่ยนสีสันสดใสฉูดฉาดขึ้นมา กลิ่นหอมก็ค่อยๆ กระจายออกไป

เฟิ่งชิงหัวดึงเอาท่อเส้นเล็กออกมาหนึ่งเส้น พลางทิ่มเข้าไปในเส้นเลือดของหนานกงลู่ซิ่ว และอีกด้านหนึ่งก็พลางใส่เข้าไปในชามไม้

คราวนี้ท่านน้าสุ่ยมองมายังลูกสาวของตนอย่างเป็นกังวลใจ ดูลุกลี้ลุกลน และก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับการกระทำของเฟิ่งชิงหัวอยู่แล้ว พอรู้สึกตัวว่าชามได้ถูกเอาออกจากมือไป จึงดึงสติกลับมาได้

เลือดชามนั้นถูกนางวางไปยังที่สูง ท่อเล็กอันนั้นกำลังสูบเลือดเข้ามาในร่างของหนานกงลู่ซิ่วไม่หยุด

เฟิ่งชิงหัวดึงเข็มเงินออกจากหน้าอกของหนานกงลู่ซิ่ว เส้นหลอดเลือดที่หยุดขยับไปนานมากแล้วก็ฟื้นกลับมาขยับใหม่อีก เริ่มกระตุกขึ้นมา

“ครอก ครอกๆ” หนานกงลู่ซิ่วไอสำลักออกมาครู่หนึ่ง ราวกับว่าในลำคอมีของอะไรบางอย่างติดอยู่ก็ว่าได้

“ลูก เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ยังจำแม่ได้ไหม?” ท่านน้าสุ่ยขยี้ตา และจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว

หนานกงลู่ซิ่วไม่ได้ตอบนาง แต่กลับมองนางอยู่ แล้วก็กล่าวออกมาอย่างฉุกละหุกว่า: “พระชายา ข้าพบว่า……”

เฟิ่งชิงหัวรีบพูดขัดนางขึ้นมาทันที: “อะไรก็ไม่ต้องพูด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดได้ เจ้าพักผ่อนให้สบายใจ เดี๋ยวข้าจะมาหาเจ้าเอง”

หนานกงลู่ซิ่วพยักหน้าอย่างอ่อนแรง จากนั้นก็หลับตาลง แล้วก็หลับอย่างไม่รู้ตัวไปอีก

ท่านป้าสุ่ยกำลังจะพูด แต่กลับถูกเฟิ่งชิงหัวขัดจังหวะขึ้น: “ท่านน้าสุ่ย อยากให้ลูกสาวของท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปไหม?”

ท่านน้าสุ่ยรีบพยักหน้าทันที: “ลูกสาวของข้าเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

“อยากให้บุตรสาวของท่านกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เช่นนั้นแล้ววันนี้ที่ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องที่บุตรสาวท่านรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาด้วย ท่านห้ามบอกเรื่องเหล่านี้กับผู้ใดเป็นอันขาด รวมทั้งหนานกงจี๋ด้วย” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ทำ ทำไม ข้า”

“ท่านคิดว่าทำไมบุตรสาวของท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้ อีกทั้งทำไมถึงถูกหนานกงจี๋นำตัวมาได้? บุตรสาวของท่านนั้นก่อนที่นางจะจากไปได้มอบจดหมายไว้ให้ข้าฉบับหนึ่ง บอกว่าตนเองนั้นถูกหนานกงจี๋พาตัวไป ท่านจะมั่นใจได้ยังไงว่าหากลูกสาวของท่านรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกครั้ง?”

“จะเป็นไปได้อย่างไร นั่นคือท่านพ่อแท้ๆ ของนาง นางจะไร้หัวใจตัดความรู้สึกทางสายเลือดไปได้ยังไง?” ท่านน้าสุ่ยส่ายหน้าไม่หยุด

“ไร้หัวใจงั้นหรือ? ท่านคิดว่าหนานกงจี๋มีคุณสมบัติเป็นพ่ออย่างนั้นหรือ? ท่านคิดว่าว่าจวนเฉิงเซี่ยงแห่งนี้ คุณหนูใหญ่ ข้าและบุตรสาวของท่าน จนแล้วจนรอด เขาเคยใส่ใจใครจริงๆ บ้างไหม?”

ท่านน้าสุ่ยเม้มปาก และไม่ได้กล่าวอะไรออกมานานมาก หลังจากผ่านเวลาไปชั่วขณะหนึ่งนางก็กล่าวว่า: “พวกเจ้าไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตามข้าล้วนไม่เชื่อทั้งนั้น ข้าเชื่อเพียงลูกสาวของข้าเท่านั้น เว้นเสียแต่ลูกสาวของข้าจะฟื้นขึ้นมา”

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “ได้ งั้นก็ก่อนหน้าที่บุตรสาวของท่านจะฟื้นขึ้นมา ท่านก็อย่าได้พูดอะไรเลย ห้ามทำอะไรเลย คนอื่นถามอะไรท่านก็พูด”

เฟิ่งชิงหัวสอนด้วยเสียงเบาๆ ให้ฟังหนึ่งรอบ ท่านน้าสุ่ยอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ขณะที่สายตามองไปยังใบหน้าที่ขาวซีดของลูกสาวตนเองนั้น ก็พยักหน้าออกมาอย่างแน่วแน่

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เฟิ่งชิงหัวก็ถูกท่านน้าสุ่ยไล่ออกมาจากด้านในห้อง

ภายในลานเรือนทั้งหมดต่างก็ได้ยินเสียงร้องไห้สนั่นของท่านน้าสุ่ย บนชายเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงหัวยังหลงเหลือรอยคราบน้ำเอาไว้อยู่ สีเข้มทั้งปื้น ยังเป็นรอยน้ำหยดอยู่ ดูไปแล้วค่อนข้างน่าเวทนา

“เจ้าไปให้พ้น เจ้าไปให้พ้นหน้าข้าเลยนะ เจ้ารักษาจนลูกสาวข้าตายแล้ว เจ้าไปให้พ้นๆ ข้าเลย!” ท่านน้าสุ่ยร้องไห้ไปพลางและบ่นด่าไปพลาง: “ลูกสาวของข้าเดิมทีก็มีเวลาไม่มากอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะให้ยาที่รุนแรงเช่นนี้กับนาง ทำร้ายจนนางอาเจียนเป็นเลือดออกมาก็ไม่ปริปาก คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังจะสูบเลือดของนางไปจนหมด เจ้าเป็นปีศาจบ้าที่สังหารคน! หากลูกสาวของข้าตาย ข้าก็จะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”

เฟิ่งชิงหัวดึงชายเสื้อบนตัวของตนให้เข้าที่ สีหน้าท่าทางดูรังเกียจ: “ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวของเจ้าไปติดเชื้อแปลกประหลาดนี้มาจากไหน หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าของใต้เท้าเฉิงเซี่ยง เจ้าคิดว่าข้าจะมางั้นหรือ?ก็ขอภาวนาว่าอย่าเป็นเชื้อโรคอะไรเลย ถึงตอนนั้นจวนอ๋องเฉินก็ยังจะต้องคิดบัญชีกับเจ้า”

“เจ้าน่ะสิที่เป็นเชื้อโรค! หมอหลวงบอกว่าลูกสาวของข้าไม่ได้ป่วย หากเจ้ายังจะพูดจาส่งเดชอีกละก็ ข้าจะสู้ตายกับเจ้าเลยคอยดู!”

“แม้ว่าข้าจะไม่พูด แต่เจ้าดูสารรูปของลูกสาวเจ้าสิ”

“เจ้ายังจะพูดอีกหรือ ข้าจะฉีกปากของเจ้าให้เป็นชิ้นๆ เลย!” ในขณะที่พูดอยู่ ท่านน้าสุ่ยก็พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งไปแล้ว แล้วก็ถูกเฟิ่งชิงหัวผลักไปเบาๆ หนึ่งทีก็ล้มลงไปบนพื้นทันที

และในขณะเดียวกันนี้เอง เสียงผู้ชายที่ดูมีอำนาจจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทั้งสองคนต่างพากันมองไป ก็เห็นหนานกงจี๋ในชุดขุนนางทั้งตัวที่ยืนอยู่บนบันไดไกลออกไปหลายเมตร สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจนัก

เฟิ่งชิงหัวปัดมือขึ้นอย่างเรียบง่าย: “นี่ก็คือเรื่องที่เจ้าให้ข้ามาอย่างรีบร้อนงั้นหรือ? ก็ไม่เท่าไรนี่”

หนานกงจี๋ได้ฟัง ก็เดินก้าวเข้ามาสองก้าว มองไปยังด้านในห้อง แล้วกล่าวด้วยเสียงโทนต่ำกับเฟิ่งชิงหัว: “เป็นอย่างไรบ้าง รักษาหายหรือเปล่า?”

เฟิ่งชิงหัวมองมายังหนานกงจี๋ด้วยท่าทางที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง ท่านล้อเล่นอะไรกัน ในตัวของลูกสาวท่านอะไรก็ไม่มี ให้ข้ามารักษาอะไรกัน ส่วนโทเท็มพวกนั้นบนตัวของนางก็เหมือนกับปานเช่นกัน เข็มข้าก็ฝังให้แล้ว ชีพจรก็จับแล้ว ก็ขาดแค่กายวิภาคแล้ว นางไปถูกของย่ำแย่นี้มาจากไหนกัน

หนานกงจี๋ได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา: “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ตั้งแต่วันนั้นหลังจากที่มีปากเสียงกับเจ้าจากที่จวนอ๋องเฉินก็มาร้องห่มร้องไห้กับข้า ข้าก็เห็นว่านางเพิ่งจะเสียผู้ชายไปอีก อารมณ์ไม่ดี ก็เลยอนุญาตให้นางออกไปปลดปล่อยอารมณ์ให้สบายใจ ใครจะไปคิดว่ายังผ่านไปไม่นานก็มีคนมารายงานว่านางเป็นไข้ประหลาด ในใจของข้าก็ร้อนใจยิ่งนัก ก็เลยอยากจะให้เจ้ามาดูหน่อย”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง ท่านกำลังล้อข้าเล่นหรือเปล่า ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรข้าก็สามารถรักษาได้งั้นหรือ? เพื่อสิ่งนี้ไม่เสียดายที่เผาเฟยเก๋อหลิวตันทิ้งไป? ท่านนี่ช่างมือเติบจริงๆ เลยนะ จะว่าไปแล้วครั้งนี้ต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว”

หนานกงจี๋ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น: “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าเข้าไปดูอาการลู่ซิ่วเสียหน่อยก่อน เจ้าไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนส่งเจ้าออกไป”

ในขณะที่พูดอยู่ก็ไม่รอให้เฟิ่งชิงหัวได้พูดตอบ ก็ทะยานเข้าไปด้านในห้องอย่างอดใจรอไม่ได้ ท่านน้าสุ่ยก็รีบตามเข้าไปทันที

หลังจากหนานกงจี๋เข้ามาในห้องแล้วมองดูที่พื้นยังมีร่องรอยเลือดเต็มไปหมด ข้างในอ่างก็ดำคล้ำไปหมด และก็ยังมีกลิ่นยาที่รุนแรงพรั่งพรูเข้ามาใส่หน้าอยู่

หนานกงจี๋เดินมาที่ด้านหน้าเตียงอย่างรวดเร็ว มองดูใบหน้าของหนานกงลู่ซิ่ว โทเท็มสีแดงพวกนั้นยังคงอยู่ จิตใจที่เดิมนั้นเริ่มสบายใจขึ้นมาบ้าง สีหน้าก็ค่อยๆ ปลงบ้างเล็กน้อย

พอหันหน้าไปก็เห็นท่านน้าสุ่ยที่กำลังมองมาที่เขา สีหน้าเคร่งขรึม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เลือดบนพื้นใครเป็นคนทำกัน?”

ท่านน้าสุ่ยได้ยินดังนั้นก็รีบร้องห่มร้องไห้กล่าวออกมาว่า: “ท่านเสนา ท่านจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ลู่ซิ่วนะ เดิมทีคุณหนูรองก็อาศัยโอกาสนี้เอาคืนอยู่แล้ว ตอนเริ่มแรกมาก็บอกว่าจะรักษาให้ซิ่วเอ๋อ สุดท้ายข้าดูแล้วทั้งเคาะทั้งตี ยังกรีดรอยชีพจรของซิ่วเอ๋อให้เป็นรอยอีก เลือดไหลไปเยอะมาก หากไม่ใช่ว่าข้ามาทันเวลาพอดี เกรงว่านางก็ปักเข้าไปบนหนังท้องของซิ่วเอ๋อแล้วก็เป็นได้”

ในขณะที่พูดอยู่ก็กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ ก็เลยจับข้อมือของหนานกงลู่ซิ่วขขึ้นมาให้นางดู ซึ่งเป็นข้อมือที่ยังไม่ทันได้พันแผลเลย

“นางยังพูดว่าอะไรอีก?” หนานกงจี๋หรี่ตาลง และกล่าวถามอย่างลึกซึ้งขึ้นไปอีก

“นางพูดมาตลอดว่านี่คือของประหลาดอะไรก็ไม่รู้ ยังบอกว่าหากตรวจต่อไปอีก ก็จะต้องกรีดเนื้อของซิ่วเอ๋อออกมาค่อยๆ ตรวจสอบ ยังบอกอะไรอีกตั้งมากมาย ข้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง”