หนานกงจี๋มองดูสีหน้าท่าทางของท่านน้าสุ่ยแล้ว ก็คิดทบทวนอย่างรอบคอบ อันที่จริงแล้วที่นางพูดมาก็มีมูลความจริงอยู่ก็เลยค่อยๆ พยักหน้าแล้วกล่าวว่า: “ในเมื่อหมอหลวงบอกว่าลู่ซิ่วไม่มีไข้อะไรก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว อาจจะเป็นเพราะกินอะไรที่แพ้เข้าไป อีกหลายวันก็คงจะดีขึ้น ข้าตามนางกลับมาก็เพื่อจะบอกถึงเรื่องของเฟยเก๋อหลิวตัน นางก็เป็นเพียงแค่นังหนูตัวเล็กคนหนึ่ง จะไปเป็นวิชาแพทย์อะไรกัน”
พอท่านน้าสุ่ยได้ฟังก็กล่าวออกมาอย่างไม่ยินดีเท่าไรนัก: “ในเมื่อนางไม่เป็นวิชาแพทย์อะไร งั้นนางเมื่อครู่ทำไมจึงกล้ามาทรมานลูกสาวของพวกเราได้ ท่านพี่ ตั้งแต่คุณหนูรองแต่งเข้าไปในจวนอ๋องเฉินยิ่งนับวันก็ยิ่งจะเหิมเกริมมากเกินไปแล้ว เมื่อครู่หากไม่ใช่ว่าท่านมาถึงทันเวลา ก็ไม่รู้ว่านางยังจะทำอะไรอีก”
“พอแล้วล่ะ ตอนนี้ลูกสาวของเจ้าก็ไม่ใช่ว่ายังอยู่ดีอยู่เหรอ ข้ายังมีธุระต้องจัดการ เจ้าก็ดูแลอยู่ที่นี่ให้ดีๆละกัน” พูดจบก็จากไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมาอีกเลย
ท่านน้าสุ่ยก็ดึงเอาสีหน้าท่าทางที่โมโหเดิมนั้นกลับคืนมา นึกถึงปฏิกิริยาของท่านพี่เมื่อครู่นี้ ดวงใจทั้งดวงก็เริ่มดำดิ่งขุ่นมัวลงไป
มองดูลูกสาวที่ยังไม่ได้สติในตอนนี้ของตนเอง เม้มกัดริมฝีปากแน่นขึ้น
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวออกมาจากด้านในลานเรือนของหนานกงลู่ซิ่วก็เดินเล่นเอามือไขว้หลังตามสบายรอบๆ จวนเฉิงเซี่ยง
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยง นางจะออกมาเดินรอบๆ ในช่วงกลางคืนส่วนใหญ่ ฟ้ามืดเกินไปก็มองอะไรไม่ออก การเดินในช่วงที่ฟ้าแตกต่างเช่นนี้นั้นกลับเป็นครั้งแรก
เรื่องของหนานกงลู่ซิ่วนั้น หนานกงจี๋ปัดความรับผิดชอบไปไม่ได้แน่นอน งั้นจวนเฉิงเซี่ยงแห่งนี้ที่แท้แล้วจะใสสะอาดเช่นนี้อย่างที่เห็นภายนอกหรือไม่
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดวิเคราะห์ไปพลางแล้วก็เดินไปยังเฟยเก๋อหลิวตันไปพลาง ก็ได้ยินเสียงของหนานกงเยว่หลีเรียกนางไว้
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้น นี่มันช่างเป็นเหมือนพังพอนมาคารวะไก่ก็มาได้เลยนะ คิดไม่ถึงว่าหนานกงเยว่หลีจะเรียกนางก่อน
“หนานกงเยว่ลั่ว ท่านพ่อเรียกให้เจ้ากลับมาทำอะไร?” หนานกงเยว่หลีในชุดสีขาวทั้งตัวยืนอยู่ตรงนั้น เงยศีรษะขึ้น ท่าทางดูเย่อยิ่งอยู่ตรงนั้น
มือทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวกอดอกไว้ ชุดที่เรียบง่ายควบคู่กับหางม้าเกล้าสูง ดูไปแล้วดูสง่างามห้าวหาญ และใบหน้าแต่เดิมที่สุขุมเช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายเท่า
“อยากรู้เหรอ? ก็ตามท่านพ่อเจ้าไปสิ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา
แน่นอนว่าหนานกงเยว่หลีไม่ได้จะมาชวนเฟิ่งชิงหัวทะเลาะ ได้ยินนางกล่าวออกมาเช่นนี้ก็เลยอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาว่า: “หรือว่าท่านพ่อได้บอกชาติกำเนิดของเจ้าให้เจ้าฟังแล้ว?”
“ชาติกำเนิดอะไร เจ้าน่าจะไม่ได้บอกว่าข้าเป็นลูกสาวของท่านแม่และคนชั้นต่ำหรอกนะ หลังจากท่านพ่อทราบก็เลยให้อภัยท่านแม่ไปแล้ว ดังนั้นก็เลยกลายเป็นคนที่ถูกใส่ร้ายยกใหญ่ไปเลย?”
หนานกงเยว่หลีได้ยินก็กล่าวออกมาอย่างเย็นชา: “กล้าดียังไง ท่านแม่ของข้าเป็นถึงฮูหยินใหญ่แห่งจวนเฉิงเซี่ยงที่ผู้คนนับหน้าถือตา จะไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน เจ้าพูดเรื่องไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย จะว่าไปแล้วเจ้าก็คงจะไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นเจ้าไม่ใช่อยากจะถามมาโดยตลอดว่าทำไมเจ้ากับข้าเป็นลูกสาวแม่เดียวกัน แต่ท่านแม่กลับมีวาจาที่รุนแรงต่อเจ้ามาตลอดน่ะเหรอ?”
เดิมแล้วเฟิ่งชิงหัวก็ไม่ใช่หนานกงเยว่ลั่วจริงๆ สำหรับชาติกำเนิดของนางแล้วนั้นความสนใจแต่ละนิดก็ไม่มีเลย หากทนไม่ได้ก็วางแผนจากไปก็เท่านั้น
คำพูดของหนานกงเยว่หลีก็ลอยเข้าไปในหูของเฟิ่งชิงหัวราวกับพัดไปตามลมไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
“เดมทีเจ้าก็ไม่ใช่ลูกสาวของท่านแม่ ตอนนั้นเจ้าก็เพียงแค่ถูกท่านพ่ออุ้มกลับมาจากข้างนอกเพื่อมาเลี้ยงดูภายใต้ลูกของท่านแม่ หากไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นไม่ได้ตาย ฐานะของเจ้าก็คงจะถูกเปิดโปงแล้วล่ะ ก็เป็นแค่เพียงลูกของหญิงเร่เต้นกินรำกิน เต้นเข้าไปในราชวงศ์ได้ยังไง!”
เฟิ่งชิงหัวกลับสนใจเพียงคำพูดเฉพาะจุดที่ทิ่มแทงของหนานกงเยว่หลีเพียงอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วหันกลับมามองนาง: “คนผู้นั้นเป็นใคร?”
“อยากรู้เหรอ?” หนานกงเยว่หลีเลิกคิ้วขึ้น รู้ว่านางคิดกลับเข้าแล้ว
เฟิ่งชิงหัวขี้เกียจจะเล่นเกมเดากันไปเดากันมากับหนานกงเยว่หลี แล้วก็เลยกล่าวออกมาตรงๆ ว่า: “มีอะไรก็รีบพูด มีอุจจาระก็รีบปล่อยออกมา มิน่าข้าเห็นสีหน้าของเจ้าดูหนักใจ ที่แท้อุจจาระขดกันอยู่เยอะเกินไป โดยปกติก็อัดอั้นคำพูดอยู่ในลำไส้เป็นขดๆ เลยกระเพาะลำไส้ย่อยไม่ดีไม่พูด แม้แต่คำพูดที่พูดออกมาได้ยินแล้วก็ยังรู้สึกแปลกๆ เลย”
สีหน้าของหนานกงเยว่หลีขึงขังขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง กำลังคิดว่าจะสั่งสอนนางสักชุด แต่ว่าพอคิดถึงว่าวันนี้ยังมีเฝธุระที่สำคัญที่สุด ก็เลยระงับความโกรธลงไปได้: “คนผู้นั้นข้าก็ไม่รู้จัก แต่ท่านแม่บอกว่าต้องรอหลังจากที่คนนั้นตายไปแล้ว ท่านพ่อถึงจะพูดฐานะที่แท้จริงของเจ้าออกมา แต่ว่าหากเจ้าอยากจะรู้ล่วงหน้า ก็สามารถไปหาดูที่ห้องหนังสือของท่านพ่อได้ ด้านในนั้นของเขามีห้องลับห้องหนึ่งน่าจะเก็บซ่อนข่าวคราวของแม่แท้ๆ ของเจ้าไว้อยู่นะ”
เฟิ่งชิงหัวกลับไม่รู้เลยว่าหนานกงจี๋ยังมีห้องลับอย่างคาดไม่ถึง นางเคยเข้าไปหลายครั้งแล้วแต่ก็หาไม่เจอสักครั้ง อันที่จริงก็ช่างน่าแปลกใจ
“เจ้าบอกเรื่องพวกนี้แก่ข้าทำไม? ตัวเจ้าเองก็พูดอยู่แล้วว่าฐานะของแม่แท้ๆ ของข้าช่างน่าเวทนาเช่นนั้น งั้นเหตุใดข้าจะต้องฝืนทนให้ตัวข้าเองไปรับรู้ถึงร่องรอยของผู้หญิงคนนั้นด้วย?” เฟิ่งชิงหัวมองมายังหนานกงเยว่หลี ก็เห็นบนใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความไม่สมัครใจ
หนานกงเยว่หลีคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “เจ้าไม่ใช่ว่าอยากจะมีท่านแม่ที่ปฏิบัติต่อเจ้าราวของล้ำค่างั้นเหรอ? ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่มีที่พึ่งพิง เจ้าไม่คิดจะไปทำความเข้าใจเสียหน่อยเหรอ? แม้ว่าจะไม่อยากรู้จัก แค่รู้ว่านางอยู่ดีหรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่คนเป็นลูกควรจะแสดงออกมาเช่นกันหรือเปล่า”
“ที่เจ้าพูดก็เหมือนว่าจะมีเหตุผลมาก แต่ว่าข้าก็ไม่รู้เลยว่าห้องลับนั้นอยู่ที่ไหนน่ะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาพร้อมกับมือแบบออกทั้งสองข้างอย่างไร้หนทาง
“ข้ารู้ ข้าสามารถพาเจ้าไปได้” หนานกงเยว่หลีกล่าว
เฟิ่งชิงหัวถูกนำพาไปอย่างไม่ได้เต็มใจมากนัก
หนานกงเยว่หลีเดินห่างจากข้างกายของเฟิ่งชิงหัวไม่ไกลมากนัก ราวกับว่ากลัวนางจะเปลี่ยนใจก็ไม่ปาน
มาถึงด้านนอกห้องหนังสือของหนานกงจี๋ ก็มีคนรับใช้เฝ้าประตูอยู่ตามเคย หนานกงเยว่หลีคิดหาวิธีล่อคนให้ออกไป แล้วก็กล่าวกับเฟิ่งชิงหัวด้วยเสียงเบาๆ ว่า: “ห้องลับก็อยู่ข้างใต้เก้าอี้ของท่านพ่อ อิฐชิ้นนั้นถูกโต๊ะหนังสือทับเอาไปตรงมุม เจ้าเคลื่อนโต๊ะหนังสือออก ด้านล่างมีปุ่มกดหนึ่งอัน เจ้าเข้าไป ข้าจะดูลาดเลาให้เจ้าอยู่ด้านนอก มีคนมาข้าจะเรียกเจ้าเอง”
เฟิ่งชิงหัวพอได้ฟังเช่นนั้นก็นึกขึ้นมาได้ทันที รู้สึกว่าห้องลับจะอยู่ใต้ดิน มิน่าก่อนหน้านี้นางมาตั้งหลายครั้งก็หาไม่เจอตลอด
แต่ว่าด้านข้างห้องหนังสือก็เป็นสระน้ำ ห้องลับที่อยู่ข้างล่าง หรือเป็นไปได้ว่าจะอยู่ใต้ทะเลสาบไปอีก?
ด้านหนึ่งของเฟิ่งชิงหัวรับปากอยู่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางระมัดระวังออกมา: “หากถูกท่านพ่อจับได้จะทำอย่างไร? ไม่ใช่ว่าเขาไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าไปในห้องหนังสือของเขาเหรอ?”
หนานกงเยว่หลีมองมาที่นางอย่างประหลาดใจ: “เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเจ้าก็เข้าไปในห้องหนังสือของเขาบ่อยๆ เหรอ? เขาก็ไม่เคยว่าเจ้าเลย”
เฟิ่งชิงหัวประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าหนานกงจี๋จะดีขนาดนี้ต่อหนานกงเยว่ลั่ว?
ลูกสาวคนโตไม่ยอมให้เข้า ลูกสาวที่อุ้มกลับมาคนนี้มีสิทธิพิเศษขนาดนั้นเลยหรือ?
“พอเถอะ เจ้ารีบไปซะ ท่านพ่อทางด้านนั้นข้าได้คิดแผนที่จะถ่วงเวลาเขาเอาไว้ชั่วคราวแล้ว เขาจะไม่มาที่นี่”
“ช่างมันเถอะ ข้าไม่เข้าไปจะดีกว่า เมื่อก่อนข้ามักจะเข้าไปอ่านตำรา ตอนนี้เจ้าให้ข้าเข้าไปขโมยของ ข้าไม่กล้าไปคนเดียว ช่างเถอะ ข้าไปดีดีกว่า”
หนานกงเยว่หลีคว้าเฟิ่งชิงหัวไปแน่น: “จะไปไหนเล่า มาก็มาถึงที่นี่แล้ว ก็ขาดแค่ก้าวข้ามประตูไปก็แค่นั้นเอง ไป ข้าเข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”
ในขณะที่หนานกงเยว่หลีพูดอยู่นั้นก็ดึงเฟิ่งชิงหัวเข้าไปในห้องหนังสือ ผลักโต๊ะออกไปเล็กน้อยตามความช่ำชอง แล้วก็เผยให้เห็นปุ่มอันหนึ่งขึ้นมาจริงๆ
“พี่ใหญ่ ช่างมันเถอะ หากที่เจ้าพูดมาทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจริง เจ้าจะให้ข้าวางตัวอย่างไรในภายภาคหน้ากันเล่า ท่านอ๋องเดิมทีก็ไม่ได้มีใจให้แก่ข้าอยู่แล้ว หากรู้ฐานะของข้าอีกรับรองว่าจะต้องปลดข้าออกจากภรรยาเป็นแน่”
พอหนานกงเยว่หลีได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งออกแรงขึ้นอีก ราวกับว่าก็คิดว่าด้านในห้องลับนี้ต้องมีสิ่งของบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของหนานกงเยว่ลั่วจริงๆ แน่ ถึงตอนนั้นหนานกงเยว่ลั่วก็กลายเป็นไก่ขนหลุดไปเลย ราชวงศ์จะมีที่ให้นางยืนได้อย่างไรกัน