ตอนที่ 29 รีบหนี! 2

เวลานี้เขาพึงพอใจอย่างยิ่งเพราะถูกนางไล่ต้อนมาสามวันสามคืน บัดนี้ชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการระบายความแค้นที่มีให้สาสม

สตรีชุดขาวหาได้สนใจคำของหัตถ์โลหิตไม่ ใบหน้านางสงบนิ่งราวกับไม่ได้ยินคำกล่าวใดจากเขาเลย!

หัตถ์โลหิตรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาเมื่อสังเกตว่านางไม่ได้เกรงกลัวคำขู่เลย แต่เดิมเขาตั้งใจจะขู่ให้นางกลัวเพื่อจะได้ร้องขอความเมตตา แต่กลับต้องผิดหวังเพราะสตรีชุดขาวใจเย็นราวกับสายน้ำที่ไหลนิ่ง นางไม่มีผลกระทบอันใดจากโลกภายนอกอีกต่อไป!

“จบเสียที!” หัตถ์โลหิตกล่าวด้วยเสียงต่ำขณะที่พุ่งไปยังสตรีชุดขาว เขาไม่ได้ใช้กระบี่โลหิตแต่กลับเตะไปที่หน้าท้องแทน เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการทำลายจุดตันเถียนของนาง

เมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงตัดอากาศจากขาของหัตถ์โลหิต นางเปิดตาออกพร้อมขว้างดาบในมือออกไป มันกลายเป็นแสงประกายเย็นเยือก ในขณะเดียวกันนางวางมือป้องกันลูกเตะของหัตถ์โลหิตไปด้วย

หัตถ์โลหิตไม่คาดคิดว่าสตรีผู้นี้ยังสามารถโจมตีได้อีก ในช่วงเวลาแห่งความประมาท ดาบพุ่งทะลุหน้าอกเขาอีกครั้ง ในอีกด้านหนึ่ง สตรีชุดขาวถูกกระแทกลอยจากแรงเตะ หลังจากกระเด็นได้สองถึงสามเมตร นางตกลงบนพื้นอย่างแรง

หยางเย่แอบดีใจทันทีที่เห็นดาบพุ่งทะลุอกของหัตถ์โลหิต แต่รอยยิ้มเขาต้องหยุดชะงัก เพราะหัตถ์โลหิตที่อกทะลุเป็นครั้งที่สามยังไม่ล้มลง เขานั่งลงไขว้ขาบนพื้นจากนั้นนำยันต์ออกมาพร้อมโยนขึ้นกลางอากาศ

หลังจากมันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ยันต์เริ่มสั่นไหวก่อนจะหายไป

ยันต์สื่อสาร! ใบหน้าหยางเย่เคร่งเครียดในทันทีเมื่อเขาเห็นยันต์นั้น ยันต์สื่อสารถูกใช้สำหรับส่งข้อความ ซึ่งยันต์สื่อสารของหัตถ์โลหิตทราบได้เลยว่าเป็นระดับกลาง มันสามารถส่งข้อความได้ในระยะสี่ร้อยกิโลเมตร นั่นคือหัตถ์โลหิตสามารถเรียกพรรคพวกในรัศมีสี่ร้อยกิโลเมตรได้!

หยางเย่ไม่ลังเลที่จะนำยันต์เสริมกำลังระดับสูงออกมาแปะที่ร่าง จากนั้นเขาดึงมีดสั้นออกมาพร้อมกระทืบพื้นอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ มันพุ่งตรงไปยังหัตถ์โลหิตที่นั่งไขว้ขาอยู่บนพื้น

เมื่อเหลือระยะเพียงสิบเมตรจากหัตถ์โลหิต เขารีบฟันมีดสั้นออกไป

“วิชาดาบแยกลมปราณ!” พลังปราณดาบทองคำถูกปล่อยออกมาจากปลายมีดสั้นในมือหยางเย่ หลังจากปล่อยปราณดาบออกไปแล้ว หยางเย่ยังไม่หยุดโจมตี เขาปล่อยปราณดาบเพิ่มไปอีกสองเส้น

“ไอ้หนู! เจ้ากล้าดียังไง!” หัตถ์โลหิตตกใจทันทีที่เห็นปราณดาบสามเส้นพุ่งมา เขายื่นมือขวาออกไปพร้อมกำมือไว้แน่น ทำให้เกราะเลือดเบาบางปรากฏออกมา มันปรากฏออกมาพร้อมกับเลือดที่ไหลชุ่มปากของเขา

ปั้ง!

ปราณพลังแรกระเบิดออกบนเกราะสีเลือด มันสั่นไหวเล็กน้อย ขณะที่เส้นที่สองลอยมาถึงเกราะสีเลือดอีกครั้ง เกราะสีเลือดได้แตกตัวออกกลางอากาศ

ดวงตาเขาตีบลงทันทีที่เห็นเกราะสีเลือดหายไป เขาไม่คาดคิดว่าสวะขั้นปราณมนุษย์จะสามารถทลายเกราะสีเลือดได้ ถึงแม้เขาจะอ่อนล้าเต็มที่ แต่สวะคนนี้อยู่เพียงขั้นปราณมนุษย์ ขั้นปราณมนุษย์เท่านั้น!

ฟู่!

ปราณดาบทองคำทะลุผ่านหน้าอกที่บาดเจ็บหนัก เสียงร้องโหยหวนดังก้องพร้อมร่างของหัตถ์โลหิตที่กระเด็นลอยไป

ทันใดที่ร่างเขากำลังกระเด็นออกไป มีอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า มีดสั้นในมือเขาฟันกวาดไปที่คอของหัตถ์โลหิต

เมื่อเห็นมีดสั้นกำลังฟันมา หัตถ์โลหิตไม่สนใจแผลที่หน้าอกอีกแล้ว เขากำหมัดแน่นชกไปที่มีดหยางเย่

ฟู่!

มีดสั้นของหยางเย่ที่เต็มไปด้วยปราณทองคำ มันตัดมือของหัตถ์โลหิตราวกับตัดผัก มันไม่รอช้าพุ่งไปยังคอของหัตถ์โลหิตต่อ

“เป็นไปได้ยัง…” ดวงตาหัตถ์โลหิตเปิดกว้างเต็มไปด้วยแววตาที่ไม่น่าเชื่อ ยังไม่ทันได้กล่าวจบ หัวที่เต็มไปด้วยโลหิตสีดำกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า

หยางเย่ไม่ให้เวลาชายผู้นี้อธิบายสิ่งใดอีก หลังจากตัดคอของหัตถ์โลหิตแล้ว หยางเย่รีบหยิบกระบี่โลหิตกับแหวนมิติในมือของหัตถ์โลหิตออกมา จากนั้นเขาวิ่งไปยังสตรีชุดขาวที่นั่งโคจรพลังอยู่บนพื้น

“พลังปราณำห้าธาตุทองคำ? ศิษย์สำนักดาบราชันงั้นหรือ?” สตรีชุดขาวมองไปที่หยางเย่ด้วยอาการประหลาดใจ นางเห็นทุกกระบวนท่าที่หยางเย่ใช้จบการต่อสู้ หยางเย่คือผู้ที่ครอบครองพลังปราณทองคำในตำนาน เขาทำลายเกราะสีเลือดด้วยตนเอง ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังเพียงสามในสิบส่วน แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ที่อยู่ขั้นปราณมนุษย์จะทำลายได้โดยง่าย!

หยางเย่ไม่ตอบคำถามใด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “หัตถ์โลหิตใช้ยันต์สื่อสารก่อนหน้านี้ กำลังเสริมกำลังรีบรุดมาอย่างแน่นอน ท่านวิ่งไหวหรือไม่?”

สตรีชุดขาวงุนงงเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางส่ายหัวพร้อมกล่าว “ไม่ ผนึกโลหิตทมิฬเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม ยามนี้การบ่มเพาะพลังของข้าถูกผนึกไว้แล้ว มีเพียงแต่ต้องกลับไปยังสำนักดาบราชันเท่านั้น…”

“ยกโทษให้ข้าด้วย!” หยางเย่ขัดจังหวะสตรีชุดขาว จากนั้นเขามองไปที่นางก่อนจะยกร่างนางขึ้นพร้อมพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เขาไม่กล้าทิ้งสตรีชุดขาวไว้ที่นี่ เพราะเขาจะอาจถูกสังหารได้หากสตรีชุดขาวบอกว่าเขาเป็นผู้สังหารหัตถ์โลหิต ถึงแม้นางดูไม่ใช่คนเช่นนั้น แต่หยางเย่ก็ไม่กล้าเอาตัวไปเสี่ยง อันที่จริงเขาสามารถปาดคอนางทิ้งได้ตรงนี้ แต่เขาก็ไม่อาจทำได้

โจมตีมาโจมตีกลับ มันคือคติของหยางเย่ หากหัตถ์โลหิตไม่ทำร้ายเขาตั้งแต่แรก หยางเย่คงหนีไปแล้ว คงไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงสังหารหัตถ์โลหิตแน่!

ขณะที่กำลังช่วยชีวิตสตรีชุดขาว นอกเหนือความกังวลว่าสตรีชุดขาวจะทรยศ นางยังเป็นคนจากสำนักดาบราชัน การมีสหายเพิ่มยังดีเสียกว่าสร้างศัตรู ยิ่งกว่านั้นสำหรับเขามันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ที่จะหนีไปคนเดียวหรือไปพร้อมกับนาง!