บทที่ 165 การเรียกพบลึกลับ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 165 การเรียกพบลึกลับ

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน

ในหนึ่งเดือน สงครามของเจ็ดเนตรโลหิตกับเผ่าสิงซากสมุทรปรากฏการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงบ่อยครั้ง แรกสุดคือการตอบโต้กลับหลายครั้งของเผ่าสิงซากสมุทรที่ไม่สามารถชิงเกาะเงือกมาได้เลยสักครั้ง

พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองเจ็ดเนตรโลหิตเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในเกาะเงือกตาปริบๆ ขณะเดียวกันก็ยังส่งข้ามอาวุทเวทมามากมายรวมถึงพันธมิตรทั้งหมด

สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรแล้ว ถือเป็นแรงคุกคามครั้งใหญ่

แต่ว่าเผ่าสิงซากสมุทรก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับชัยชนะเลย ในที่สุดหมู่เกาะไข่มุกก็ถูกพวกเขาตีแตกจนได้ด้วยการจัดทัพวางกลยุทธ์เพื่อลงมือของพวกเขา จัดการยึดครองเป็นจุดสั่งการไปเรียบร้อย

ลูกกลอนต้องห้ามทั้งหมดที่เจ็ดเนตรโลหิตฝังไว้ก็ถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงซากสมุทรชิงไปจนหมด ยิ่งไปกว่านั้นก็ทำการค้นหาทั้งหมู่เกาะไข่มุกล้วนอย่างละเอียดอีกหลายครั้ง เมื่อยืนยันว่าไม่มีกับดักใดถึงได้วางใจ

สิ่งนี้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรถือเป็นชัยชนะในด้านกลยุทธ์ แต่สำหรับเจ็ดเนตรโลหิตก็เทียบเท่ากับปรากฏช่องโหว่ในพื้นที่ใกล้เคียงขึ้นมาเสียแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นช่องโหว่นี้ยังร้ายแรงถึงชีวิตด้วย จนทำให้ช่วงเวลาครึ่งเดือนกว่านี้เจ็ดเนตรโลหิตเหมือนเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างมาก มีการถูกโจมตีหน้าหลังถึงสองครั้งจนเกือบจะสูญเสียเกาะเงือกไป

กระทั่งเจ้ายอดเขาลำดับสาม ยังถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงซากสมุทรจำนวนมากลอบโจมตีมาครั้งหนึ่งจนเกือบจะดับสูญ แต่ใช้สิ่งประหลาดมาตายแทน ถึงเจ็บหนักก็หนีมาได้

และยังมีเจ้ายอดเขาลำดับหกก็ถูกลอบโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

ส่วนผู้อาวุโสหลอมตันเถียนก็มีสิบกว่าคนที่เกือบจะตาย เรื่องนี้ทำลายขวัญกำลังใจของทหารเจ็ดเนตรโลหิตอย่างมาก ชั่วขณะหนึ่งจำนวนคนที่เข้าร่วมภารกิจก็ลดลงฮวบฮาบ

และอันที่จริงนี่ก็เป็นข้อเสียของกฎเกณฑ์เจ็ดเนตรโลหิต เมื่ออยู่เหนือลมก็ราวกับเป็นหมาป่าเป็นพยัคฆ์ แต่พออยู่ใต้ลมใจคนกลับแตกสลายลงอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นยังยากจะดึงกลับอีกด้วย

และในตอนที่เผ่าสิงซากสมุทรเพิ่มกับดักมากขึ้นในหมู่เกาะไข่มุก การโต้กลับของเจ็ดเนตรโลหิตก็มาถึง

นั่นเป็นช่วงกลางดึกก่อนจะถึงครึ่งเดือน สวี่ชิงที่เพิ่งเสร็จภารกิจเล็กกลับมาพักผ่อนที่เกาะหมีเอ้อ ก็เห็นกับตาว่าบนผืนทะเลปรากฏยอดเขาขึ้นหลายลูกจากเสียงครืนครันลั่นฟ้าสะเทือนดิน

ภูเขาเหล่านี้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ค่อยๆ กลายเป็นทิวเขาขนาดมโหฬาร

และ ทิวเขาเทือกนี้ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาจากการพัดเกลียวของทะเล ดูเหมือนกลายเป็นแผ่นหลัง…

สวี่ชิงควบคุมอสูรคอยาวบรรพกาลทะเลต้องห้าม ก็มองเห็นว่าใต้ทะเลมีอสูรขนาดยักษ์อยู่ตัวหนึ่งอย่างตกตะลึง

อสูรยักษ์ตัวนี้ สวี่ชิงรู้สึกคุ้นๆ เพียงไม่นานก็จำได้ นั่นคือ…กิ้งก่าทะเล!

เทือกเขาที่ปรากฏขึ้นมา คือแผ่นหลังของกิ้งก่าทะเลนั่นเอง!

ใหญ่โตมโหฬาร พลังแสนน่าตกตะลึง เมื่อเทียบร่างกายของมันกับหมู่เกาะไข่มุกก็ราวกับเป็นมดปลวกอย่างไรอย่างนั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง

กิ้งก่าทะเลตัวนี้เพียงแค่มาพลิกตัวเล็กน้อย หมู่เกาะไข่มุกก็ย่อยยับจนหมด พังทลายเสียงดังครืนครัน

หลังจากพังราบเป็นหน้ากลอง กิ้งก่าทะเลที่เผยแค่แผ่นหลังมาโดยตลอดก็ค่อยๆ จากไป

การลงมือของกิ้งก่าทะเลครั้งนี้ทำให้เผ่าสิงซากสมุทรทั้งหมดตกตะลึงพรั่นพรึงถึงขีดสุด ตัวตนนี้…มันเกินไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เจ็ดเนตรโลหิตจะไปขอความช่วยเหลือได้ง่ายๆ เลย

แต่มันก็ยังปรากฏตัวออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายยังชัดเจนมาก ว่าคือหมู่เกาะไข่มุก

สวี่ชิงเองก็ตกตะลึงกับเรื่องนี้เช่นกัน และเจ็ดเนตรโลหิตจึงประกาศคำตอบออกมาเพื่อจะยกระดับขวัญทหารขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทั่งในคำตอบนี้ยังเปิดเผยถึงพลังส่วนหนึ่งของเจ้ายอดเขาลำดับสี่ออกมาอย่างไม่เสียดายด้วยซ้ำ

ระหว่างที่ประกาศก็บอกกับศิษย์ทั้งหมดว่าการลงมือของกิ้งก่าทะเลครั้งนี้คือคุณงามความดีของยอดเขาลำดับสี่ เจ้ายอดเขาลำดับสี่เคยสานสัมพันธ์กับกิ้งก่ายักษ์ตนนี้หลายปีก่อนหน้า ครั้งนี้จึงเชิญมันให้ช่วยลงมือทำลายหมู่เกาะไข่มุกทิ้ง

ขณะเดียวกันก็บอกกับเหล่าศิษย์ด้วยว่าเรื่องนี้นัดแนะไว้นานแล้ว กับดักทั้งหมดบนหมู่เกาะไข่มุกก่อนหน้านี้เป็นเพียงการอำพราง เป้าหมายก็คือให้เผ่าสิงซากสมุทรเข้ามาโจมตี ลูกกลอนต้องห้ามที่อยู่บนนั้นก็แค่นำมาล่อเพียงเท่านั้น

ทั้งหมู่เกาะไข่มุกก็เป็นหนึ่งกับดักขนาดยักษ์ที่เตรียมไว้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทร

เรื่องนี้ทำให้ขวัญทหารของเจ็ดเนตรโลหิตเพิ่มพูนขึ้นในพริบตา แต่คนของเจ็ดเนตรโลหิตเองก็ไม่ใช่คนโง่ ในเผ่าสิงซากสมุทรเองก็มีคนที่มีความคิดล้ำลึกอยู่ด้วย พอลองวิเคราะห์ดู บางทีคำพูดของระดับสูงเจ็ดเนตรโลหิตคงถูกต้อง แต่ก็ถูกเพียงบางส่วนเท่านั้น

ถ้าหากเจ้ายอดเขาลำดับสี่สามารถให้กิ้งก่าทะเลมาช่วยได้จริง เป้าหมายไม่จำเป็นต้องมาที่หมู่เกาะไข่มุก เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นเกาะคุ้มครองหรือเกาะหลักเผ่าสิงซากสมุทรก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

ดังนั้นความจริงของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรก็ล้วนคาดเดาต่างกันไป และมีคนรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับบรรพจารย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต

ความจริงจะเป็นอย่างไร คนอื่นไม่มีทางล่วงรู้นอกจากระดับสูงของเจ็ดเนตรโลหิต

แต่ความจริงก็เกิดขึ้นไปแล้ว หมู่เกาะไข่มุกไม่มีอยู่อีก เผ่าสิงซากสมุทรเสียหายไปไม่น้อยเลย

ขณะเดียวกันเจ็ดเนตรโลหิตก็ฉวยโอกาศการสูญเสียครั้งนี้ของเผ่าสิงซากสมุทรเปิดฉากการโจมตี ทลายวงล้อมของเผ่าสิงซากสมุทรต่อเกาะเงือกและยังเป่าแตรศึกตัดสินครั้งแรกขึ้นมาด้วย

กองทหารใหญ่เผ่าสิงซากสมุทรเล็กลงต่อเนื่องจากเจ็บหนัก ต่อต้านไม่หยุดหย่อน ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง และเจ็ดเนตรโลหิตก็ออกไล่ล่าสังหารอย่างสุดกำลัง ทำลายแนวป้องกันออกทีละชั้น โยกย้ายสนามรบจากบริเวณใกล้ๆ เกาะเงือกดันออกไปยังริมขอบขั้วอำนาจของเผ่าสิงซากสมุทร

ห่างจากเกาะแผ่นดินหลักของเผ่าสิงซากสมุทรก็มีเพียงเกาะคุ้มครองคั่นกลางอยู่เจ็ดเกาะเท่านั้น นั่นคือแนวป้องกันสุดท้ายของเผ่าสิงซากสมุทร

ระยะทางใกล้แค่นี้ เผ่าสิงซากสมุทรจึงยิ่งกดดันมากกว่าเดิม เกิดการคุมเชิงขึ้นในสงครามเวลานี้จากการโต้กลับที่ดื้อรั้นของเผ่าสิงซากสมุทร

กระทั่งเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาทั้งสองฝ่าย แต่ทางฝั่งเผ่าสิงซากสมุทรมีมากกว่า

แต่การบาดเจ็บล้มตายของเจ็ดเนตรโลหิตก็ตกตะลึงเหมือนกัน ดังนั้นจึงมีคนที่ยื่นขอถอนตัวจากสงครามเป็นชุดแรก เจ็ดเนตรโลหิตไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ ขอแค่สอดคล้องกับเงื่อนไข ล้วนยินยอมให้ถอนตัวทั้งสิ้น

เพียงแต่ขณะที่เห็นด้วยกับการถอนตัว เจ็ดเนตรโลหิตก็มอบรางวัลในสงครามนี้มากขึ้น กระทั่งรางวัลอย่างโอกาสหลอมตันเถียนชุดแรกก็ยังนำออกมา

นอกจากนี้ยังปล่อยไม้ตายออกมาอีกสองอย่าง อย่างแรกคือเจ็ดเนตรโลหิตปล่อยรายชื่อการใช้งานของวิเศษเวทมาอีกห้าสิบรายชื่อ ศิษย์ที่สะสมผลงานในสงครามห้าสิบอันดับแรก ทุกคนจะมีคุณสมบัติในการหยิบยืมภาพสะท้อนของวิเศษเวทขุมพลังของสำนักหนึ่งครั้ง

ของวิเศษเวทนั่นเป็นสิ่งของในตำนาน พลานุภาพของทุกชิ้นสั่นฟ้าสะเทือนดินเหนือจินตนาการ ทั้งเจ็ดเนตรโลหิตเองก็มีเพียงชิ้นเดียว

ดังนั้นต่อให้แค่เป็นภาพสะท้อนมา พลานุภาพเองก็ยังสั่นสะเทือนจิตวิญญาณ

ข้อมูลนี้สั่นสะเทือนศิษย์ที่เข้าร่วมสงครามทั้งหมดทันที และไม้ตายที่สองที่สั่นสะเทือนยิ่งกว่า นั่นก็คือ…บรรพจารย์จะรับศิษย์!

หลังจากจบสงครามครั้งนี้บรรพจารย์เจ็ดเนตรโลหิตจะรับสร้างฐานสิบคนเป็นศิษย์สายใน รวมไปถึงหลอมตันเถียนอีกสามคนจะกลายเป็นศิษย์สายตรงที่ได้สืบสอบวิชา!

การเลือกศิษย์จะคำนวณจากระดับการสำเร็จภารกิจกับการสังหารเผ่าสิงซากสมุทร

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตส่วนใหญ่ก็สั่นสะเทือน กระทั่งคนบางส่วนที่เดิมทีจะถอนตัวก็ยังล้มเลิก เลือกอยู่ต่อในสนามรบต่อ

เพราะบรรพจารย์เจ็ดเนตรโลหิตไม่ได้รับศิษย์มาแล้วหลายปี และการที่ชายชราที่พลังบำเพ็ญทะลวงขั้นไปแล้วจะรับศิษย์ครั้งนี้ จินตนาการได้เลยว่าถ้าถูกเลือกแล้ว ไม่ว่าจะสถานะหรือผลประโยชน์ก็จะไปถึงระดับที่สูงสุดกู่เลยทีเดียว

ถ้าหากสามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้ ก็เหมือนปลากระโจนเข้าประตูมังกรเลยทีเดียว ฐานะเป็นรองแค่เจ้ายอดเขาเท่านั้น ก้าวข้ามผู้อาวุโสไปแล้ว

ส่วนเรื่องผู้สืบทอด…แค่คิดๆ ก็สามารถทำให้คนหายใจหอบถี่ตาร้อนฉ่ากันแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญสร้างฐานเลย ต่อให้เหล่าหลอมตันเถียนของแต่ละยอดเขาก็ล้วนหวั่นไหวกันหมด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าในสำนักจะมีช่วงเวลาเช่นนี้ ปล่อยเรื่องล่อตาล่อใจเช่นนี้ออกมา

จากเรื่องนี้ก็มองออกว่าสงครามครั้งนี้เจ็ดเนตรโลหิตจะจัดการเผ่าสิงซากสมุทรให้ได้เลยจริงๆ

สวี่ชิงเองก็หวั่นไหวไม่น้อย แต่ก็สะกดความคิดในใจลงอย่างรวดเร็ว จากที่เขาเห็นแม้จะล่อตาล่อใจมาก แต่เขารู้ว่าผู้แข็งแกร่งในสำนักมีอยู่มากมาย ในกลุ่มสร้างฐานตนเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ละยอดเขาก็ล้วนมีผู้บำเพ็ญที่จุดไฟชีวิตสามดวงแล้วทั้งนั้น

มีคนเหล่านี้อยู่ หากตนเองคิดจะแย่งชิงต่อให้เอาเป็นเอาตายแค่เพียงใดก็ยังลำบากมาก

แต่รายชื่อของวิเศษเวทห้าสิบรายชื่อนั่น สวี่ชิงมองอันดับตนเอง เขารู้สึกว่ายังพอเอามาได้

ถึงอย่างไรการสะสมผลงานในสงครามนี้แม้จะแตกต่างกับผลการรบ เป็นการจัดอันดับแบบรวม ขณะที่รวมเอาภารกิจและการสังหารเข้าด้วยกันแล้ว คุณภาพของแต่ละภารกิจเองก็ยังมีความต้องการที่สูงอีกด้วย

แต่เนื่องจากการรับภารกิจและเพิ่มผลงานเป็นบ้าเป็นหลังก่อนหน้านี้ของสวี่ชิง ดังนั้นอันดับชื่อจึงไม่ต่ำเลย

“เจ็ดสิบสาม…” สวี่ชิงพึมพำ หันไปรับภารกิจต่อ

และเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือนเช่นนี้ การจัดอันดับของสวี่ชิงก็ยกระดับขึ้นตามภารกิจที่เขารับและการสังหาร ขึ้นมาจนถึงอันดับที่ห้าสิบเก้า

ช่องเวทของเขาเองก็เปิดมากยิ่งขึ้นในการสังหารเผ่าสิงซากสมุทร เพิ่มมาเป็นสี่สิบสี่ช่อง

ยิ่งไปเพิ่มไปถึงช่วงหลัง วิญญาณที่เขาต้องการก็ยิ่งมากขึ้น

และตอนที่เขามารับภารกิจที่นี่บ่อย สวี่ชิงที่เพิ่งจะรับภารกิจกองหนุนมาหมาดๆ วันนี้จู่ๆ ในป้ายฐานะของเขาก็ปรากฏคำสั่งเรียกพบเขาโดยเฉพาะขึ้นมาท่ามกลางภารกิจมากมาย! ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

การปรากฏของคำสั่งนี้เห็นได้ชัดว่ามีสิทธิ์อำนาจสูงลิบ กระทั่งลบเอาภารกิจทั้งหมดบนป้ายฐานะของสวี่ชิงออก จนเหลือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

กระทั่งภารกิจที่เขาเพิ่งรับเมื่อครู่ และมอบสัญลักษณ์ว่าเสร็จสิ้นแล้วเรียบร้อย จนทำให้เขาได้รับรางวัลโดยไม่ต้องออกแรงเลย

“สวี่ชิงศิษย์สร้างฐานยอดเขาลำดับเจ็ด ตรงมายังกระโจมกรมสั่งการบนเกาะจวีอิงทันที รองเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดเรียกพบ!”

เมื่อเห็นข้อมูลนี้ สวี่ชิงก็ชะงัก หลังจากครุ่นคิดไปครู่หนึ่งในใจเขาก็มีการคาดเดาและอารมณ์มากมายปรากฏขึ้นมา แต่ก็ล้วนไม่มีต้นสายปลายเหตุ เขาไม่รู้จักรองเจ้ายอดเขาคนนี้ กระทั่งยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเสียด้วยซ้ำ

แต่ข้อมูลบนป้ายฐานะนี้ถูกต้อง กระทั่งตอนที่สวี่ชิงครุ่นคิด ข้อมูลนี้ก็ยังปรากฏขึ้นอีกหลายครั้ง และผนึกป้ายฐานะเขาเอาไว้ จนทำให้เขาไม่สามารถรรับภารกิจต่อได้อีก

ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงพิจารณา ร่างกายก็กระโจนลอยขึ้น พุ่งตรงไปยังเกาะจวีอิง

ด้วยความเร็วของเขา แม้จะยังไม่ได้เปิดสภาวะแสงนภา แต่ก็ยังคงรวดเร็ว เพียงไม่นานสวี่ชิงก็มาถึงเกาะจวีอิง ตรงไปยังตำแหน่งดวงตาขนาดยักษ์บนพื้นที่ใจกลางเกาะจวีอิง

ที่นี่คือตำแหน่งใจกลางของกรมสั่งการแนวหน้าบนเกาะเงือกของเจ็ดเนตรโลหิต

ปกติแล้วศิษย์ถ้าไม่ได้รับการเรียกหาจะเข้ามาใกล้ที่นี่ไม่ได้ ถือเป็นสถานที่ที่ลับที่สุด

เวลานี้มีพลังความเป็นเทพที่น่ากลัวหลายสายเพ่งมายังตัวเขาทันควันจากการเข้าใกล้ของสวี่ชิง

กระทั่งดวงตายักษ์นั่นก็ยังกวาดสายตามาบนตัวเขา

สวี่ชิงไม่เดินหน้าต่อ ล้วงเอาป้ายฐานะออกมา เอ่ยขึ้นเสียงขรึม

“ศิษย์สวี่ชิง ได้รับคำสั่งเรียกพบจากรองเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ด จึงเข้ามาคารวะ”

ป้ายฐานะส่องแสงสว่างจ้าจากการเอ่ยขึ้นของเขา ดวงตาบนพื้นกระพริบอย่างรวดเร็วสามครั้ง พลังส่งข้ามวูบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นรอบตัวสวี่ชิง ยังไม่ทันได้ตอบสนองร่างของเขาก็หายไปแล้ว

จนกระทั่งสวี่ชิงถูกส่งข้ามไป พลังความเป็นเทพรอบๆ จึงจางลง

และตอนนี้ ด้านในของตาดวงนี้ เบื้องหน้าตำหนักใหญ่โตแห่งหนึ่ง ร่างของสวี่ชิงถูกย้ายเข้ามาในพริบตา

ตอนปรากฏตัวเขาก็มองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว และพริบตาต่อมา เสียงหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังแว่วแผ่วเบามาจากด้านหลังของเขา

“เจ้า คือสวี่ชิงหรือ”