บทที่ 130 ความสิ้นหวัง(ปลาย)
ซูอัน หลับตาลงในขณะที่เขาเพลิดเพลินกับเสียงเชียร์ของฝูงชน สิ่งที่เขาขาดตอนนี้คือ BGM (background music=ดนตรีประกอบฉาก) ที่เหมาะสมเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์อันเฉิดฉายของเขา
ในทางกลับกัน คิ้วของ เหมยเชาฟง เริ่มกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะจัดการ ซูอัน อย่างไร เพราะจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ชนะโดยความบังเอิญแน่นอน
หากชายผู้นี้เกิดสอนนักพนันทั้งหลายจริง ๆ มันจะสร้างความเสียหายในบ่อนอื่น ๆ ของเขาอย่างใหญ่หลวง ซึ่งนั่นจะทำให้แหล่งรายได้ของสำนักเขาถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง อย่างไรเสีย ทางเลือกการจ่ายเงินมันก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ต้องรู้ว่านี่คือ 7,500,000 ตำลึงเงิน ไม่ใช่ 75,000!
ทันใดนั้น เขาก็พบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในความลังเลใจ แต่แล้วในตอนนั้นเองที่ความโกลาหลเกิดขึ้นที่ประตูทางเข้า
“หลีกทางไป หลีกทางไป!”
กองทหารนับสิบบุกเข้ามา และคนที่นำกองทหารเหล่านี้มาก็คือชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีทอง ชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างผอมเพรียวสมส่วนและมีใบหน้าที่หล่อเหลา ซึ่งเมื่อรวมกับชุดเกราะที่เปล่งประกายมันจึงทำให้เขาดูสะดุดตามากยิ่งขึ้น
“ว้าว หล่อจัง!” สาว ๆ ในละแวกนั้นกระซิบกระซาบกันยกใหญ่ซูอัน รู้สึกไม่พอใจทันทีที่ฝูงชนกลับไปให้ความสนใจกับผู้ที่มาใหม่มากกว่าเขา ไอ้นี่มันก็แค่ใส่เกราะที่ดูดีหน่อยไม่ใช่หรือไง? พวกผู้หญิงเหล่านี้ทำไมถึงได้อ่อนไหวง่ายกันจังนะ? เขาแอบมองที่ ฉู่ชูเหยียน และเมื่อเห็นว่าคนข้างๆเขาดูไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ใครเป็นคนสร้างปัญหาที่นี่!” ผู้นำกองทหารหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วบริเวณก่อนจะจับจ้องมาที่ ซูอัน ในที่สุด
“มองข้าเพื่ออะไร? เจ้าอิจฉาที่ข้าดูดีกว่าเจ้าเหรอไง?” ซูอัน ตอบกลับด้วยสีหน้ารำคาญใจเขารู้ได้ทันทีว่าไอ้คนผู้นี้มีจงใจพุ่งเป้ามาที่เขาแต่แรกแน่นอนเพราะตั้งแต่มันเข้ามา มันก็เหล่ตามองเขาอยู่ตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ท่านยั่วยุ ซ่างเชียน สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +100!
แซ่ซ่าง? อืม….ช่างเป็นแซ่ที่หายากจริงๆ ซูอัน คิดกับตัวเอง
ผู้นำกองทหารหนุ่มกำลังจะสอบปากคำ ซูอัน อยู่พอดีแต่แล้วเมื่อจู่ ๆ ฝั่งตรงข้ามกลับแสดงท่าทีไม่ยี่หระต่อเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นมันทำให้แผนการของเขาผิดไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จนทำให้เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร โชคดีสำหรับเขาที่ เหมยเชาฟง รีบวิ่งเข้ามาหาพอดี “ผู้บัญชาการซ่าง ท่านมาได้เวลาเหมาะพอดีเลย ไอ้คนผู้นั้นมันได้ทำการฉ้อโกงในบ่อนของข้าและพอข้าเผชิญหน้ากับมัน มันกลับขู่ข้าว่าจะพานักพนันคนอื่นๆไปทำลายบ่อนอื่นๆของข้าต่ออีก!”
ฝูงชนต่างตกตะลึงกันจนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกเรารู้กันหมดว่าเจ้ามันเป็นคนชั่ว แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องชั่วถึงขนาดนี้ก็ได้มั้ง? นี่เจ้าคิดจะใส่ความทำให้พวกข้าทุกคนหัวขาดกันหมดเลยงั้นเหรอ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ก้าวออกมาพูดแก้ต่างให้ ซูอัน ทุกคนในที่นี่ต่างรู้ดีว่าโลกที่พวกเขาอยู่หลายๆครั้งเหตุผลความจริงมันช่างไร้ค่า ดังนั้น จนกว่าจะเป็นที่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้ได้เปรียบ ทางที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาคือยังไม่ขอยุ่งเกี่ยวในตอนนี้ดีที่สุด
ถึงแม้ว่าเงินที่พวกเขาอาจจะได้จากวิธีชนะบ่อนของ ซูอัน มันจะน่าดึงดูด แต่มันคงไร้ค่า หากพวกเขาถูกฆ่าตายก่อนที่พวกเขาจะได้เงินจริงไหม?
ผู้นำกองทหารหนุ่มที่ชื่อ ซ่างเชียน ก้าวออกมาข้างหน้าทันทีและตะโกนว่า “เจ้ารู้ไหมว่าอาชญากรรมของการฉ้อโกงคืออะไร? อ้อ จริงสิเขาฉ้อโกงเจ้าไปมากแค่ไหน?
“7,500,000 ตำลึงเงิน” เหมยเชาฟงตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
“7,500,000 ตำลึงเงิน?” ซ่างเชียน สะดุ้งเมื่อได้ยินจำนวนเงินนี้
นี่พวกเจ้าเดิมพันบ้าอะไรกันถึงได้ติดหนี้กันมากมายขนาดนี้?? แม้แต่ในคลังหลวงเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ยังนับได้ว่าเป็นเงินก้อนใหญ่เลยด้วยซ้ำ!
ด้วยความคิดเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็วาวโรจน์ขึ้นด้วยความตื่นเต้น “อาชญากรรมในการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมหาศาลมีโทษจำคุกอย่างน้อย 3 ถึง 10 ปี แต่ถ้าหากเป็รกรณีที่เหตุการณ์รุนแรงเป็นพิเศษโทษที่ได้รับก็อาจจะเกิน 10 ปีได้เช่นกัน ซึ่งในกรณีนี้ที่เป็นเงินมากถึง 7,500,000 ตำลึงเงิน โทษที่เจ้าได้รับมันก็น่าจะเพียงพอให้เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตในคุก! ซูอัน กลอกตาไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับ ซ่างเชียน เลย เขาหันไปหา ฉู่ชูเหยียน และถามว่า “ที่รัก ไอ้คนผู้นี้มันเป็นใคร? ทำไมมันถึงตัดสินโทษข้าทันทีโดยไม่ไต่สวนอะไรเลยหลังจากได้ยินคำพูดของตาแก่เหมย ทำไมเขาถึงทำตัวเหมือนว่าได้รับส่วยจากสำนักดอกบ๊วยมาแบบนี้?”
คำพูดนี้จุดประกายความโกลาหลในฝูงชน
ริมฝีปากของ ฉู่ชูเหยียน ขยับขึ้นเล็กน้อยขณะที่นางอธิบาย “ผู้บัญชาการซ่าง เป็นลูกชายของอดีตผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงการคลัง ซ่างหง ซึ่งในตอนนี้ถูกย้ายมาเป็นผู้ตรวจการคนใหม่ของมณฑลหลิงฉวนของเรา ซึ่งมันจะดีที่สุดหากเจ้าสุภาพกับเขาสักหน่อย”
ซ่างเชียน โค้งคำนับเล็กน้อยให้กับ ฉู่ชูเหยียน และพูดว่า “คุณหนูฉู่ ท่านสุภาพกับ ข้าเกินไปแล้ว นับจากนี้มันคงมีงานหลายอย่างที่ข้าคงต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลฉู่ของท่านเช่นกัน” ไม่มีใครสามารถต้านทานความงามในระดับของ ฉู่ชูเหยียน ได้ แม้ว่าเขากับพ่อจะถูกส่งมาที่นี่เพื่อจัดการกับตระกูลฉู่ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่อยากจะแสดงด้านที่ดีที่สุดของเขา ต่อนาง
แต่ในขณะที่ซางเฉียงรู้สึกดีเกี่ยวกับมารยาทที่ไร้ที่ติของเขา เสียงที่ฟังดูแสลงหูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ “ชิ~ ข้าก็หลงนึกว่าเป็นคนมีความสามารถ ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่าเจ้าก็เป็นคนที่พึ่งพาเส้นสายเหมือนข้า โธ่เอ้ย”
ซ่างเชียน เกือบสำลักลมหายใจของตัวเองเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาอาจไม่เคยพบซูอันมาก่อน แต่ไม่มีทางที่เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับลูกเขยผู้มีชื่อเสียงของตระกูลฉู่ ไอ้ขยะตัวนี้เป็นแค่ตัวตลกสำหรับผู้คนทั่วไปเท่านั้น แต่ตอนนี้มันกลับพูดจาดูหมิ่นเขาซึ่งหน้าๆโดยไม่เกรงกลัวอะไรเลย! เขารู้สึกว่านี่เป็นความอัปยศอย่างยิ่ง!
ท่านยั่วยุ ซ่างเชียน สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +300!
เหมยเชาฟง เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ต้องรู้ว่า ซ่างเชียน มีภูมิหลังที่สูงส่งมาก บิดาของเขาเป็นขุนนางใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง มีอำนาจเหนือผู้คนมากมายในอาณาจักร
ในทางกลับกัน ซูอัน ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านักเลงที่โชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉู่นี่เจ้ากล้าอ้างว่ามีตระกูลฉู่หนุนหลังทั้ง ๆ ที่สถานะในตระกูลของเจ้าต่ำต้อยยิ่งกว่าคนรับใช้เนี่ยนะ? ต้องไร้ยางอายสักเพียงไหนถึงจะกล้าเอ่ยพูดคำเช่นนี้? เจ้านี่มันที่สุดของความไร้ยางอายแล้วจริงๆ!
ท่านยั่วยุ เหมยเชาฟง สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +300!
ซูอัน รู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาดูถูก ซ่างเชียน แต่คนที่โกรธกลับกลายเป็น เหมยเชาฟง แทน ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวดองกันอย่างลึกซึ้งแน่นอน
ในขณะเดียวกัน ฉู่ชูเหยียน มองไปที่ดวงตาที่กำลังโกรธจัดของ ซ่างเชียน และหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ในที่สุดโลกก็ได้เห็นความไร้ยางอายของ ซูอัน จากนั้นนางกระแอมในลำคอและกล่าวว่า “นายน้อยซ่าง ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านเป็นเพียงผู้บัญชาการของหน่วยลาดตระเวนลำน้ำ ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีความในเมือง ฉะนั้นข้าคิดว่ามันคงดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่ท่านจะมาตัดสินเรื่องนี้ที่นี่”