หากจะกล่าวว่าห้าทวีปสิบแผ่นดินนี้ แผ่นดินใดรุ่งเรืองที่สุด เหนือขึ้นไปตั้งแต่ขุนนางราชวงศ์ลงมาจนระดับราษฎร ไม่มีใครไม่รู้ ไม่มีใครไม่เห็น ย่อมต้องเป็นแผ่นดินต้าซื่อ

ในเวลาแปดปี พัฒนาจากแคว้นเล็กจนมากลายเป็นแผ่นดินเอกเทศที่มีพื้นที่หนึ่งในหกของแผ่นดินต้าหุ้ยตอนนี้

ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ แผ่นดินนี้มีเขาต้าซื่อเป็นศูนย์กลาง เรียงลำดับล้อมภูเขาไป ได้แก่ ฝานลั่ว เหอหยวน ซินซื่อ และซีโหลว

ฝานลั่วก็คือเมืองหลวงต้าซื่อ เป็นศูนย์กลางการปกครอง

ระบบการปกครองก็กำหนดจากฝานลั่วอันเป็นศูนย์กลาง ทุกเทศกาลก็จะจัดกันที่ลานจตุรัสที่ใหญ่สุดในฝานลั่ว

ที่นี่ยังมีสถานศึกษาที่เป็นระบบและใหญ่ที่สุดของต้าซื่อ มีโรงหมอครบวงจรที่ใหญ่ที่สุด…

เหอหยวนก็เป็นรากฐานต้าซื่อ กิจการขนาดใหญ่ล้วนเป็นแผนงานของเหอหยวน จากนั้นค่อยกระจายออกไปยังแต่ละพื้นที่ของต้าซื่อ และยังแผ่เข้าไปยังแผ่นดินอื่นด้วย

เส้นทางหลวงกว้าง รถม้าสี่คันวิ่งได้สองสาย จากฝานลั่วไปเหอหยวน แทบเป็นแหล่งรวมของกิจการสำคัญทั้งหมดของต้าซื่อ ไม่ว่าจะเป็นโรงอาหารดอง โรงทอผ้า โรงเครื่องหอม โรงเครื่องสลักไม้ โรงเครื่องเรือน โรงเครื่องเหล็ก…สินค้าของเหอหยวนที่มีชื่อเสียงไปทั่วห้าทวีปสิบแผ่นดิน ยังมีกิจการเล็กๆ อีกมากมาย

ซินซื่อกับซีโหลวเป็นเมืองที่พัฒนาขึ้นเมื่อหกปีก่อน ที่นี่เดิมเป็นที่รกร้าง เป็นพื้นที่ป่าเถื่อนทางใต้ที่แผ่นดินต้าหุ้ยไม่ให้ความสนใจ ไม่รู้เหตุใดจึงมารวมเข้ากับต้าซื่อ บุกเบิกมาสองปี ก่อสร้างมาสี่ปี ปีนี้เพิ่งจะเผยโฉมหน้าต่อชาวโลก

ซินซื่อเป็นเมืองเล็กที่เป็นแหล่งที่อยู่ของชาวบ้านและพ่อค้า วางโครงสร้างคล้ายกับฝานลั่ว เพราะซินซื่อสร้างเส้นทางหลวงลงใต้เชื่อมตะวันออกตะวันตก ไปตามเส้นทางก็จะมีโรงเตี๊ยม ร้านอาหาร โรงอาบน้ำ ร้านของชำ…ด้านหลังร้านค้าก็จะเป็นเรือนเล็กประณีตที่ปลูกต้นไม้เขียวชอุ่ม เป็นที่พักสร้างใหม่ของชาวเมืองฝานลั่วกับบรรดาพ่อค้าที่เตรียมมาลงทุนทำการค้า

การสร้างที่พักใหม่ส่วนกลางแค่จัดสรรวัตถุดิบในการก่อสร้าง ที่เหลือทุกคนลงมือสร้างใหม่กันเอง สำหรับบ้านเก่าในฝานลั่วก็คืนกลับเป็นของแผ่นดิน ไว้รื้อสร้างใหม่แล้วก็จะเป็นที่พักชาวบ้านหรือสถานที่สาธารณะอื่น

ซีโหลวเป็นเมืองเล็กที่มีความแปลกใหม่ต่างจากที่อื่น นอกจากใกล้กับพื้นที่บุกเบิกใหม่ใกล้เขาต้าซื่อ มีพื้นที่การเกษตรตั้งเป็นโรงบ้าน ยังมีเรือนพักที่เป็นแบบสวนดอกไม้สองชั้นที่ล้วนไว้ทำการค้าได้ตั้งอยู่บนถนนเขตการค้าใจกลางที่พัก ร้านค้ากิจการใหญ่ล้วนเป็นของทางการ เช่นว่าโรงแรมที่พักที่รวมเอาร้านอาหารกับโรงเตี๊ยมเข้าเป็นพื้นที่เดียวกัน เช่นแหล่งการค้าครบวงจรที่มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย

พ่อค้าต่างเมืองที่ผ่านมามากมายก็ล้วนชอบมาซื้อหาของขวัญกันที่นี่ บ้างก็หาพ่อค้ารายใหญ่ซื้อแบบราคาส่ง นำกลับไปขายที่แผ่นดินพวกเขา ผู้ใดล้วนรู้ว่าผลิตภัณฑ์จักสานด้วยไม้ไผ่ ไม้แกะสลัก เครื่องหอม สิ่งทอของต้าซื่อ ล้วนเป็นสินค้าชั้นดีราคาย่อมเยา

เนื่องจากเส้นทางหลวงลงใต้ไปอีกสองสามร้อยลี้ก็คือทะเลกว้าง ดังนั้นพื้นที่ซีโหลวที่ติดทะเล ตอนนี้ก็เป็นพื้นที่ตั้งโรงผลิต ฮ่องเต้ต้าซื่อเตรียมจะลงทุนใหญ่เพื่อต่อเรือออกทะเลในอีกห้าปีนี้

เทศกาลตวนอู่ทุกปี ต้าซื่อจะคึกคักอย่างมาก บางทีอาจเพราะเริ่มกิจกรรมทางการเกษตร ประกาศผลผลิตล่วงหน้า แต่ละครอบครัวต่างให้ความสำคัญกับเทศกาลตวนอู่มาก

ลานจัตุรัสยังจัดเตรียมแสดงงิ้วใหญ่สามวันติดกัน กินบะจ่าง แข่งเรือมังกร และกิจกรรมอะไรก็ตามที่ทำให้ประชาชนเกิดความครึกครื้นรื่นเริงกันทั่วแผ่นดิน

……

ณ เหอหยวน

ห้องครัวใหญ่ยังคงมีคนมาออกันอยู่เต็มห้อง ร่วมกันห่อบะจ่าง คุยสัพเพเหระ แลกเปลี่ยนข่าวคราวกันและกัน

“น้าฟาง คุณชายน้อยมาหาเจ้าไหม” ซิ่นจือเบียดตัวเข้ามาหน้าเตาตะโกนถามเสียงดังอย่างร้อนใจ

“คุณชายน้อย? เปล่านะ วันนี้ข้าห่อและต้มบะจ่างทั้งวัน แทบไม่ออกจากห้องครัวเลย” นางฟางห่อบะจ่างอย่างคล่องแคล่วพลางโยนลงหม้อต้มไปตอบไป

“แย่แล้ว คุณชายน้อยไม่รู้ไปไหน ฮูหยินกำลังหาเขาอยู่”

“ไปชุ่ยอวี้ไจหรือเปล่า” นางฟางเงียบไปก่อนจะเดาขึ้น “ก่อนหน้าได้ยินเขาบอกว่าจะไปหาพ่อครัวใหญ่อู่ชิ่นไจมาเป็นอาจารย์ไม่ใช่หรือ”

“โอย เป็นไปได้ ขอบคุณน้าฟาง” ซิ่นจือได้ยินก็รีบยกกระโปรงออกวิ่งไปทางเรือนตระกูลหลิน หากไปฝากตัวเรียนวิชาการทำอาหารจริง นายท่านรู้เข้าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

ไม่สนใจละ ไปตามคุณชายน้อยกลับมาก่อนค่อยว่ากัน

“พี่ซิ่นจือ? ทำไมวิ่งมาเร็วด่วนจี๋อย่างนี้ พี่เซียงหลันแวะมาคุยกับพวกเราอยู่ ไม่เจอกันครึ่งปี ข้ามีเรื่องอยากคุยกับพี่เซียงหลันมากมายเลย” ไช่เหลียนเดินมาทางสระบัวอย่างตื่นเต้น เห็นซิ่นจือก็หยุดดึงนางไว้

“เจ้าไปก่อน ข้าไปตามคุณชายน้อยก่อน” ซิ่นจือตอบไปอย่างนั้น

“คุณชายน้อย? เขาไม่ได้ไปอู่ชิ่นไจหรือ เช้าวันนี้ขึ้นรถม้าไปฝานลั่วแล้ว” ไช่เหลียนตอบอย่างสงสัย

“ไปจริงหรือ” ซิ่นจือกุมขมับหมดแรง ทีนี้จะไปบอกฮูหยินกับนายท่านอย่างไรดี

“จริงแท้แน่นอน เรื่องนี้ฮูหยินอนุญาตแล้วด้วย เอ๋? พี่ซิ่นจือ พี่เป็นไรไป”

“ฮูหยิน…อนุญาต?” ฮูหยินเพิ่งมาถามหาเขา คิดว่าเขาคงโกหกโดยอ้างฮูหยินแล้ว

“ใช่ คุณชายน้อยบอกเช่นนี้” ไฉ่เหลียนพยักหน้าจริงจัง

ตามคาด…

“อ้อ ข้าเดาได้ก่อนแล้ว เขาคิดเรื่องนี้มานานแล้ว กว่าจะหาจังหวะที่ทุกคนกำลังยุ่งและผ่อนคลายความระวังลงก็ไม่ได้ง่ายๆ ไม่หนีออกไปสิแปลก”

“ฮูหยิน เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล คุณชายน้อยวิทยายุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าคุณชายและคุณหนูใหญ่ ย่อมไม่โดนคนธรรมดาทำร้ายง่ายๆ เด็ดขาด” แม้เป็นปลอบใจคำซิ่นจือ แต่ก็ไม่ได้เกินเลยไปนัก เจ้านายสามคนตระกูลหลินแต่ละคนล้วนได้รับการถ่ายทอดจากนายท่าน และได้รับการแนะนำจากบรรดานายท่านสามซือ เพิ่งแปดขวบก็ขึ้นเขาล่าสัตว์ได้โดยไม่บาดเจ็บแม้แต่เส้นผม หลายปีผ่านมาวิทยายุทธ์ก็ยิ่งก้าวหน้าลึกล้ำยิ่งขึ้น

“แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เขาก็ยังอายุแค่สิบเอ็ดเองนะ…”

“ก็ยังเด็กอยู่ แต่ฝึกสักหน่อยก็ดี” หลินซือเย่ากลับมาจากข้างนอกก็รับคำขึ้น รู้ว่าภรรยากำลังปวดหัวกับลูกคนที่สามอีกแล้ว

นิสัยหลินซีไม่รู้จริงๆ ว่าเหมือนใคร ตอนพิธีเสี่ยงทายครบเดือนก็คว้าเอาไปหมด ตอนนี้โตแล้ว อะไรก็คิดเรียน อะไรก็คิดเข้าร่วม ตอนอายุเก้าขวบ พอรู้ว่าพี่สาวคนโตได้รับตำแหน่งประมุขหอเฟิงเหยา เขาก็เอาแต่ตามติดซือทั่วถึงหนึ่งปีเต็ม เรียนรู้วิทยายุทธ์จากซือทั่วหมดจึงยอมเลิกรา ตอนนี้เริ่มไม่สนใจวิทยายุทธ์แล้ว ตอนนี้เห็นพี่ชายคนโตเขาชอบการทำอาหาร ดูแลกิจการใหญ่ชุ่ยอวี้ไจแห่งต้าซื่อ เขาก็หันมาตามติดนางฟางเพื่อเรียนการทำอาหาร ตอนนี้ยังไม่พอใจ ได้รู้ว่าพี่ชายเขากับคุณชายน้อยร้ายอู่ชิ่นไจสนิทกัน มักจะมาแลกเปลี่ยนฝีมือการทำครัวกัน ก็บอกว่าจะไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนการทำอาหาร จะได้เข้าร่วมก๊วนเดียวกับพวกเขาได้

กล่าวตามจริง เขาไม่จำเป็นต้องฝากตัวเป็นศิษย์ อายุสามขวบก็บ่มสุราเป็น อายุห้าขวบก็ทำขนมเป็น ตอนนี้อาหารคาวยังได้รับการถ่ายทอดจากนางฟางแม่ครัวใหญ่ เขาเองไม่รู้ แต่คนที่เคยได้ชิมฝีมือเขา ต่างบอกว่าฝีมือเขาไม่เป็นรองหลินเซียว

น่าเสียดายที่เขาไม่มีความมุ่งมั่น ไม่แน่ว่าไม่กี่วัน ความสนใจก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว หันไปสนใจเรื่องอื่นต่อ

“พี่ชายเจ้าอยากส่งเสริมเขา” หลินซือเย่าจิบชา ค่อยๆ กล่าว

“เอ๋? แต่ซวี่รื่ออายุเจ็ดขวบแล้วนี่” ซูสุ่ยเลี่ยนตกใจและไม่เข้าใจ หยางจิ้งจือมีลูกสาวหนึ่งลูกชายหนึ่งให้พี่ชายนาง ซวี่รื่อปีนี้ก็เจ็ดขวบแล้ว เรื่องนี้ไม่ส่งผลต่อการสืบทอดในวันหน้าของซวี่รื่อหรือ ไยจึงรีบร้อนจะส่งเสริมซีเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์เป็นลูกชายที่นางตั้งท้องมาตั้งสิบเดือนนะ ไม่ได้แซ่เหลียงนะ!

“ซวี่รือสุขภาพอ่อนแอ นับประสาอันใดกับซวี่รื่อก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้” หลินซือเย่ามองนางอย่างนึกขำ ลูกหลานคนอื่นหากได้ยินว่าฮ่องเต้คิดส่งเสริมก็คงดีใจมาก แต่ภรรยาเขากลับไม่เหมือนคนอื่น

“ก็จริง ซวี่รื่อชอบการแพทย์ แต่ก็ไม่ได้ขัดกันนี่ ความสนใจซีเอ๋อร์ก็ไม่เห็นว่าจะอยู่ตรงนี้” ซูสุ่ยเลี่ยนเหลือบมองหลินซือเย่าที่กำลังยิ้มมุมปากเล็กน้อย แอบคิดว่า เขายิ้มแล้วน่ามองเหมือนเดิม และก็ทำให้นางหลงใหลได้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

“สุ่ยเลี่ยน…” เขาลุกขึ้นมาคร่อมสตรีตัวน้อยที่นั่งอึ้งอยู่ไว้ในอ้อมแขน พลางเอียงตัวลงจุมพิตนาง

“อืม…” นางได้สติแก้มแดงแจ๋ เหลือบมองเขาอย่างเขินอาย “อะ…อะไร”

“ข้าเคยรับปากว่าจะพาเจ้าออกท่องเที่ยว” เขากระซิบงึมงำข้างหูนาง พลางไล้ใบหูนางแผ่วเบา ทำเอานางสะดุ้งไปทั้งตัว

“ทำไมอยู่ๆ คิดเรื่องนี้ขึ้นมา” นางอิงแอบเข้าอ้อมกอดเขา ถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามระงับความตื่นเต้น หลายปีมานี้ทุกคนต่างยุ่งกับงาน ยุ่งกับการดูแลกิจการ ยุ่งกับการจัดการงานแผ่นดิน ยุ่งกันจนแทบไม่มีเวลาพัก เวลาผ่อนคลายเพียงหนึ่งเดียวก็คือเทศกาลต่างๆ เช่น คืนฉลองวันสิ้นปี เทศกาลตวนอู่ เทศกาลไหว้พระจันทร์ นอกจากนี้ก็แทบจะไม่มีเวลาว่าง

“อยากพาเจ้าออกไปท่องเที่ยวทั่วต้าหุ้ยและแผ่นดินอื่น” หลินซือเย่าจุมพิตริมผมนาง ความต้องการด้านล่างของร่างกายเริ่มโหมกระหน่ำ เขากอดนาง ก้มลงอุ้มเดินเข้าห้องนอน

“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเดาได้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ พลันร้อนผ่าวไปทั้งตัว ยังไม่บ่ายเลยนะ

“ไม่ได้นานแล้ว หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ” เขาจ้องมองนาง แต่ขายังก้าวไม่หยุด

เฮ็อ เขาถึงกับใจกล้าขึ้นทุกวัน กลางวันแสกๆ ก็หารือกับนางเรื่องพวกนี้

นางซุกหน้าลงในอ้อมกอดเขา เอาเถอะ นางยอมรับว่าตนเองก็คิดถึงเขา ต้องการเขา หลายวันมานี้เขายุ่งกับเขตการค้าที่ซีโหลวจนไม่มีเวลาว่าง สองคนแม้แต่ก่อนนอนก็ไม่มีเวลาได้คุยกันเท่าไร ถึงหมอนก็หลับทันที ก็ยากจะตำหนิเขา

“เขตการค้าเป็นอย่างไรบ้าง” นางเงยหน้าถาม

“อืม เดิมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร” ก็แค่พวกแอบมาแฝงตัวหากินในต้าซื่อ คิดจะเลียนแบบพวกนักเลงหัวไม้ เก็บค่าคุ้มครอง ถูกเขาหักแขนหักขาโยนออกจากเขตการค้าไป เพียงแต่แม้การทำเช่นนี้ได้ผลดี แต่ดูป่าเถื่อนไปหน่อย ไม่เอ่ยถึงก็ดี

“ไม่มีอะไรก็ดี งานเพาะปลูกล่ะ” ใกล้จะหมดหน้าเพาะปลูกแล้ว ชาวนาในโรงบ้านล้วนสบายดีกันไหม” โรงบ้านก็เป็นกิจการของเขาทั้งหมด ชาวนาในนั้นต่างก็เป็นชาวอพยพหนีภัยมาจากแผ่นดินอื่น คนที่เหอหยวนมีเพียงพอ ดังนั้นคิดบุกเบิกพื้นที่โรงบ้านเพื่อจัดการแรงงานอพยพหนีภัยมาเหล่านี้ เหตุนี้จึงไม่กระทบต่อชีวิตเดิมของชาวต้าซื่อ

ลมหายใจเริ่มหอบ นางยังคงไม่หยุดคิดที่จะเบนความสนใจเขา

“สตรีผู้นี้ ตั้งใจหน่อย…” เขาทนไม่ไหวอีกแล้ว เข้าแทรกครอบครองนางทันที ในที่สุดก็หยุดคำถามนางเอาไว้ได้ กลายเป็นเสียงครางแว่วหวานรองรับความแข็งแกร่งของเขา…

แสงแห่งฤดูใบไม้ผลิทอประกายงดงามทั่วห้อง…