โรงบ้านเลี่ยนสุ่ยที่ซีโหลวมีพื้นที่หกร้อยหมู่ สร้างมาได้สามปีแล้ว

โรงบ้านแบ่งออกเป็นตะวันออกและตะวันตกสองฝั่ง มีพื้นที่สวนใจกลางสิบหมู่เป็นศูนย์กลาง ตะวันออกเป็นที่นากับสระน้ำ ตะวันตกเป็นพื้นที่ไม่ทดน้ำเข้าไป รอแต่น้ำจากธรรมชาติไว้เพื่อเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์และป่าเขา

รอบพื้นที่ส่วนกลางโรงบ้านเป็นบ้านชาวนาทั้งหมดร้อยกว่าหลังคาเรือนที่พักอาศัยอยู่ พวกเขาล้วนแบ่งหน้าที่กันดูแลที่นา สระน้ำ และป่าเขาแต่ละส่วน ที่พักมีแบบครอบครัวสามคนและครอบครัวสองคน ล้วนเป็นชาวบ้านหนีอุทกภัยจากเมืองอวิ๋นเชี่ยวมาแผ่นดินต้าหุ้ยเมื่อหกปีก่อน เดินขอทานมาถึงที่ต้าซื่อกันไม่ขาดสาย ความเจริญรุ่งเรืองของต้าซื่อนี้ทำให้ทุกคนหยุดเดินทางต่อ คิดตั้งรกรากกันที่นี่

ไม่รู้ทำเช่นไร ฮ่องเต้ต้าซื่อได้แต่ขอค่าจัดการจากราชวงศ์ต้าหุ้ยอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็มอบการจัดการทั้งหมดให้กับหลินซือเย่า เจ้านายแห่งเหอหยวน ให้เขาจัดการชาวอพยพพวกนี้

เหลียงเอินไจ่ทนดูน้องเขยว่างงานไม่ได้เด็ดขาด ยามที่เขากำลังทุ่มเทอย่างหนักเพื่อพัฒนาแผ่นดินเล็กๆ นี่จนไม่มีเวลาว่าง น้องเขยเขากลับอยู่แต่ในเหอหยวนทำนา เพาะปลูก เก็บเกี่ยว เก็บฝักบัว จับปลา เอาอกเอาใจภรรยา…เขาไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าอิจฉาตาร้อน

หลินซือเย่ารับงานที่ถูกฮ่องเต้ต้าซื่อโยนมาให้เขาพร้อมกับเงินห้าร้อยตำลึงทองเป็นค่าจัดการ คิ้วดาบก็กระตุก ไม่พูดสักคำ ก็ขอซื้อซีโหลวซึ่งเป็นที่รกร้างติดเขาต้าซื่อจากต้าซื่อ ใช้เวลาสามปี จัดการพวกอพยพให้มีที่พักพิงที่นี่ ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นที่นาดี เป็นโรงบ้านใหญ่ที่มีอาหารอุดม

โรงบ้านปีแรกอยู่ในสภาพขาดทุน มีเพียงพื้นที่รกร้างที่บุกเบิกออกมาได้ แต่ไม่อาจเลี้ยงดูชาวนาในโรงบ้านได้ ปีที่สองดีขึ้นมาหน่อย ส่วนใหญ่ก็พอเลี้ยงดูชาวนาได้ ปีที่สามนับว่าในที่สุดก็มีกำไรเหลือพอเลี้ยงดูชาวนาในโรงบ้านแล้ว ผลิตผลที่เหลือเช่นพวกข้าวพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ ถึงกับยังขายได้สามร้อยกว่าตำลึง

หลินซือเย่าแบ่งให้บ้านละหนึ่งตำลึงไปฉลองปีใหม่ ที่เหลือสองร้อยตำลึง เก็บไว้สร้างสำนักศึกษาในโรงบ้าน แล้วเชิญอาจารย์จากเมืองฝานลั่วมาสอนหนังสือให้ลูกหลานชาวนาในโรงบ้าน

ตอนนี้สี่เมืองใต้การปกครองต้าซื่อ ทุกที่ล้วนมีสำนักศึกษาแห่งสองแห่ง ขอเพียงอายุได้ห้าขวบก็ให้เข้าเรียน เรียนอักษร เรียนจารีต เรียนคำนวณ…สอนให้เด็กมีความรู้พื้นฐานในการทำอาชีพ

พออายุครบสิบขวบก็ไปตามความถนัด ไปสมัครเรียนสำนักศึกษาที่ใหญ่สุดในต้าซื่อ เรียนครบสี่ปีก็จะได้เข้าร่วมสอบคัดเลือกผู้มีความสามารถช่วยงานปกครองต้าซื่อที่จัดปีละครั้ง คนที่ได้คะแนนดี ก็จะโชคดีได้ทำงานในหน่วยงานของส่วนกลาง มีรายได้คงที่ มีหน้ามีตา เพียงพอจะทำให้ลูกหลานระดับล่างพยายามศึกษาหาความรู้

จะว่าไปโรงบ้านเลี่ยนสุ่ยตอนนี้ก็ผ่านการพัฒนามาได้สามปีแล้ว ชาวโรงบ้านมีรายได้มั่นคงแล้ว มีชีวิตที่มีความสุขแล้ว ก่อเกิดภาพโฉมใหม่ที่มีแต่ความอุดมและความสุขแล้ว

กอปรกับรอบนอกโรงบ้านยังสร้างพื้นที่การค้ารูปแบบใหม่ขึ้น ทั้งซีโหลวขอเพียงมีที่เหลือ ก็ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหมู่แมกไม้และดอกไม้นานาพันธุ์อันงดงาม เหมือนว่าเป็นอุทยานสวนสวรรค์สร้าง

“ไม่มาหนึ่งปี เปลี่ยนไปมาก!” รถม้าแล่นมาถึงปากทางโรงบ้าน ซูสุ่ยเลี่ยนเลิกม่านขึ้น มองไปยังพื้นที่เขียวขจีด้านหน้า อดสูดลมหายใจอย่างตกใจไม่ได้ หันไปยิ้มหวานให้กับหลินซือเย่า

“อืม ไว้พาเจ้าออกท่องเที่ยวให้ทั่ว” หลินซือเย่าประคองนางลงจากรถม้า หันไปหิ้วตะกร้าอวยพรวันเกิดครบเดือนที่เตรียมไว้ วันนี้เป็นวันครบเดือนลูกชายตัวอ้วนของซุนเยี่ยนผู้ดูแลโรงบ้าน เมื่อวานพวกเขามาที่เหอหยวน เชิญพวกนางสองสามีภรรยามาร่วมดื่มสุราอวยพรครบเดือน

“อืม อยากไปป่าผลไม้ดูสักหน่อย ลูกหยางเหมยน่าจะใกล้สุกแล้วไหม ปีใหม่ปีนี้คิดว่าน่าจะได้ผลผลิตไม่น้อย” ซูสุ่ยเลี่ยนเอื้อมมือไปคล้องแขนหลินซือเย่า สองคนเดินเคียงกันเข้าบ้านตระกูลซุนไป

ทุกครั้งที่ออกไปกันสองคน ซูสุ่ยเลี่ยนล้วนไม่พาสาวใช้ไปด้วย หนึ่ง หลินซือเย่าไม่ชิน สอง นางอยากอยู่กับเขาสองต่อสองให้มากอีกหน่อย

หลินซือเย่าเหลือบตามองนางอย่างพึงใจ แววตาแฝงรอยยิ้มแวบหนึ่ง ก่อนจะกระชับแขนนางแน่น รั้งนางเข้าหากายเขาพลางถาม “เหนื่อยไหม”

ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มส่ายหน้า “ตลอดทางอยู่แต่ในรถม้า จะเหนื่อยได้อย่างไร” แม้ว่าจากเหอหยวนมาที่นี่ เดินทางไม่ไกลมาก แต่รถม้าก็ยังต้องวิ่งมาหนึ่งชั่วยาม ทว่าสองข้างทางงดงาม ยังมีเขาคอยเป็นเพื่อนดูแลนาง นางไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด กลับกัน ยังรู้สึกเส้นทางยาวไม่พอไปเสียอย่างนั้น

“พ้นปีใหม่นี้ พวกเราก็ออกท่องเที่ยวกันเถอะ” ดวงตาหลินซือเย่าส่องประกายยามกล่าวถึงแผนการที่คิดไว้ในใจมานานแล้ว

พ้นปีใหม่ หลินซีก็จะถูกเหลียงเอินไจ่พาไปอบรมเลี้ยงดูที่จวนเขาแล้ว หลินหลงก็จะตามซือทั่วไปดูงานประมุขหอ ร้านชุ่ยอวี้ไจของหลินเซียวก็เริ่มไปได้ดีแล้ว สำหรับเรื่องอื่น เช่นว่าเหอหยวน แม้กิจการมาก แต่หลายปีมานี้ก็สอนผู้ช่วยที่ใช้การได้ดีเข้าประจำตำแหน่งต่างๆ ได้ไม่น้อยแล้ว อยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว เช่นว่าโรงบ้าน กิจการตอนนี้ก็มั่นคง มีซุนเยี่ยนกับหลิ่วเชียนผู้ดูแลหลักกับผู้ช่วยดูแล ปีหนึ่งมานี้ไม่เคยเกิดเรื่องสักครั้ง

”ข้าว่า พี่ใหญ่ต้องแอบด่าพวกเราลับหลังแน่เลย” ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปากหัวเราะเบาๆ คนหนึ่งเป็นคนดูแลงานในซีโหลว คนหนึ่งดูแลงานในเหอหยวน ถึงกับทิ้งงานทั้งหมดไป พากันออกท่องเที่ยวกันสองคน…เชื่อว่าเหลียงเอินไจ่รู้เข้า ปฏิกิริยาแรกก็คือโมโหควันลุก ในใจต้องก่นด่าพวกเขาว่าแล้งน้ำใจ

“ด่าต่อหน้าก็ไม่เป็นไร” หลินซือเย่ายิ้มบาง “หลายปีมานี้ถูกเขาเล่นงานไม่พออีกหรือ” คิ้วดาบเขากระตุก

เห็นว่าเหลียงเอินไจ่เป็นพี่ชายภรรยาเขา พาตัวเองสลัดออกจากแผ่นดินต้าหุ้ย และยังทำให้แคว้นฝานลั่วกลายเป็นแผ่นดินต้าซื่ออันเป็นเอกเทศ จากนี้เหอหยวนก็มีอิสระแท้จริง ไม่เช่นนั้นเขาจะยอมทำตามอย่างนี้หรือ ให้เขาดูแลผู้อพยพ เขาก็ทำตาม ให้เขาสร้างซีโหลว เขาก็ทำตาม…

“อาเย่า” ซูสุ่ยเลี่ยนอยู่ๆ เขย่งปลายเท้าแหงนหน้ามองเขา “…ขอบคุณ ข้ารู้เจ้ายอมพี่ใหญ่ทำเรื่องพวกนี้ ก็เพราะข้า…”

“เด็กโง่…” เขารั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด กล่าวเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “เจ้าไม่รู้หรอก แท้จริงแล้วมันทำให้ข้าได้ล้างสองมือให้สะอาดขึ้นไม่น้อยไม่ใช่หรือ” สองมือเขาเคยเปื้อนเลือดมาสิบปี ใช้เวลาอีกสิบปีค่อยๆ ล้างให้สะอาด คงมีสักวัน เขาเชื่อว่าจะขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับนางได้ ไม่ใช่มองดูนางขึ้นสวรรค์ แต่เขากลับต้องลงนรก แม้ว่าที่นั่นจะเคยเป็นที่ที่เขาคิดว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม…

“อาเย่า…” นางแอบปวดใจ คิดไม่ถึงเขายังคงติดใจเรื่องในอดีตพวกนี้

แท้จริงแล้วแต่ไรมานางไม่เคยถือสาอดีตของเขา เชื่อว่าคนอื่นก็คิดเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่คงไม่ให้ความสำคัญกับเขาเช่นนี้ จิ้งจือคงไม่ชื่นชมเขาเช่นนี้ อิ้งอวิ๋นก็ยิ่งไม่เลือกซือเล่าเป็นสามีร่วมทุกข์ร่วมสุข…แต่เขากลับเอาแต่ถือสาตัวเอง…

“แต่ไรมาข้าไม่เคยคิดอะไรกับการเป็นนักฆ่าของเจ้า แม้ว่ามีก็แค่อิจฉาวรยุทธ์สูงส่งเจ้า วรยุทธ์เหนือกว่าผู้ใด…”

“ข้าเข้าใจ” เขายิ้มมุมปาก ยกนิ้วชี้เขี่ยริมฝีปากนางเล่น เป็นสามีภรรยามาสิบกว่าปี หรือว่าเขาจะไม่รู้ว่านางคิดเช่นไร?!

“ในเมื่อเข้าใจ วันหน้าไม่อนุญาตให้เจ้าดูแคลนตนเองเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้น ไม่เช่นนั้น…”

“ไม่เช่นนั้นทำเช่นไร” เขาอมยิ้มย้อนถาม รั้งแขนนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

นางยังคิดวิธีลงโทษเขาไม่ทันออก ก็ได้ยินเสียงซุนเยี่ยนดังมาแต่ไกล จึงพบว่าพวกเขาสองคนมายืนอยู่หน้าประตูโรงบ้านนี้นานแล้ว ถูกเขากอดบอกความในใจอย่างเปิดเผยไม่กลัวสายตาผู้คน ยามนี้มีคนมาพบเห็นเข้าแล้ว

โชคดีที่คนที่อยู่โรงบ้านนี้ไม่รู้สึกว่าการแสดงความรักของเขาสามีภรรยาเป็นเรื่องแปลกอันใดแล้ว

“ปล่อยเจ้าชั่วคราว” หลินซือเย่าเก็บแววตาร้อนแรงลง กระซิบเบาๆ ปล่อยแขนนาง เปลี่ยนเป็นจูงมือนางเดินเข้าบ้านซุนเยี่ยนไปแทน…

……

งานเลี้ยงครบเดือนจบลง หลินซือเย่าก็เคลื่อนพลังวัตรพานางไปยังป่าผลไม้ทางตะวันตกสุดของโรงบ้าน

ป่าผลไม้บนพื้นที่ห้าสิบกว่าหมู่ แม้ว่าไม่นับว่าใหญ่มาก แต่ผลไม้ที่ปลูกก็มีหลากชนิดไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ป่าที่ย้ายมาจากป่าลึกในเขาต้าซื่อ ผ่านการปรับปรุงหลายรอบ ตอนนี้ผลไม้ที่ได้ถูกปากยิ่งกว่าผลไม้ที่แผ่นดินอื่นปลูกอีก และยังลูกโต พอออกสู่ตลาดก็เป็นที่ต้องการของผู้คน

ปากทางเข้าสวนผลไม้มีบ้านไม้หลังหนึ่ง สองคนแบ่งกันถือตะกร้าสานและแบกชะลอม เตรียมเข้าป่าไปเก็บผลไม้สุกกลับไปฝากญาติสนิทมิตรสหายให้ได้ชิมกัน

ช่วงเดือนห้า ผลไม้ที่ได้รับความนิยมจากทุกคนที่สุดก็คือผลอิงเถา ผลหยางเหมยและสาลี่หอม

“ที่นี่” หลินซือเย่าดึงนางอ้อมขึ้นเนินไปตามเส้นทางเล็กๆ เข้าไปในป่าท้อ

“ที่นี่ไม่ใช่เขตป่าท้อนี่”

แม้ว่ามาไม่บ่อย แต่นางก็พอจำพื้นที่ที่แบ่งไว้ปลูกผลไม้ได้ จากป่าท้อเข้าไปก็เป็นป่าผลซิ่ง เข้าไปอีกก็ป่าผิงกั่ว ส่วนป่าอิงเถาและป่าหยางเหมยนั้นปลูกอยู่บนเนินอีกชั้น

เขาเอาแต่ยิ้มไม่กล่าวอันใด กุมมือนางไม่ปล่อย เดินทะลุเข้าไปอีก พวกเขามายืนอยู่หน้าเนินที่กว้างไกลผืนกว้างผืนหนึ่ง ทุ่งซวินอีเฉ่า[1] บนพื้นที่ราวหนึ่งหมู่กำลังพลิ้วไหวรับลมที่พัดมา

“โอ๊ะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนทั้งดีใจทั้งตกใจ นางกุมปากอุทานขึ้น เขาถึงกับปลูกทุ่งดอกไม้

ก็แค่เรื่องที่คุยกันเล่นๆ นางบอกว่าดีที่สุดก็มีทุ่งดอกไม้สักผืนให้นางปลูกซวินอีเฉ่า เพราะเป็นวัตถุดิบสำคัญของโรงเครื่องหอมนาง และยังเป็นต้นไม้ให้ความหอมแรกที่นางกับจิ้งจือคิดถึง

คิดไม่ถึงเขาถึงกับจำใส่ใจ มิน่าพักก่อนเขายุ่งอย่างนั้น ยุ่งจนแทบไม่ได้หยุดพัก ที่แท้เขามาปลูกทุ่งดอกไม้ให้นาง

“ปฏิกิริยาเจ้าเช่นนี้ ข้าควรเข้าใจว่าชอบใช่ไหม” เขากอดนางไว้ ซับน้ำตาที่หางตาให้นาง ถามอย่างนึกขำ

“แน่นอนว่าชอบ ข้าเพียงแต่…คิดไม่ถึง…ซาบซึ้งใจมากเกินไป…” นางพยักหน้าอย่างแรง รีบตอบจนเรียงลำดับคำไม่ทัน

“ลุงฉีบอกว่า ซวินอีเฉ่าน่าจะบานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ต้องรีบเร่งหาคนมาเก็บก่อนหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นจากนี้ไป พวกเราก็มีงานให้ยุ่งกันแล้ว” เขาเดินจูงมือกับนางไปท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีม่วงหวานล้ำ

“พรุ่งนี้ข้าจะพาคนมา สวรรค์ เยอะอย่างนี้…อาเย่า ข้าคิดว่าจากนี้หนึ่งปีเต็ม โรงเครื่องหอมพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าวัตถุดิบไม่พอแล้ว”

“ไม่เพียงหนึ่งปี แค่ครึ่งปี อย่าลืม พ้นปีนี้ไป พวกเราก็จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวกันแล้ว ไปให้ทั่วสิบแผ่นดิน อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งปี” หลินซือเย่ากล่าวจบก็เอียงตัวเข้าจุมพิตนาง ไม่คิดปล่อยโอกาสดีงามท่ามกลางธรรมชาติงดงามเช่นนี้ไป

“อืม..หนึ่ง…หนึ่งปี? ท่องเที่ยว…สิบแผ่นดิน?…พอ…จะพอ…ไหม?” นางย้อนคำเขา ประโยคเดียวถามติดๆ ขัดๆ แสดงให้เห็นถึงความคิดนาง

“ไม่พอ” เขาแนบริมฝีปากเขาเข้ากับริมฝีปากนาง กล่าวออกมาเบาๆ ไม่รู้ว่าตอบนางหรือว่ากำลังบอกความต้องการกับนาง

ลมแผ่วเบาต้นฤดูร้อนพัดแผ่วมา นอกจากเสียงดอกไม้บนทุ่งดอกไม้เสียดสีกัน รอบด้านเงียบสงบ ราวกับกลัวจะรบกวนสองสามีภรรยาแสดงความรักต่อกันท่ามกลางทุ่งดอกไม้…

—————————–

[1] ลาเวนเดอร์